เื้ัของกู้ฉี มีบุรุษสี่คนร่างกายกำยำในชุดรัดรูปยืนอยู่ข้างม้า
เฉินเผิงเฟยก็เป็หนึ่งในคนแต่งชุดรัดรูปด้วยเสื้อผ้าสีเทาเข้มเรียบร้อย เขาจูงรถม้าไปผูกไว้ใกล้กับรถม้าของโหยวซาน
สองคนทักทายกันเล็กน้อย สายตาที่โหยวซานมองมาทางพวกเขามีคำถามอย่างเจาะลึก
ยามเช้าตรู่ คุณชายกู้อู่พาองครักษ์ฝีมือล้ำเลิศมายังที่นี่ เพียงเพราะเข้าป่าไปขุดโสมคนงั้นหรือ?
บทสนทนาของพวกเขาในเมื่อวาน เขาย่อมได้ยินด้วยเป็ธรรมดา
เจินจูดึงประตูลานบ้านเปิดออก มองกลุ่มคนนอกประตูอย่างตกตะลึง
“น้องสาวเจินจู ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ องครักษ์ของข้าเหล่านี้ล้วนเตรียมตัวอย่างดีแล้ว ไม่ทราบว่าเสี่ยวเฮยของบ้านเ้าสามารถออกเดินทางได้เลยหรือไม่?” กู้ฉีนอนหลับไม่สนิทอยู่ตลอดทั้งคืนจนฟ้าเกือบสางถึงได้งีบหลับไปครู่หนึ่ง
“…” รีบเร่งเพียงนี้ อาการประชวรของฮ่องเต้หนักมากเลยหรือ?
“พี่ชายกู้อู่ พวกท่านทานอาหารเช้ากันหรือยัง ูเาลึกป่าหนาทึบ ไม่ได้เข้าออกง่ายดายเพียงนั้นเลยนะ เดินทางเข้าไปและออกมาหนึ่งรอบอาจต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ทานอาหารให้อิ่มหนำไม่ได้นะ อีกอย่างเสี่ยวเฮยก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วย” เจินจูอธิบายด้วยความอดทน
“นี่… ตอนเช้าพวกเขาทานมานิดหน่อยแล้ว แต่ในเมื่อต้องรอเสี่ยวเฮย เช่นนั้นก็ต้องรบกวนครอบครัวเ้าสักมื้อแล้วล่ะ” บนความเป็จริงพวกเขาเร่งมาเช้าจนเกินไป แค่ซื้อซาลาเปาเติมลงท้องไปเท่านั้นเอง หากเป็เช่นที่นางกล่าวว่าต้องเข้าูเาไปทั้งวัน เช่นนั้นคงต้องเติมท้องให้อิ่มจริงๆ ถึงจะเดินทางได้
“ได้สิ เช่นนั้นพวกท่านจูงม้าไปพักไว้ที่เพิงม้าก่อนเถอะ” เจินจูยิ้มแล้วเปิดบานประตูลานบ้านออกกว้าง
กู้ฉีลังเลอยู่เล็กน้อยและเดินนำเข้าไป
เจินจูโบกมือเรียกผิงอันที่ยื่นศีรษะออกมา ให้เขานำทางไม่กี่คนนี้ไปเพิงม้า
หลังจากนั้นปิดประตูลง ก่อนที่จะปิดประตูนางเห็นโหยวซานยืนอยู่ข้างเกวียน จึงถามไปเล็กน้อย “องครักษ์โหยว ท่านเข้ามาทานอาหารเช้าด้วยกันหรือไม่เ้าคะ”
โหยวซานรีบประสานมือโค้งคำนับอย่างสุภาพทันที “ขอบคุณแม่นาง ข้าน้อยทานอาหารเช้ามาแล้ว ท่านไม่ต้องเป็ห่วง”
เจินจูยิ้มแล้วพยักหน้า หลังจากนั้นรีบหมุนกายกลับไปห้องโถง
บนชายคาบ้านไม่ไกลออกไป มีเงาร่างหนึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านหลังคาบ้าน ฟางเสิงสายตาประดุจสายฟ้า [1] จ้องไปยังทิศทางบ้านสกุลหู เมื่อครู่เขาััได้ถึงคนแปลกหน้าที่มีลมปราณมั่นคงไม่น้อยปรากฏออกมาบริเวณใกล้เคียง หัวใจของเขาเกิดความตื่นตัว ะโขึ้นบนหลังคาเพื่อตรวจสอบดูสถานการณ์ เห็นแม่นางสกุลหูเปิดประตูต้อนรับพวกเขาเข้าบ้านไป จึงคิดว่าน่าจะเป็แขกที่รู้จักกัน
เขาจึงได้ผ่อนคลายความระมัดระวังตัวลง แต่นี่เพิ่งเช้าตรู่อย่างมาก คนกลุ่มนี้เร่งรีบมากันเช้าเกินไปแล้วกระมัง
แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่จ้าวหงยู่ยังต้องเตรียมอาหารเช้าต่างๆ ให้พวกเขา คิดถึงตรงนี้ภายในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
เหตุใดวันเวลาผ่านไปช้าเพียงนี้ ทั้งวันแต่งงานก็ยังห่างออกไปนานขนาดนั้นอีก
ฟางเสิงะโลงจากหลังคาด้วยความกลัดกลุ้ม
...ที่บ้านมีคนมาจำนวนมาก อาหารที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามีไม่เพียงพอ โชคดีที่โหยวอวี่เวยซื้อซาลาเปากับหมั่นโถวมาไม่น้อย สามารถแทนอาหารหลักได้ส่วนหนึ่ง
ในเมื่อองครักษ์เหล่านี้ต้องเข้าูเา จึงหั่นเนื้อพะโล้หลายถาดหน่อยก็ไม่เลว
ในห้องข้างห้องโถงและห้องสำคัญได้จัดวางโต๊ะอยู่หนึ่งตัว จ้าวหงยู่รีบเตรียมโต๊ะเลี้ยงแขกขึ้นมาหนึ่งมื้อ และจัดวางอาหารไว้จนเต็มโต๊ะ
เฉินเผิงเฟยเริ่มสุนัขป่ากลืนเสือกลืน [2] อย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด นานแล้วที่เขาไม่ได้ทานเนื้อพะโล้ของสกุลหู คิดถึงกลิ่นหอมของเนื้อพะโล้ที่กระจายเต็มปากอย่างมาก
องครักษ์อีกสี่คนเห็นดังนั้น ย่อมไม่เกรงใจเป็ธรรมดา ทยอยกันแย่งชิงอาหารเติมลงถ้วยของตนเองทันที
ไม่นานอาหารหนึ่งโต๊ะดั่งลมพัดเอาก้อนเมฆไป [3] ก็ไม่ปาน ถูกพวกเขาทานจนหมดเกลี้ยง
แต่ละคนลูบท้องกลมดิกและเอาแต่ส่งเสียงออกมาว่าอร่อยมาก
รอจนพวกเขาทานเสร็จ เฉินเผิงเฟยจึงนำทางองครักษ์อีกสี่คนไปยืนอยู่นอกห้องโถง
เสี่ยวเฮยเพิ่งกินอาหารเช้าหมดเป็เจินจูที่ตั้งใจทำเป็พิเศษให้มัน ปลาตัวเล็กจิ๋วคลุกข้าว โดยใช้น้ำแร่จิติญญาคลุกเคล้าลงไป มันกินด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
เจินจูใช้กระดาษน้ำมันห่อเนื้อพะโล้และหมั่นโถวเสร็จจึงนำไปวางในห่อผ้าแล้วมัดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นยื่นให้เฉินเผิงเฟย
“องครักษ์เฉิน ด้านในเป็เนื้อพะโล้กับหมั่นโถว พวกท่านเอาอาหารกลางวันไปทานด้วยนะเ้าคะ”
“ขอบคุณแม่นางหู นี่เป็อาหารมื้อกลางวันที่ดีที่สุดจริงๆ เนื้อพะโล้ของบ้านท่านอร่อยเกินไปแล้ว ทานเสร็จช่างทำให้คนลืมรสชาติไม่ลงแล้วยังเพิ่มกำลังวังชายิ่งนัก” เฉินเผิงเฟยรับห่อผ้าไปแบกไว้เองอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เจินจูถูกเขาเย้าแหย่จนหัวเราะออกมา และกล่าวอย่างขำขัน “ด้านในยังมีหางหมูพะโล้หนึ่งห่อเล็ก นั่นเป็อาหารกลางวันของเสี่ยวเฮย พวกท่านอย่าแย่งมันล่ะ หากมันอารมณ์ไม่ดีอาจทิ้งพวกท่านไว้ในป่าเขาก็ได้นะเ้าคะ”
“ฮ่าๆ ท่านวางใจ ต่อให้พวกข้าหน้าหนาแค่ไหนก็ละอายใจเกินกว่าจะแย่งอาหารมันได้” เฉินเผิงเฟยหัวเราะเสียงดัง
เจินจูหมุนตัวกลับไปอุ้มเสี่ยวเฮยและกำชับเื่ที่ควรใส่ใจข้างหูของมันซ้ำอีกรอบ
กู้ฉีก็อยู่ใกล้กับกลุ่มของเฉินเผิงเฟยเช่นกัน สั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ต้องติดตามแมวดำตัวนั้นไว้ให้ดี มันเป็แมวป่าในูเา ไม่แน่ว่าพอละสายตาเพียงนิดอาจไม่เห็นเงาแล้ว เมื่อหาโสมคนจนเจอ ตอนขุดต้องระมัดระวังด้วย ห้ามทำรากเสียหายเด็ดขาด ในูเาสัตว์ดุร้ายมากมาย พวกเ้าต้องระวังความปลอดภัยด้วย”
โหยวอวี่เวยยืนอยู่ด้านข้างพวกเขามองด้วยความประหลาดใจอยู่ตลอด
แสงแดดของฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องเข้ามาที่ลานบ้านสกุลหู คนหนึ่งกลุ่มมองตามหลังพวกเขาที่เดินไปทางหลังเขาอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเฮยะโสามทีห้าทีก็วิ่งห่างออกไปไกลอย่างมาก กลุ่มเฉินเผิงเฟยห้าคนก็ไม่ยอมน้อยหน้า กระตือรือร้นไล่ตามหลังไปทันที เวลาไม่นานเงากายของพวกเขาก็หายลับตาไป
โหยวอวี่เวยจ้องด้วยดวงตากลมดิก “น้องสาวเจินจู เสี่ยวเฮยบ้านเ้าร้ายกาจจริงๆ ภายในเวลาอันสั้นก็ะโออกไปไกลอย่างมาก”
จื่อยู่กับเมอเมอหวังยังทานอาหารเช้าอยู่ในห้องข้างโถงอีกด้านหนึ่ง พวกนางถูกบังคับหากไม่มีคำสั่งของโหยวอวี่เวย ก็ห้ามออกจากประตูห้องนั้นเป็การชั่วคราว
นี่เป็สิ่งที่กู้ฉีเรียกร้อง...
เื่โสมคนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ในเมื่อโหยวอวี่เวยอยากรู้ เช่นนั้นคนข้างกายนางหลบเลี่ยงไปเสียหน่อยจะดีที่สุด
โหยวอวี่เวยจึงสั่งให้พวกนางออกห่างไปอย่างสบายๆ
สามคนกลับมาถึงห้องโถง เห็นผิงอันจูงซิ่วจูเดินเข้ามาใกล้
“ท่านพี่ ท่านอาหงยู่ถามว่าอาหารเช้าของท่านจะทานที่ไหนกัน?”
ห้องรับแขกมีคนมามากมาย หูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อพาผิงอันกับซิ่วจูทานข้าวในบ้านแล้ว
หลังจากนั้นหูฉางกุ้ยก็ไปสถานที่ทำอาหารหมักจากประตูด้านข้าง ส่วนหลี่ซื่อช่วยจ้าวหงยู่ทำงานอยู่ในห้องครัว
“อืม... ข้าไปห้องครัวแล้วยกมาเองดีกว่า พี่ชายกู้อู่กับพี่สาวสกุลโหยวก็ยังไม่ได้ทานกระมัง ผิงอันเ้าดูแลแขกให้ข้าสักเดี๋ยวนะ” กล่าวจบเจินจูก็เดินออกไปทางหลังบ้าน
เหลือผิงอันกับซิ่วจูทิ้งไว้ เผชิญหน้ากับกู้ฉีและโหยวอวี่เวย
ผิงอันไม่ได้หวาดกลัวอะไร เขาเรียนรู้อยู่กับซิ่วฉายหยางมาสามปี การสื่อสารกับผู้อื่นล้วนมีการพัฒนาไปมาก
กู้ฉีก็นับว่าเป็คนรู้จักเก่าแก่กับสกุลหู เมื่อผิงอันพูดคุยขึ้นมาก็ไม่ได้เกรงกลัวเพียงนั้นแล้ว เขาอุ้มซิ่วจูไปนั่งบนเก้าอี้ให้ดีก่อน แล้วค่อยยิ้มพลางสนทนากับกู้ฉี
แม้สองคนอายุค่อนข้างห่างกันมาก แต่พอสื่อสารกันขึ้นมากลับไม่ได้มีอุปสรรคเลย
ในใจกู้ฉีเป็ห่วงเื่ของพวกเฉินเผิงเฟยอยู่เล็กน้อย แต่สีหน้าไม่ได้แสดงออก กลับพูดคุยเล่นเื่การศึกษาเล่าเรียนของเขาขึ้นอย่างไม่ช้าและไม่เร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจินจูกับจ้าวหงยู่ได้ยกโจ๊กเนื้อร้อนๆ เข้ามา
โจ๊กเนื้อทานคู่กับผักดอง แตงกวาดองและไข่ทอด
เป็อาหารเช้าที่เจินจูชอบมากที่สุด
ซิ่วจูเห็นแล้วก็ส่งเสียงะโออกมา “ข้าอยากกินโจ๊กๆ…”
เจินจูชำเลืองมองใบหน้ารูปไข่อ้วนตุ๊ต๊ะของนาง “ท่านแม่บอกว่า เ้าเพิ่งทานหมั่นโถวไส้เนื้อพะโล้ไป ตอนเช้าทานอีกไม่ได้แล้ว ผ่านไปอีกสองชั่วยามค่อยทานใหม่นะ”
หมั่นโถวสอดไส้เนื้อ เป็เจินจูทำออกมาเลียนแบบการทานของฮั่นเปา [4] หั่นหมั่นโถวแยกออกจากกัน ตรงกลางสอดไส้แผ่นเนื้อพะโล้ รสชาติก็ดีมากอีกด้วย
ซิ่วจูเบะปาก ไม่กล้าโต้แย้ง
“ท่านพี่ ไปจับัดินเลี้ยงไก่ๆ…”
วันนี้ผิงอันหยุดวันทำความสะอาดโรงเรียน ไม่ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียน ซิ่วจูชอบผิงอัน เขามักพานางไปเล่นสิ่งของที่ในวันปกติไม่สามารถเล่นได้นิดหน่อยเสมอ
ผิงอันอุ้มนางขึ้นอย่างรักใคร่ตามใจ และพาไปห้องเก็บของเพื่อขุดัดิน
ภายในห้องโถงเหลือเพียงเจินจู กู้ฉี และโหยวอวี่เวย
“พี่ชายกู้อู่ พี่สาวสกุลโหยว ทานอาหารเช้ากันก่อนเถอะ” เจินจูร้องทักพวกเขา
ส่วนของกู้ฉีจัดวางอบู่บนโต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนนางกับโหยวอวี่เวยก็ทานอาหารเช้าบนโต๊ะกลางสำหรับวางชุดน้ำชา
โหยวอวี่เวยไม่ได้รู้สึกขัดข้องใจเลยสักนิด ยิ้มแล้วซดโจ๊กอย่างนุ่มนวล
โจ๊กเนื้อของสกุลหูเคี่ยวได้อร่อยจริงๆ รสชาติหอมทานแล้วสดชื่นและลื่นคอ ถูกปากอย่างมาก เข้าคู่กับแตงกวาดองกรุบกรอบ โหยวอวี่เวยรู้สึกว่าตนเองสามารถทานสองถ้วยใหญ่ได้เลย
กู้ฉีก็ทานได้เอร็ดอร่อยเช่นกัน นอกจากเหลือผักดองอยู่เล็กน้อยแล้ว ผักอย่างอื่นที่ทานเข้าคู่กันล้วนทานจนหมดเกลี้ยง
เจินจูเก็บถ้วยและตะเกียบยกกลับไปห้องครัว
โหยวอวี่เวยจึงถือโอกาสถาม “พี่ห้า ร้านสมุนไพรของท่านไม่ใช่ว่าได้รับโสมคนมามากแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องส่งคนไปขุดในป่าลึกด้วยตัวเองอีกด้วยล่ะ?”
นางชำเลืองมองมาตลอดเช้า แล้วจึงถือโอกาสตอนที่รอบด้านไร้ผู้คนถามขึ้น
กู้ฉีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนาง ดวงตาดำเป็ประกายวิบวับจ้องมองตาโต ท่าทางน่ารักอย่างมาก
เขาไตร่ตรองอยู่เล็กน้อย เกี่ยวกับตำแหน่งของจวนท่านโหวเหวินชาง บิดาของเขาบอกไว้ว่าคล้ายจะลำเอียงไปทางพรรคพวกขององค์ชายสี่กับฉีกุ้ยเฟย ความปลอดภัยของฮ่องเต้สำหรับพวกเขาแล้วสำคัญอย่างมาก ฉีกุ้ยเฟยมาหามารดาของเขาร้องขอสมุนไพร และมารดาก็ถูกเร่งรัดมาอีกด้วย ตอนนี้ไฟาชายแดนของอาณาจักรต้าสยามีการโต้เถียงที่ยืดเยื้อยาวนาน หากฮ่องเต้มีอันเป็ไปในเวลานี้ ฉีกุ้ยเฟยและองค์ชายสี่คงยากที่จะอยู่ในสถานการณ์สุขสงบได้ ส่วนทางด้านฮองเฮาเจียงกับองค์ไท่จื่อก็มีขุนนางหนุนหลังสนับสนุนไม่น้อยเช่นกัน
โหยวอวี่เวยเป็คุณหนูสตรีห้องหับ [5] ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับการโต้เถียงอำนาจทางการเมืองของราชสำนักเท่าไร เขาไม่อยากให้นางทุกข์ใจเื่นี้
“คุณลักษณะโสมคนของเทือกเขาไท่หางค่อนข้างดีมาก โสมคนที่เสี่ยวเฮยค้นพบอยู่ในูเาลึก มีร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คนน้อยอย่างมาก อายุปีของโสมคนก็สูง ประสิทธิภาพสมุนไพรดี หากสามารถขุดโสมคนที่มีอายุหลายร้อยปีได้หนึ่งต้น เช่นนั้นสรรพคุณที่มีก็ไม่ใช่โสมคนธรรมดาจะเทียบได้” กู้ฉีอธิบายจริงครึ่งเท็จครึ่ง
“เป็ผู้ใดที่้าโสมคนไปรักษาอาการป่วยหรือ? ข้าจำได้ว่าท่านแม่ของข้ามีโสมคนอายุห้าร้อยปีหนึ่งต้น พี่ห้า เช่นนี้พอให้ท่านใช้ได้หรือไม่?” โหยวอวี่เวยถามออกมาตามตรง
กู้ฉีใ สายตาที่มองไปทางนางซับซ้อนเล็กน้อย นางเหมือนจะเป็เช่นนี้เสมอมา ขอแค่เขา้าไม่ว่าสิ่งของล้ำค่าหรือหายากเพียงใด นางล้วนนำของสิ่งนั้นมามอบให้เขาตรงหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ฤดูหนาวปีนั้น สภาพร่างกายของเขาแย่อย่างมาก แทบทั้งฤดูหนาวล้วนผ่านไปด้วยการล้มหมอนนอนเสื่อ โหยวอวี่เวยมาเยี่ยมเขาโศกเศร้าจนร้องไห้เสียงดังไม่หยุด หลังจากกลับไปเปิดห้องเก็บของนำวัตถุดิบสมุนไพรที่ล้ำค่าอย่างโสมคน เห็ดหลินจือ ถั่งเช่า บัวหิมะ และอื่นๆ ในบ้านตนเอง นำมามอบให้ถึงในลานบ้านของเขาทั้งหมดไม่มีเหลือ
ต่อมาภายใต้การพูดโน้มน้าวของมารดา จึงได้รู้ว่าวัตถุดิบสมุนไพรเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อเขา นางจึงถือกลับไปอย่างหดหู่
หากภายในใจกู้ฉีกล่าวว่าไม่ประทับใจเลยย่อมเป็การโกหก ชั่วชีวิตนี้ของเขา จะสามารถพบคนที่จริงใจไม่จอมปลอมต่อกันเลยแม้แต่นิดเดียวได้สักกี่คนกัน
“ไม่เป็ไร ขอบใจเ้านะอวี่เวย” เสียงของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่รู้ตัว
โหยวอวี่เวยมองด้วยความเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ ไม่นึกเลยว่าพี่ห้าจะพูดจาอ่อนโยนกับนางเช่นนี้ได้ หรือนางตาลายไปกันนะ?
สายตาชะงักงันของนางแสดงออกมาชัดเจนจนเกินไป กู้ฉีแกล้งกระแอมไอขึ้นหนึ่งทีอย่างเสียมิได้
ขณะที่เจินจูเดินเข้ามาก็เห็นทั้งสองคนหันหน้าไปคนละทางอย่างเล่นแง่กัน
เ้าเด็กสองคนนี้ทะเลาะอะไรกัน จนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้วหรือ?
พระอาทิตย์เพิ่งผุดออกมา วันนี้อากาศแจ่มใสปลอดโปร่ง
เจินจูประมาณการณ์่เวลากลับมาของเสี่ยวเฮย หากเร็วสุดอาจกลับมาได้ในตอนบ่าย
เวลาทั้งวันนี้ควรจะทำอย่างไรเพื่อฆ่าเวลาดี? การสนทนาเล่นกันสามารถสนทนาได้ทั้งวันหรือ?
นางกลอกตาวนไปมาเล็กน้อย
“พวกท่านอยากไปดูหุบเขาสักหน่อยไหม?”
เชิงอรรถ
[1] สายตาประดุจสายฟ้า หมายถึง การมองด้วยดวงตาวาวโรจน์จ้องเขม็งด้วยความโกรธ และยังสามารถบรรยายถึงประสบการณ์หรือความรอบรู้ที่กว้างไกลได้ด้วย
[2] สุนัขป่ากลืนเสือกลืน หมายถึง ทานอย่างตะกละตะกลาม
[3] ลมพัดเอาก้อนเมฆไป หมายถึง กวาดล้างทุกอย่างหมดเกลี้ยงไปภายในพริบตาเดียว มักใช้บรรยายเกี่ยวกับอาหาร
[4] ฮั่นเป่า คือ แฮมเบอร์เกอร์
[5] สตรีห้องหับ หมายถึง ห้องที่อยู่ข้างในลึกที่สุดในบ้านของสตรีครอบครัวร่ำรวยสูงศักดิ์ในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้