ปี 1954 โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามประจำซางตูก่อตั้งขึ้นเจิ้งจงฝูซึ่งตอนนั้นอายุ 20 ปีได้ตอบรับคำเรียกร้องของประเทศชาติใช้เงินเก็บซื้อตั๋วรถไฟจากทางใต้มายังซางตูหนึ่งใบเข้าร่วมเป็กำลังสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอของซางตูปฏิบัติงานในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามมานานกว่า 30 ปี
30 ปี จากเสี่ยว [1] เจิ้งกลายเป็เหล่าเจิ้ง
เหล่าเจิ้งแต่งภรรยาและมีลูกอยู่ในซางตู รวมถึงลงหลักปักฐานในซางตู
จิติญญาที่กระฉับกระเฉงตอนวัยหนุ่มได้แปรเปลี่ยนเป็ไรผมสีขาวเหล่าเจิ้งมีภาระหนักหน่วงเมื่อเทียบกับพนักงานของโรงงานฝ้ายคนอื่นเขาและภรรยามีลูกด้วยกันถึง 4 คน มีเพียงคนโตที่เป็ผู้หญิงส่วนอีกสามคนเป็ผู้ชายทั้งหมด นอกจากลูกสาวที่ออกเรือนแล้วลูกชายสามคนล้วนเบียดอาศัยกับเหล่าเจิ้งและภรรยาในบ้านอัรคับแคบไม่มีใครยอมย้ายออกไป
เนื่องจากไร้ที่ให้ย้ายไป แม้ลูกชายคนโตของเขาจะเข้าทำงานในโรงงานั้แ่สองปีก่อนกลายเป็คนงานคนหนึ่งของโรงงานฝ้ายแห่งชาติแล้ว แต่ทางโรงงานกลับยังไม่ได้จัดสรรที่อยู่อาศัยให้เขา
ชายโสดที่ยังหนุ่มแน่นจะรับการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยทำไม เคหสถานไม่เพียงพอย่อมกระจายให้ผู้มีครอบครัวต้องดูแลก่อน
นี่คือวัฏจักรที่ไร้ทางไปต่อพอไม่มีบ้านลูกชายคนโตของเหล่าเจิ้งก็แต่งงานไม่ได้ได้ยินมาว่าลูกชายทั้งสามคนของเขา มีผู้อื่นแนะนำคู่หมายให้กี่หนก็ไม่สำเร็จเหล่าเจิ้งเฝ้ามองลูกชายที่เคยร่าเริงจนกลับกลายเป็เงียบขรึม ไม่ชอบยิ้มแย้มไม่ชอบพูดคุย
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดคือแม่ยายของเหล่าเจิ้งเพิ่งเป็อัมพาตลูกชายลูกสาวคนอื่นไม่ยินดีปรนนิบัติดูแล ภรรยาเหล่าเจิ้งจึงพากลับบ้าน... เดิมทีในบ้านก็แน่นพอแล้วตอนนี้ 6 คนอัดอยู่ด้วยกันในห้องเดียว!
6 คนเป็ผู้ใหญ่ แถมยังมีคนป่วยที่ต้องนอนติดเตียงทั้งวัน
ความขัดสนด้านที่อยู่อาศัยของครอบครัวเหล่าเจิ้งไม่ได้หนักหนาแบบธรรมดา
เหล่าเจิ้งแจ้งความลำบากของครอบครัวตนกับโรงงาน ความ้าของเขาก็ไม่เกินสมควร้าเพียงเปลี่ยนบ้านเดิมของเขาซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนและหนึ่งห้องเล็กขนาดครึ่งห้องรับแขกเป็บ้านที่ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยแม้เป็แค่สองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก สมาชิก 6 คนก็อาศัยได้
“ผมไม่้าเพิ่มความยุ่งยากให้โรงงาน เมื่อก่อนในบ้านก็เบียดด้วยผู้ใหญ่สองคนกับเด็กอีก 4 คน ผมเคยขออะไรหรือ? แต่ตอนนี้พวกลูกๆเขาเติบโตแล้ว แม่ยายก็เป็อัมพาตจะทิ้งไว้ข้างนอกคงไม่ได้ ผู้ใหญ่ 6 คนอาศัยในห้องนอนเดียวได้หรือ? เปลี่ยนเป็สองห้องนอนหรือแบ่งบ้านหลังเล็กให้ก็ได้ผมจะได้ให้เ้าลูกชายคนโตย้ายออกไปแต่งงานเสียที!”
ใช่ ความ้าของเหล่าเจิ้งไม่เกินความสมควรจริงๆ
เขามีลูกสี่คนก็มิใช่ความผิด สมัยนั้นรัฐยังไม่ได้ประกาศขอความร่วมมือในการวางแผนมีบุตร
ลูกชายคนโตของเหล่าเจิ้งทำงานในโรงงานเหมือนกัน หากไม่ได้รับการจัดสรรบ้านด้วยสภาพบ้านของเหล่าเจิ้งนั้นชาตินี้อย่าคิดว่าจะหาสตรีที่ยินยอมแต่งงานด้วยได้เลยแต่งเข้าบ้านแล้วจะอาศัยตรงไหนเล่า ทั้งครอบครัวของเหล่าเจิ้งสามารถเบียดเสียดในห้องเดียวกันนั่นก็เป็เพราะพวกเขาคือเครือญาติมีความสัมพันธ์ทางสายเื แต่ภรรยาจะอาศัยกับพ่อสามีในห้องเดียวกันได้หรือ?
คำร้องขอไม่เกินควร ทางโรงงานเองเห็นใจไม่น้อยจึงประชุมว่าจะแก้ไขความลำบากในการดำรงชีวิตของพนักงานเก่าแก่ผู้นี้
โควตาสิบจำนวนของการจัดสรรที่อยู่อาศัยหนนี้หยวนหงกังคิดว่าควรมอบแก่ครอบครัวเจิ้งจงฝูหนึ่งหลัง เกริ่นขึ้นในที่ประชุมคนอื่นๆ ไม่มีใครคัดค้าน มีแต่ติงอ้ายเจินที่แย้งว่าไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ของโรงงาน
“ทุกคนมีความลำบากเหมือนกันหมด เจอปัญหาก็ต้องโยนให้โรงงานจัดการหรือ? ไม่ควรจัดสรรที่อยู่อาศัยให้คนงานโสดนะ มีคนอีกมากมายในโรงงานอาศัยหอพักเดียวกันคนอื่นอยู่ได้ ลูกชายคนโตของบ้านเจิ้งจงฝูจะอยู่ไม่ได้เชียวหรือ? รอแต่งงานก่อนค่อยจัดสรรตามคุณสมบัติก็ยังทัน แบบนี้ถึงจะไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์เป็คนหนุ่มสาวก็อย่าอ่อนแอเกินไป ไม่ควรคิดจะได้อะไรสูงสุดในชั่วพริบตาเดียว!”
ฟังดูแล้วช่างมีเหตุหล
แต่ไม่ได้แก้ไขความลำบากของครอบครัวเหล่าเจิ้งแม้แต่น้อย
ให้ลูกชายเหล่าเจิ้งอาศัยหอพักนั้นไม่มีปัญหาทว่าพลาดการจัดสรรคราวนี้แล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรทางโรงงานถึงจะมีโควตาใหม่
ผู้อำนวยการติงวาจาเด็ดขาดผ่าเผย แต่การกระทำใจไม้ไส้ระกำเหลือเกิน
ส่วนโควตาสองหลังที่เธอพยายามชิงกลับโน้มน้าวตามเกณฑ์ได้แท้จริงแล้วความ้าของสองครัวเรือนนั่นยังห่างไกลจากความ้าเร่งด่วนอย่างครอบครัวของเจิ้งจงฝูอยู่มากหลายคนเข้าใจดีว่าติงอ้ายเจินจงใจทำลายเื่ของเจิ้งจงฝู ใครใช้ให้เจิ้งจงฝูเคยทำติงอ้ายเจินขุ่นเคืองเมื่อครั้งยังเยาว์วัยกันเล่า?
ติงอ้ายเจินเป็พวกผูกพยาบาท พอเกิดความแค้นขึ้นก็กินเวลาถึงยี่สิบปี! หยวนหงกัง้าเจรจาแทนเหล่าเจิ้ง ทว่าเขาก็แค่รองผู้อำนวยการโรงงาน และผู้อำนวยการโรงงานดันสนับสนุนติงอ้ายเจินน่ะสิ!
เจิ้งจงฝูคือคนงานแสนสัตย์ซื่อสุจริตเวลานี้อยากจะเอามีดแทงติงอ้ายเจินจนตายให้ได้...ความหวังที่จะได้รับการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยล้มเหลวอีกครั้ง ลูกชายของเขาครุ่นคิดจิตใจล่องลอยทำเื่ผิดพลาดขณะเครื่องจักรกำลังทำงาน ทำให้มือข้างหนึ่งติดเข้าไปในเครื่องจักร
คนถูกช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ไม่มีมืออีกแล้ว
เหลือมือเพียงข้างเดียว แต่ภายภาคหน้ายังต้องมีชีวิตอีกหลายสิบปี! เจิ้งจงฝูผมขาวเกือบหมดภายในชั่วข้ามคืน
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เื่เล็กน้อย ไม่ใช่แค่คนของโรงงานฝ้ายที่สามที่รู้ขนาดโรงงานอื่นก็ยังได้ยินข่าวคราวด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เลยว่าควรจะกล่าวอะไรดี
เธอสงสารในเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ครอบครัวเจิ้งจงฝูต้องเผชิญและยิ่งอัศจรรย์ใจในความอาจหาญโอหังของติงอ้ายเจินเข้าไปใหญ่—เื่ของบ้านเจิ้งเพิ่งเกิดขึ้นสินะติงอ้ายเจินกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในจิตใจเลยแม้แต่น้อย? จนป่านนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรปฏิบัติอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวติงอ้ายเจินยังคิดจะทำให้เธอก้มหัวรับผิดทุกวิธีทางอยู่ได้
อาจจะใช่ ติงอ้ายเจินคิดว่าเธอมาจากชนบท ไร้ซึ่งเส้นสายใดในซางตูอยากข่มเหงตามอำเภอใจก็ทำเลย
ก็เหมือนกับคนซื่อสัตย์เช่นเจิ้งจงฝู ข่มเหงไปก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรสินะ?
“ลุง ลุงสอบถามเจิ้งจงฝูดูหน่อยยินดีเขียนจดหมายรายงานลงนามจริงสักฉบับหรือไม่”
“มีประโยชน์หรือ? เื่นี้ว่ากันว่าเป็การแก้เผ็ดจากติงอ้ายเจินโดยการปัดตกโควตาจัดสรรที่อยู่อาศัยของครอบครัวเจิ้งจงฝูอย่างไรเสียก็ไร้ซึ่งหลักฐาน”
ผู้คนที่เกลียดชังติงอ้ายเจินมิใช่ไม่เคยเขียนจดหมายรายงานทว่าราวกับก้อนหินจมลงมหาสมุทร [2]
“ได้ผลหรือไม่ ต้องดูว่าจะใช้ประโยชน์อย่างไรตอนนี้เจิ้งจงฝูคือผู้ที่ทุกคนเห็นอกเห็นใจ ให้เขาเป็ผู้นำยืนหยัดขึ้นบางทีอาจก่อเกิดผลลัพธ์ของการรายงานที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้”
สำหรับการเผด็จศึกผู้ข่มเหงย่อมรอคอยได้
หากคนพิการคือเจิ้งจงฝูยังพอยอมรับไหว แต่นี่กลับเป็ลูกชายซึ่งยังไม่เป็ฝั่งเป็ฝาบ้านเจิ้งจะทนไหวได้อย่างไร! จงใจรังแกคนซื่อสัตย์คนซื่อสัตย์ไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษหรือไร ถึงสมควรต้องโดนติงอ้ายเจินข่มเหง?
----------------------------------------
ขณะเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังใช้วิธีของตนในการต่อกรกับติงอ้ายเจินคังเหว่ยและเส้ากวงหรงได้นั่งรถไฟมาถึงซางตูเรียบร้อยแล้วลุงของเส้ากวงหรงส่งคนมารับที่สถานี คังเหว่ยจึงไปหาเซี่ยเสี่ยวหลานทันทีไม่ได้
เลขาของลุงเส้าติดตามเขามาหลายปีแล้ว สนิทสนมกับเส้ากวงหรงทีเดียว
เมื่อคังเหว่ยบอกว่า้าความช่วยเหลือเส้ากวงหรงไม่รบกวนลุงของเขาแม้แต่น้อย ทว่าติดต่อกับเลขาโหวโดยตรง
แต่เส้ากวงหรงมาเยือนซางตูหนนี้ต้องไปเยี่ยมเยียนลุงของเขา...ทำไมเลขาโหวถึงยินดีช่วยเหลือน่ะหรือ แข่งอะไรก็แข่งได้ยกเว้นแข่งวาสนาเส้ากวงหรงเป็ลูกชายคนเดียวของบ้านเส้า ทั้งบ้านล้วนรักใคร่เขาเหลือขนาดเลขาโหวย่อมต้องประจบ ‘คุณชายเส้า’ คนนี้อยู่แล้ว
คังเหว่ยทำตามเลขาโหว เรียก ‘คุณชายเส้า’ อย่างมีเลศนัย เส้ากวงหรงรู้สึกอับอาย “พี่โหวพี่อย่าล้อเล่นเลย มาซางตูครั้งนี้นอกจากเยี่ยมเยียนคุณลุงแล้ว ยังมีธุระอื่นอีกเล็กน้อยจะขอให้พี่ช่วย”
เลขาโหวผู้เคร่งขรึมทะนงตนต่อหน้าคนนอกยิ้มระรื่น “แค่คุณเรียกผมว่าพี่ชายคำเดียว ธุระของคุณจะไม่สำเร็จได้อย่างไร? ตกลง พวกคุณรีบเข้าไปพบผู้ใหญ่เถอะ”
แม้คุณลุงเส้าจะมีตารางงานแน่นเป็ที่สุด แต่ยังหาเวลามาพบหลานชายอยู่ดี
เขามีมิตรไมตรีต่อคังเหว่ยเช่นเดียวกัน รับประทานอาหารกับทั้งสองคนพอได้ฟังว่าเส้ากวงหรงจะพักผ่อนหย่อนใจในซางตูหลายวัน ลุงเส้าก็ยินดีปรีดา
“ไม่อนุญาตให้ก่อเื่ เวลาออกไปข้างนอกก็วานเสี่ยวโหวจัดรถให้สักคัน”
คังเหว่ยอิจฉาเหลือเกิน
ลุงเส้าไม่เก็บซ่อนความสนิทสนมต่อหลานชายเลยแม้แต่นิดเดียวครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ความอัธยาศัยดีของอารองที่มีต่อเขากลับผิวเผินเท่านั้น
เขาไม่เคยคาดหวังผลประโยชน์มากน้อยจากอาร่วมสายเืเขาไร้บิดาั้แ่ยังเด็ก สิ่งที่คังเหว่ยโหยหามากกว่าคือความห่วงใยจากผู้ใหญ่เพศตรงข้าม
“ไปเถอะน้องชาย ไม่ใช่ว่าจะพาฉันไปเจอภรรยาโจวเฉิงหรือ?”
เส้ากวงหรงขัดจังหวะความน้อยเนื้อต่ำใจของคังเหว่ย เส้าปากสว่าง... โอ้ไม่สิคุณชายเส้ามีความสงสัยใคร่รู้อันแรงกล้าต่อคนรักของโจวเฉิง เพราะมีหญิงสาวมากมายพร้อมโผเข้าอ้อมอกโจวเฉิงแต่ก็ไม่เคยเห็นโจวเฉิงจะสนใจคนไหนเลยน่ะสิ!
เชิงอรรถ
[1]小 เสี่ยว หมายถึง เล็ก น้อย เมื่อใส่นำหน้าชื่อหรือนามสกุลคนจะแสดงความสนิทสนมของผู้พูดที่มีต่อผู้ถูกเรียก
[2]石沉大海 หินจมลงมหาสมุทร หมายถึง ไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ยินอีกเลย ไร้ซึ่งการตอบรับ
