เนื่องจาก้าเข้าร่วมงานประมูล จุนห่าวจึงขายยาวิญญาเกรดสูงจำนวนหนึ่ง ถามว่าเหตุใดจุนห่าวถึงขายยาิญญา จุนห่าวต้องพูดแน่ว่า เพราะยาิญญามีค่ายิ่ง ราคายาิญญาเกรดสูงหนึ่งขวด มีราคาแพงกว่ายาิญญาทั่วไปหลายเท่า ตามที่พลังปราณของจุนห่าวเพิ่มขึ้น ความกล้าหาญก็มากขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ขายแต่ยาิญญาธรรมดาๆ
จุนห่าวพุ่งตัวเข้าไปในตรอกเล็กอันห่างไกล จากนั้นเขาก็ยืนขวางพร้อมกางแขนทั้งสองข้างตรงนั้น ั้แ่จุนห่าวออกจากร้าน ก็รู้ตัวว่าเขาถูกสะกดรอยตาม หลังจากที่จุนห่าวขายยาิญญา เขาถูกสะกดรอยตามอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งจุนห่าวจะปล่อยพวกเขากลับไป ครั้งนี้จุนห่าวไม่คิดจะปล่อยพวกเขาแล้ว ทุกครั้งที่ออกมาขายยาิญญาจะถูกติดตาม เขาเบื่อหน่ายเต็มที เขาอยากรู้ว่า เป็คนของฝ่ายใดที่สะกดรอยตามเขาอย่างไม่ลดละ ดังนั้นจุนห่าวจึงไม่กำจัดหางเล็กๆ ในเวลานี้ แต่ชักนำพวกเขาเข้าไปตรอกแห่งความตายอันแสนห่างไกล
คนที่ติดตามอยู่ข้างหลังเห็นจุนห่าวเข้าไปในตรอกแห่งความตาย ตามเข้าไปอย่างไม่คิด หลังจากเข้าไปก็เห็นจุนห่าวทำตัวตามสบาย และกางแขนทั้งสองข้างสกัดพวกเขา
จุนห่าวเห็นคนไม่กี่คนที่ยืนอึ้ง ยกคิ้วขึ้นพร้อมดวงตาซุกซนของเขา และเอ่ยว่า “1 2 3 4 5” นับจำนวนพลางมองคนเ่าั้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ พูดอย่างเหยียดหยามว่า “ข้าเป็ใครรึ ตามติดข้ามาตลอดหลายวัน เป็หนู 5 ตัวนี้นี่เอง!” พูดจบ ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดพลางขมวดคิ้วอีกครั้งว่า “นายของพวกเ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ที่ส่งหนู 5 ตัวอย่างพวกเ้ามา คิดจะจับข้า ช่างเพ้อฝันเสียจริง”
คนเ่าั้ได้ยินจุนห่าวเรียกพวกเขาว่าหนู โกรธจนเกือบจะอาเจียนเป็เื พวกเขาคือผู้ช่วยขององค์ชายสามที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเหยียดหยามเช่นนี้
คนที่เป็ผู้นำะโใส่จุนห่าวเสียงดังว่า “เ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนี้อีก ข้าขอเตือนเ้า ลดมือลงให้จับกุมประเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่เ็ปอย่างขมขื่น มิฉะนั้นอย่าโทษข้าก็แล้วกัน” คนที่เป็ผู้นำยิ่งคิดอยากจะฆ่าจุนห่าวเสียตอนนี้ เขา้าให้จุนห่าวรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็หนู แต่ทว่า เบื้องบนสั่งมาว่าให้จับเป็ พวกเขาสกัดคนๆ นี้มาหลายวันแล้ว แต่ก็ปล่อยให้เขาหนีได้ตลอด ชายคนนี้ไหลลื่นและจับยากยิ่งนัก ในที่สุดวันนี้ก็ถูกพวกเขาสกัดเอาไว้ได้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาไม่อาจสะกดรอยตามจุนห่าวได้เลย
วันนี้กลับสกัดได้ง่ายดาย เป็เพราะเหตุใด
“ข้าอยากจะรู้ว่าหมัดของเ้าจะหนักขนาดไหน หรือหมัดของข้าที่หนักกันแน่ ไม่ถูก ของเ้าคงจะเป็เล็บ เล็บจะสู้หมัดได้หรือ?” จุนห่าวถามอย่างขยิบตาและพลิกลิ้น คนที่เป็ผู้นำโกรธถึงขีดสุด
เขาะโใส่คนรอบๆ ตัวเขาว่า “พวกเ้าไม่ต้องลงมือ หากวันนี้ไม่ได้จัดการเ้านี่ คงยากที่ข้าจะขจัดความเกลียดชังในใจได้ รับมือกับมดตัวนี้ ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” พูดจบก็พุ่งเข้าใส่จุนห่าว และปล่อยหมัดตรงหัวของจุนห่าว
แม้ว่าคำพูดเหยียดหยามจะเปล่งออกจากปากจุนห่าว ทว่าก็มิได้ดูถูกพวกเขา เขาแค่อยากจะเตือนคนกลุ่มนี้ พลังปราณของคนกลุ่มนี้ต่างสูงส่ง พลังปราณของผู้นำอยู่ที่ลมปราณระดับแปด ส่วนคนอื่นมีพลังปราณอยู่ที่ลมปราณระดับเจ็ด มิใช่เื่ง่ายที่จะจัดการกองกำลังขนาดเล็กนี้ได้ คนที่มีลมปราณระดับแปดสามารถเป็เ้าเมืองของเมืองระดับสอง แต่ตอนนี้เขาถูกส่งตัวมาจับเขา ดูเหมือนว่าใน่เวลานี้จะเด่นเกินหน้าเกินตา ถึงเป็ที่สนใจจากคนใหญ่คนโต ตอนที่เขาขายยาิญญาเกรดดี คิดอยู่แล้วว่าคงตกเป็เป้าสายตา ทว่าจุนห่าวไม่แยแส
จุนห่าวไม่ได้หลบ แต่ออกหมัดกลับ พร้อมเผชิญหน้ากับคนที่เป็ผู้นำนั้นโดยตรง หมัดทั้งสองัักัน จุนห่าวไม่เป็อันใด ส่วนผู้นำถูกจู่โจมเต็มๆ เห็นคนบินทยานออกไป จุนห่าวตกตะลึง เขามองที่หมัดของเขา คิดว่าหมัดจะเหมือนแต่ก่อน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่า หมัดของเขาจะทรงพลังเช่นนี้ คู่ต่อสู้คือนักพรตที่มีลมปราณระดับแปดเช่นเดียวกับเขา ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาประเมินความแข็งแกร่งของตนเองต่ำไปจริงๆ จุนห่าวคิด ดูท่าต่อไป เขาต้องต่อสู้กับผู้คนให้มากขึ้น มิฉะนั้นเขาจะไม่รู้พลังของตัวเองจริงๆ ว่าเป็เช่นไร
เสี่ยวไป๋เห็นจุนห่าวตะลึงงันกับตัวเอง พูดอย่างอิจฉาว่า “เ้าเป็กระต่ายตื่นตูมเสียจริง ไม่ต้องดูแล้ว นั่นคือหมัดของเ้า สร้างจากพลังของจื่อเหมยเบิกฟ้า ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเ้าเทียบได้กับสัตว์อสูร การรับมือกับคนที่มีพลังปราณระดับแปด จึงมิใช่เื่ยุ่งยากอีกต่อไป ดังนั้นเ้าไม่ต้องตกอกใไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ จุนห่าวพูดกับเสี่ยวไป๋ว่า “ดูเมือนว่าต่อไป ข้าต้องดีต่อจื่อเหมยเบิกฟ้าเสียหน่อย ข้าได้ประโยชน์จากมันมามากทีเดียว ใช่แล้ว จื่อเหมยเบิกฟ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
“อาการาเ็ไม่ได้แย่ลง มีสัญญาณว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ที่นี่แห้งแล้งเกินไป ขนาดยารักษาอาการาเ็ที่ดีก็ยังไม่มี” เสี่ยวไป๋พูดด้วยน้ำเสียงถอดใจ
“มีสัญญาณที่ดีถือเป็การเริ่มต้นที่ดี สำหรับยารักษาข้าก็ไม่รู้วิธี ได้ยินมาว่า มีของดีๆ มากมายในการประมูลครั้งนี้ ข้าจะดูว่ามีไหม” จุนห่าวกล่าว การถ่ายทอดวิชาต่างๆ ของแผ่นดินชางหลานเกือบจะถูกตัดรอนแล้ว บัดนี้มีเพียงศิลปะการต่อสู้บางอย่างและตระกูลใหญ่ที่ยังมีการถ่ายทอด ทว่าการถ่ายทอดที่ได้มีเพียงทางกาย แม้ว่าเขาจะได้รับการถ่ายทอดเป็ตำรายาเฮยหยุน ก็น่าเสียดายที่ไม่มีธาตุไฟ เขาค้นพบว่าอุณหภูมิของไฟในเคล็ดวิชาธาตุไฟไม่มากพอ และไม่มีเตาหลอม ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองดู ฟังจากที่เสี่ยวไป๋บอก บนแผ่นดินแห่งการฝึกตนให้เป็เซียนอันรุ่งโรจน์ เมืองใดที่มีห้องบ่มไฟให้เช่า เพื่อให้นักพรตระดับต่ำที่ไม่มียาไฟเ่าั้ ได้รวมกับเตาหลอมที่พบได้ตามท้องถนน แม้ว่า เสี่ยวไป๋จะพูดเกินจริงอยู่บ้าง ทว่าก็ใส่ปุ่ยให้กับความแห้งแล้งของแผ่นดินชางหลานได้ ได้ยินว่าบนแผ่นดินชางหลานมีเพียงในเมืองหลวงของสามจักรวรรดิเท่านั้น
ภายในสามสำนักใหญ่จะมีพื้นห้องดับเพลิง ดูท่าการที่เขาคิดจะฝึกปรุงยาต่องไปให้พ้นจากที่เหล่านี้
การที่จุนห่าวไม่รีบเร่งที่จะเรียนรู้การปรุงยา นั่นก็เพราะเขารู้สึกว่ายาิญญาในตอนนี้มีน้อยนัก และเขาใช้ยาิญญาเกรดดีที่ไม่มีผลข้างเคียง จุนห่าวไม่เคยกินยาวิเศษมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ายาวิเศษมีประสิทธิภาพแค่ไหน
“เ้าจะพึ่งแต่โชคไม่ได้ เ้ามีมรดกของการปรุงยา เ้าควรเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เ้าต้องรู้ว่าผลของยาวิเศษก่อน มันเทียบไม่ได้กับยาิญญา ยามนี้เ้าคิดว่ายาิญญานั้นดี นั่นก็เพราะเ้าไม่เคยกินยาวิเศษไงล่ะ” เสี่ยวไป๋ยกความผิดเป็ข้อๆ ขึ้นมากล่าว เสี่ยวไป๋รู้สึกว่าจุนห่าวรุดหน้าไป แต่ความรู้ของเขายังตื้นบางอยู่ ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ชาติกำเนิดจะกำหนดชะตา จุนห่าวเกิดในสถานที่แห้งแล้ง ขอบเขตการมองโลกมีจำกัด ดังนั้นจุนห่าวต้องออกไปขยายขอบเขตและเพิ่มพูนความรู้ ได้เห็นอะไรเพิ่มขึ้น ย่อมเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าเขาต้องกระตุ้นจุนห่าวให้ขยันขึ้นอีก เขารู้สึกว่าเขามีความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง
“ยามนี้คิดจะศึกษาก็ไม่มีเงื่อนไขใดๆ รอให้จัดการเื่สายฟ้าก่อน เขาค่อยศึกษาการกลั่นยา เวลาของสายฟ้ามีไม่มากแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งปี หากเทียบอายุขัยกับมนุษย์ ตอนนี้สายฟ้าทั้งโตทั้งอายุเพิ่มขึ้นแล้ว” จุนห่าวพูดกับเสี่ยวไป๋ สายฟ้าไม่เหมือนเสี่ยวไป๋ ที่มีอายุขัยยาวนานอย่างนั้น แค่เสี่ยวไป๋หลับไปครู่หนึ่ง ก็เท่ากับ่ชีวิตของสายฟ้าหลายปี
“ก็จริง สุนัขโง่ตัวนั้นรอไม่ได้แล้วจริงๆ” เสี่ยวไป๋กล่าว คิดในใจ นี่คือความแตกต่างระหว่างสัตว์ธรรมดากับสัตว์อสูร แต่สายฟ้าโคดีที่ได้อยู่กับจุนห่าว
จุนห่าวและเสี่ยวไป๋สื่อสารกันเพียงแค่ชั่วขณะนึง เขาก็เห็นผู้นำนอนกองอยู่บนพื้น และไม่มีสัญญาณว่าจะลุกขึ้น คิดในใจ คนๆ นั้นคงไม่เป็อย่างที่เสี่ยวไป๋บอกหรอกนะว่ามีแค่เนื้อหนัง หมัดเดียวของเขาก็สังหารคนๆ นั้นได้แล้ว ตามความคิดของจุนห่าวเมื่อครู่นี้ พลางเห็นสหายของคนนั้นพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “หัวหน้า หมดลมหายใจแล้ว” พูดจบ ก็หันขวับมามองจุนห่าวราวกับปีศาจ คนกลุ่มนั้นคิดในใจ ในบรรดานักพรตระดับเดียวกัน พวกเขาจะมีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัดเหล็กคู่นั้นของหัวหน้า ที่ไม่มีศัตรูหน้าไหนเอาชนะได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะต้องตายด้วยหมัดๆ เดียว พลังปราณของนักฆ่าคนนั้นสูงแค่ไหนกันนะ คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็สั่นไหว ดูท่าวันนี้คงยากที่จะหลบหนีแล้ว
จุนห่าวเห็นชายคนกลุ่มนั้นมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จุนห่าวเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความปราณีว่า “มองอะไร ที่ข้าบอกว่าพวกเ้าเป็แค่หนูไม่กี่ตัว พวกเ้าก็ยังไม่อยากฟัง ดูสิ หัวหน้าหนูของพวกเ้ายังถูกหมัดของข้า สังหารในหมัดเดียว หากยังกล้าจะสู้กับข้า นี่ก็คือจุดจบของเ้า”
จุนห่าวตั้งใจจะไม่ปล่อยคนพวกนั้นอยู่แล้ว หากไม่ตัดรากถอนโคน ลมพัดมาก็งอกงามใหม่ เขาไม่อาจปล่อยให้ภัยคุกคามใดๆ ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
คนเ่าั้รู้ว่าพวกเขามิใช่คู่ต่อสู้ ในเมื่อหนีไม่ได้ งั้นคงทำได้แค่สู้สุดชีวิต พวกเขาถืออาวุธวิเศษของตัวเองและวิ่งเข้าปะทะจุนห่าวราวกับฝูงผึ้ง จุนห่าวยกหมัดขึ้น และไม่กี่หมัดนั้นก็สังหารพวกเขาในพริบตา ช่างเป็เื่ง่ายเสียจริง จุนห่าวเอาของมีค่าออกจากร่างของคนพวกนั้น แล้วใช้ลูกไฟแผดเผาจนเกลี้ยง คิดในใจ พวกเ้านี้อดไม่ได้ที่จะต่อสู้จริงๆ ดูเหมือนว่าต่อไปเขาต้องหาคนที่มีพลังปราณสูงกว่าเขาเพื่อฝึกปรือ ก่อนหน้านี้ เขาประเมินความแข็งแกร่งของตนเองต่ำไป และประเมินความแข็งแกร่งของผู้อื่นสูงไป
หลังจากจุนห่าวจัดการคนพวกนั้นแล้ว เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่นี้เขาตื่นเต้นเกินไป จนลืมสอบถามว่าแท้จริงแล้วใครเป็คนส่งพวกเขามา เมื่อครู่นี้เขาหยิบแต่ตั๋วเงินออกจากร่างกายพวกเขา อย่างอื่นเขาทิ้งไว้พร้อมเผาไฟจนสิ้น บัดนี้ ไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำพลาดกับเื่ง่ายๆ อย่างนี้ คิดในใจ ครั้งต่อไปก่อนจะลงมือ ต้องเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองให้ดีเสียก่อน
จุนห่าวเลิกปลอมตัว และเดินไปรอบๆ เมืองอยู่หลายรอบอย่างช้าๆ ก่อนจะกลับไปยังบ้านถ้ำ เห็นหานรุ่ยนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้หานรุ่ยไม่บำเพ็ญเพียรหรือ พอเขามองอย่างพินิจพิจารณา หานรุ่ยเลื่อนขั้นแล้ว
หานรุ่ยพูดกับจุนห่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มองออกแล้วรึ ข้าเลื่อนขั้นแล้ว” พูดจบ ชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยังถือว่าช้าเกินไป ตอนนี้ก็สามปีแล้ว ข้ายังมีพลังปราณอยู่ที่ลมปราณขั้นที่เจ็ดเอง”
จุนห่าวคิดในใจ บำเพ็ญเพียรสามปี พลังปราณอยู่ที่ลมปราณขั้นที่เจ็ดยังถือว่าช้าหรือ? หากหานรุ่ยอยู่ข้างนอกคงปลุกความโกรธของผู้คนเป็แน่ “ไม่ช้าแล้ว หลายปีมานี้ เ้ามิได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการบำเพ็ญเพียร ความเร็วระดับนี้ไม่ช้าแล้ว” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย
“เทียบกับเ้าแล้วถือว่าช้ามาก เ้ามีพลังปราณอยู่ลมปราณระดับแปดแล้ว” หานรุ่ยกล่าว เขารู้ว่าเขาร้อนใจ ทว่าไม่อยากด้อยกว่าจุนห่าว ดังนั้น ทำได้แต่พยายามตามให้ทัน
จุนห่าว : ...... ดูเหมือนว่าตัวเขาจะกดดันหานรุ่ยแล้ว
หานรุ่ยทราบดีว่าพูดเื่นี้ไปก็ไร้ความหมาย จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และเอ่ยขึ้น “วันนี้เ้ากลับมาดึกนะ”
“ตอนที่ข้ากลับมาเผอิญพบกับหนูหลายตัว แต่ข้าก็สังหารพวกมันด้วยหมัดเดียว” จุนห่าวพูดอย่างไม่สนใจไยดี จากนั้นก็เล่าเื่ราวที่ประสบมาให้หานรุ่ยฟัง
หานรุ่ยก็ตกตะลึงกับพลังการต่อสู้ของจุนห่าว จากนั้นเปลี่ยนเป็ปิติยินดี “จื่อเหมยเบิกฟ้าเป็สิ่งดีจริงๆ จากนี้ไปเราต้องดีต่อจื่อเหมยเบิกฟ้าให้มากๆ ครั้งนี้เป็หนี้เขาแล้ว”
“ใช่ ต่างบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการตอบแทนบุญคุณ” จุนห่าวพูดด้วยความรู้สึกลึกๆ
“ยากที่จะตอบแทน แต่ก็ต้องตอบแทน อันที่จริง การยึดครองมันของเรา คือโอกาสของเขา” หานรุ่ยกล่าว
“ถ้าเป็เช่นนั้น เราให้ลูกชายของเราแต่งงานกับเขา ตอบแทนเช่นนี้คงพอ” จุนห่าวคิดๆ ดู และเอ่ยขึ้น
หานรุ่ยหมดคำพูด คิดในใจ นี่คือจะขายลูกชายหรือ? อีกอย่าง พวกเขาก็ยังไม่รู้เพศของจื่อเหมยเบิกฟ้า เขาก้มหน้าไว้อาลัยให้บรรดาลูกชาย
