มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน นางไม่เพียงไม่หยุดฝีเท้าเท่านั้น ในทางกลับกัน นางยังก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้นอีกด้วย
สาเหตุที่นางเดินเร็ว ไม่ใช่เพียงเพราะท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะสุนัขเฒ่าผู้เชื่อฟังที่อยู่ข้างหลังนางด้วย
ใครจะรู้ว่าเ้าสุนัขภักดีตัวนี้จะนำพาแผนการใดมาด้วยหรือไม่?
แต่ในเมื่อหมอหลวงหลินกล้าตามมา กระดูกเก่า [1] ผู้นี้จะต้อง ‘แข็งแกร่งทรงพลัง’ ไม่ต่างจากแม่มดเฒ่าในวังเป็แน่ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปเขาจะปฏิบัติภาระหน้าที่ที่ผู้เป็นายมอบให้อย่างเต็มกำลังเป็แน่ และนางจะสนุกสนานกับการหยอกล้อสุนัขภักดีตัวนี้
เมื่อมู่จื่อหลิงไม่หยุด อีกสามคนย่อมไม่หยุดรอ พวกเขาเดินตามรอยเท้าของมู่จื่อหลิง เดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนที่อยู่รอบตัวเดินตามหลังมาติดๆ มู่จื่อหลิงจึงจงใจะโสุดเสียงว่า “พวกเ้าเร่งฝีเท้าหน่อย ในความมืดเส้นทางบนูเาจะเดินทางลำบาก!”
“ขอรับ!”
“เฮ้ เฮ้ เสี่ยวเทียนเทียน อย่าเดินเร็วนักสิ รอข้าด้วย!”
“ออกไป...”
......
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือพวกเขาเร่งฝีเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้หมอหลวงหลินตามมาทัน อีกทั้งมู่จื่อหลิงยังไม่สนใจเด็กปรุงยาทั้งสองที่หมอหลวงหลินพามาอีกด้วย
หมอหลวงหลินวิ่งไล่ตามนางพร้อมทั้งร้องะโเรียก เมื่อได้ยินเสียงของมู่จื่อหลิงที่เอ่ยขึ้นมาอย่างจงใจ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจในทันที
ฉีหวางเฟยจงใจทำให้เขาอับอาย จงใจทำร้ายกระดูกเก่าอย่างเขา จงใจให้เขาต้องวิ่งไล่ตาม
หมอหลวงหลินหรี่ตาเล็กน้อย มองเงาดำที่เริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ด้านหน้าตน มุมปากแย้มออกเป็รอยยิ้มชั่วร้าย
ใช้ชีวิตมายาวนานถึงเพียงนี้ เส้นทางที่เขาเดินนั้น ย่อมกินเกลือมามาก [2] ยิ่งกว่าเด็กสาวไร้เดียงสาที่ขนยังไม่ทันขึ้น [3] อย่างแน่นอน
ฮ่า ฮ่า...จะเล่นกับเขาหรือ?
ยามนี้ปล่อยให้ยายเด็กสาวไร้เดียงสาผู้นี้ภูมิใจไปก่อน เมื่อทุกอย่างจบสิ้น...หมอหลวงหลินหยุดฝีเท้าอย่างไม่เร่งรีบ ลูบหน้าอกของตน หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง
ครั้งนี้เขามาตามพระบัญชา หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ วันเวลาอันรุ่งเรืองจะเคลื่อนเข้าหา เขาจะมีชีวิตที่อิสระและราบรื่นยิ่งขึ้น
ครั้งนี้หมอหลวงหลินไม่วิ่งตามติดเข้าไปอย่างโง่เขลาอีก แต่ให้เด็กปรุงยาคนหนึ่งแบกขึ้นหลัง จากนั้นก็ให้เด็กปรุงยาอีกคนไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
หากมู่จื่อหลิงที่กำลังออกห่างไป หันศีรษะกลับมาดูในยามนี้ นางคงจะตะลึงงันไปแล้ว
เพราะใน่เวลาที่ตามติดอยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มผอมโซคนหนึ่งที่หมอหลวงหลินพามาด้วยนั้นมีร่างกายอ้วนท้วนเกาะบนหลัง แต่กลับยังสามารถวิ่งเหยาะๆ ได้
ไม่เพียงแค่นั้น หมอน้อยที่แบกหมอหลวงหลินไว้บนหลังไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า ไม่เหนื่อยหอบ ตามหลังพวกของมู่จื่อหลิงเงียบๆ รักษาระยะห่างได้อย่างเหมาะสม ไม่ไล่ตามจนทันหรือพลัดหลงจากนาง
......
ร่างของมู่จื่อหลิงและพรรคพวกหายเข้าไปจากหน้าประตูเมืองหลงอัน
เนื่องจากการจากไปของพวกเขา ทหารเพียงไม่กี่คนที่ยังสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ ต่างก็กลับมาทำตัวเหี่ยวเฉาราวกับถูกปล่อยลมออก
เหล่าทหารกลับไปทำตัวเกียจคร้านอีกครั้ง ห่อตัวที่อยู่ภายในผ้าหนาถึงสามชั้นทั้งภายนอกและภายในให้แน่นยิ่งขึ้น
ด้วยการจากไปของพวกมู่จื่อหลิง เมื่อบรรยากาศความมีชีวิตชีวาต่างๆ ที่ประตูเมืองลดน้อยลง ในพริบตาเดียวก็กลับมาอ้างว้างและเหน็บหนาวอีกครั้ง
หารู้ไม่ ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ประตูเมืองที่มืดมนกลับมีพลังชีวิตที่เปี่ยมล้น เปรียบเหมือนสายลมและดวงจันทร์ ส่องแสงเจิดจ้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ท้องฟ้ายามพลบค่ำอันมืดมิด เจ็ดสาวงามในชุดสีสันสดใสไร้ฝุ่นปนเปื้อนลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่อาจทราบได้ว่าโผล่มาจากทิศทางใด
ใบหน้าของพวกนางทั้งสง่าและงดงาม แม้จะไม่งามเลิศเลอหากเทียบกับสาวงามล่มเมือง แต่ขณะร่ายรำกลางอากาศพวกนางล้วนดูงดงาม ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหว ราวกับผีเสื้อที่โบยบินในยามพลบค่ำ เริงระบำเปล่งประกายน่ามอง
สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล แต่กลับไกลเกินเอื้อม
ในยามนี้ พวกนางสวมชุดสีแดง ส้ม เหลือง เขียว เขียวอมฟ้า น้ำเงินและม่วง กระจายตัวออกเป็เส้นตรงดูคล้ายสายรุ้งหลากสี สีสันงดงาม แต่กลับสื่อถึงอารมณ์ที่เ็าและสง่างาม
พวกนางแต่ละคนเป็เหมือนลำแสงพร่างพราวในยามเย็นที่แสงสลัว ทันใดนั้นก็ส่องแสงให้ประตูเมืองที่มืดมนสว่างไสวมีชีวิตชีวาจนเต็มไปด้วยพลังอีกครั้ง
“ดูเร็ว พวกเ้าดูสิ มีคนกำลังมามากมาย...” ทหารที่ยืนโซเซเหลือบไปเห็นจากหางตา ขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงชี้สตรีที่ลอยอยู่กลางอากาศ ร้องะโออกมาอย่างตื่นเต้น
“เมืองหลงอันเป็สถานที่ที่เลวร้าย ในยามนี้ทุกคนล้วนหลีกเลี่ยงด้วยความหวาดกลัว เมื่อไม่นานมานี้ ฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์ทรงเสด็จมาก็มากเกินพอแล้ว แต่ยามนี้...โอ้ คนงาม!”
“ว้าว! คนเหล่านี้ช่างงดงาม...งามมาก!”
“พวกนางคือใครกัน? งามยิ่งนัก!”
ทหารอีกหลายนายรู้สึกประหลาดใจ ดวงตายังคงมองตรงไปด้วยเกรงว่าในชั่วพริบตา ภาพแสนงดงามตรงหน้าจะหายไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อยิ่งขึ้นจนทำให้เกิดอาการมึนงงนั้นคือภาพต่อจากนั้นที่ทำให้พวกเขาแทบหยุดหายใจ
หลังจากสตรีบอบบางในชุดหลากสีทั้งเจ็ดลงมาอย่างสง่างาม แขนขาวเนียนของพวกนางพันผ้าโปร่งลากยาวถึงพื้น พวกนางยืนกระจัดกระจายทั้งสอง้าขั้นบันได แล้วเฝ้ารออย่างเงียบๆ
พวกนางยืนโอบล้อมเด็กสาวผู้งดงามพราวเสน่ห์ผู้หนึ่ง นางราวกับล่องลอยมาจากความว่างเปล่า งามราวเทพธิดาผู้อยู่เหนือเมฆ
นางสวมชุดขาวโพลนราวกับหิมะ รูปร่างเพรียวบาง กระโปรงพลิ้วบางเบา สง่างามดุจเทพธิดา รูปลักษณ์ของนางให้ความรู้สึกราวกับกล้วยไม้ในหุบเขาร้าง [4] นางช่างสง่างามมีเสน่ห์ เส้นผมปลิวไสวไปตามสายลมราวกับนางกำลังขี่วายุคืนถิ่น [5] อย่างเอ้อระเหยและงดงาม
“โอ้...นะ นาง์ เป็นาง์!”
“์ ์! นี่คือนาง์จริงๆ...งามยิ่งนัก!”
“ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ งามมาก งามจริงๆ...”
หลังจากนั้นเหล่าทหารก็รีบจัดระเบียบผ้าที่พันรอบใบหน้าอย่างแ่าทันที เนื่องจากเกรงว่าผ้าจะปิดกั้นมุมมองของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้พลาดภาพงดงามที่สามารถหยุดลมหายใจได้
ผ่านไปพักหนึ่ง พวกเขาเกิดความคิดที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสิ่งล้วนเป็การชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับว่าคำพูดที่ดีมากมายจะยังไม่สามารถบรรยายความงามของเทพธิดาในชุดขาวได้หมดสิ้น
“บอกข้าทีว่าวันนี้เป็วันอะไร? เหตุใดคนที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ถึงมายังสถานที่บ้าๆ แห่งนี้ เป็ไปได้ไหมว่านาง์องค์นี้จะติดตามฉีอ๋องมา?”
“...ใช่ ใช่แล้ว มีเพียงสตรีผู้งดงามเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับฉีอ๋อง ผู้หนึ่งกุมพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อีกผู้งดงามดึงดูดใจ ทั้งสองเป็คู่ที่สมบูรณ์แบบ”
“เพียงแต่ฉีอ๋องทรงเสด็จจากไปนานแล้ว...อนิจจา น่าเสียดาย นาง์มาช้าไปหนึ่งก้าว...”
“น่าเสียดายตรงไหนกัน การที่ในชีวิตหนึ่งเราได้เห็นหญิงงามเช่นนี้ แม้จะต้องตายในยามนี้ข้าก็ไม่เสียดาย!”
“ใช่ ใช่ ถึงต้องติดโรคก็พร้อม”
...คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเป็เอกฉันท์
ในขณะที่เหล่าทหารกำลังประหลาดใจ และรู้สึกถึงความเสียดายเล็กน้อยอยู่นั้น พวกเขาเห็นว่าหญิงในชุดขาวกำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ...
ใบหน้างดงามของนางฉายแววเยือกเย็นและสูงส่ง ราวกับเทพธิดาหลิงปัว [6] เดินออกมาจากม้วนภาพที่งดงาม ด้วยท่วงท่าโอ่อ่าสง่างามในทุกอิริยาบถ
ทันใดนั้นดวงตาของเหล่าทหารก็เบิกกว้าง พวกเขามองนาง์ที่กำลังเข้ามาใกล้ช้าๆ อย่างมึนเมา รู้สึกราวกับสิ่งนี้ไม่ใช่เื่จริง
หญิงงามหยาดฟ้าดินมาหยุดอยู่ต่อหน้า สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนจะทำได้เพียงแอบชำเลืองมองเท่านั้น ด้วยหากมองเต็มตาจะเป็การดูิ่นาง แต่พวกเขายังคงถูกดึงดูดให้มองตามนาง
ด้วยย่างก้าวแ่เบาสง่างามของเทพธิดา นางขยับใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ โดยรอบมีแต่ความเงียบงัน
เงียบสงบ แต่เป็ความเงียบที่งดงาม เงียบเหมือนอยู่ในความฝัน
เยวี่ยหลิงหลงหยุดเท้าห่างจากเหล่าทหารเพียงหนึ่งก้าว
จากนั้นนางขยับริมฝีปากชุ่มฉ่ำขึ้นเล็กน้อย ทำลายความเงียบสงบในยามนี้ “บอกข้าที...เมื่อครู่คนเ่าั้จากไปในทิศทางใด?”
เสียงเยือกเย็นแต่นุ่มนวลของเยวี่ยหลิงหลงดุจเสียง์ที่พุ่งผ่านปุยเมฆ ทั้งยังสงบนิ่งดั่งน้ำ สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกราวล่องลอยสู่สรวง์แสนสวยงามได้ในชั่วพริบตา จนยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้ด้วยตนเอง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เหล่าทหารต่างจ้องมองด้วยั์ตาเหม่อลอย แม้เพียงพริบตาเดียว พวกเขาล้วนิญญาหลุดออกจากร่าง กลายเป็เพียงรูปปั้น ลืมแม้กระทั่งการหายใจ
เทพธิดาที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาช่างสงบและงดงาม ผิวพรรณขาวใสทั้งเปล่งปลั่งและเนียนละเอียด ผิวเนียนนุ่มน่าถนอม ราวกับลำแสงที่พร่างพราวสว่างไสวในยามพลบค่ำ บดบังหมอกควันภายในเมืองหลงอันจนหมดสิ้น
“พวกเขาเดินไปทางใด?” โทนเสียงอ่อนหวานแต่คมชัดหลอกหลอนให้ผู้คนเคว้งคว้างในความฝันจนหลงใหลมากยิ่งขึ้น
ทหารหลายคนจับจ้องโดยไม่กะพริบตา เหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกควบคุม พวกเขายกมือขึ้นพร้อมกัน จากนั้นจึงเหยียดนิ้วชี้ออกมาพร้อมกัน ชี้ไปยังทิศทางที่พวกของมู่จื่อหลิงจากไป
ดวงตาคู่งามของเยวี่ยหลิงหลงเคลื่อนไหว นางมองไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้ไป...
มองไปตามทางที่มืดมิด ดวงตามัวหมองของเยวี่ยหลิงหลงฉายแววแห่งความสงบและสง่างาม หากแต่ในแววตากลับมีความหมายลึกซึ้งที่ไม่อาจเข้าใจได้
หลังจากนั้นไม่นาน
น้ำเสียงสบายๆ ของเยวี่ยหลิงหลงที่มีความนุ่มนวลชวนมึนเมาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รู้ไหม? ข้าชอบที่ผู้อื่นกล่าวว่าข้าเหมาะกับเขาที่สุด แต่...”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง แสงจากแววตาอันนุ่มนวลน่าหลงใหลก็สว่างวาบกลายเป็ประกายเฉยชา “แต่ ข้าเกลียดคนที่ทำให้ข้าต้องถามซ้ำเป็ครั้งที่สองด้วยเช่นกัน ดังนั้น...”
นางแสดงท่าทางลังเลที่จะพูด แต่นางกลับแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่นางลังเลที่จะพูดคือสิ่งใด
ในเวลาต่อมา เยวี่ยหลิงหลงหันกลับไปอย่างสบายๆ ทันใดนั้นม่านควันสูงกว่าสามฉื่อก็ลอยฟุ้งขึ้นมา เคลื่อนไหวเอื่อยเฉกเช่นสายน้ำไหล เคลื่อนที่ช้าหรือเร็วล้วนขึ้นอยู่กับกระแสลม
การร่ายรำของม่านควันที่พวยพุ่ง หมอกสีขาวใสผสานกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปโดยรอบอย่างอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมอบอวลทำให้มึนเมา
เมื่อมองดูอีกครั้ง เหล่าหุ่นเชิดโง่เขลาที่อยู่เื้ัเยวี่ยหลิงหลง...ต่างอยู่ในสถานะหยุดนิ่ง หลังจากสายลมพัดผ่าน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างเงียบงัน
ทหารหลายคนค่อยๆ หลับตาลงด้วยความหมกมุ่นมึนงง จากโลกนี้ไปตลอดกาล
ทันใดนั้นพวกเขาก็ตกลงจากสรวง์แสนงดงามสู่นรกแดนอเวจี [7]
แต่ในยามนี้ เมื่อมองไปยังผิวหน้าที่แข็งค้างโดยมีแววหลงใหลของพวกเขา ราวกับพวกเขากำลังบอกผู้คนว่าตนยังคงติดอยู่ในสรวง์ที่ทุกคนปรารถนา พวกเขายอมตายด้วยความเต็มใจ ตายไปพร้อมกับความสุขสม
เยวี่ยหลิงหลงย่างก้าวอย่างอ่อนโยนเชื่องช้า ก่อนหยุดลงตรงทางแยก
นางกะพริบตาคู่งามเบาๆ ประกายเยือกเย็นลึกลับในดวงตาของนาง ไม่ต่างจากเส้นทางลึกล้ำในยามนี้ ด้วยมันทั้งแปลก ลึกลับ ไร้ก้นบึ้งและเงียบงัน
สาวใช้ทั้งเจ็ดยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังเยวี่ยหลิงหลงอย่างเคร่งขรึม
เยวี่ยหลิงหลงเอียงหัวเล็กน้อย ใบหน้าสงบนิ่งค่อยๆ ปรากฏส่วนโค้งตื้นๆ เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า “จังหวะเวลา สภาพทางภูมิศาสตร์ และผู้คนล้วนเอื้ออำนวยต่อกัน [8]...ขอให้พวกเ้าสนุก”
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนางคือสาวใช้ผู้มากความสามารถที่สุดของนาง มีนามว่าหงซี
หงซีหรี่ตาลงเล็กน้อย พยายามไตร่ตรองหมอกควันที่สื่อออกมาจากดวงตางดงามไร้อารมณ์ของเยวี่ยหลิงหลงอย่างรอบคอบ
ดวงตาของเยวี่ยหลิงหลงสงบนิ่งราวกับน้ำ แต่มีเพียงหงซีเท่านั้นที่เข้าใจความหมายเื้ัดวงตาของนาง
ความหนาวเย็นจางๆ ฉายผ่านดวงตาแข็งกร้าวของหงซี เสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยวดังออกมาจากปากของนาง “เ้าค่ะ!”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กระดูกเก่า (老骨头) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าผู้สูงอายุหรือคนแก่
[2] กินเกลือมามาก (吃过的盐还多) เป็วลี มีความหมายว่ามีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า
[3] ขนยังไม่ทันขึ้น (毛都没长齐) เป็วลี มีความหมายว่า ยังไม่โตเต็มที่ หรือเด็กเล็ก
[4] กล้วยไม้ในหุบเขาร้าง (空谷幽兰) เป็สำนวน มีความหมายว่า สตรีที่งดงามและเยือกเย็น มาจากประโยคที่ใช้พรรณนาถึงเสี่ยวหลงหนวี่ (小龙女) หรือที่คนไทยมักเรียกว่า เซียวเหล่งนึ่ง
[5] ขี่วายุคืนถิ่น (欲乘风归去) เป็วลี มีความหมายว่าคนที่้ากลับไปสู่ตำแหน่งหรือถิ่นฐานเดิม
[6] เทพธิดาหลิงปัว (凌波仙子) เป็บุคคลในตำนานจีนโบราณที่อาศัยอยู่บนท้องฟ้า มีชื่อเสียงในฐานะอวตารของดอกสุ่ยเซียนหรือดอกดารารัตน์
[7] นรกแดนอเวจี (深渊地狱) เป็นรกขุมที่ลึกที่สุดในบรรดามหานรก 8 ขุมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
[8] จังหวะเวลา สภาพทางภูมิศาสตร์ และผู้คนล้วนเอื้ออำนวยต่อกัน (天时地利人合) เป็วลี มีความหมายว่า ทุกสิ่งกำลังพอเหมาะพอดี