หลังจากหลิ่วจิ้งขึ้นฝั่งมาได้ ก็เหลียวซ้ายแลขวาจนพบรถม้าของจวนแม่ทัพได้อย่างรวดเร็วนางเดินไปที่รถม้าคันนั้นแล้วบอกกับเด็กรับใช้ว่า “ส่งข้ากลับจวนแม่ทัพ”
“เื่นี้…ประเดี๋ยว หากท่านแม่ทัพมา แล้วไม่เห็นพวกข้าน้อย…”
เด็กรับใช้คงเป็คนเถรตรง เขารู้แต่ว่าต้องฟังคำสั่งของท่านแม่ทัพจึงไม่กล้าพาหลิ่วจิ้งกลับไปก่อน
“พวกเ้ามีกันสี่คน ก็อยู่รอท่านแม่ทัพที่นี่สองคนอีกสองคนส่งข้ากลับจวน ทำได้หรือไม่ ทำได้ก็ไปกัน หากทำไม่ได้ ข้าจะกลับเอง”
หลิ่วจิ้งวางท่าน่าเกรงขามเช่นองค์หญิง นางเองก็เติบโตมาในเรือนใหญ่โตปกติแล้วมีบ่าวมากมายคอยปรนนิบัติเช่นกัน ยามพูดจาจึงคล้ายองค์หญิงอยู่หลายส่วน
เด็กรับใช้สองสามคนเริ่มหวั่นกลัวท่าทีน่าเกรงขามของนางจึงทำตามที่นางสั่งด้วยการเหลือคนเอาไว้รอท่านแม่ทัพสองคน เมื่อนางขึ้นรถม้าแล้วอีกสองคนที่เหลือก็พานางกลับไปจวนแม่ทัพ
เมื่อเทียบกับความใคร่รู้และความตื่นเต้นยินดีตอนขามาหลิ่วจิ้งที่อยู่ในรถม้ายามนี้กลับมีสีหน้าขุ่นเคือง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับใจคนก็คือมันถูกแบ่งออกเป็หลายส่วนมอบให้คนหลายคน เช่นนี้ย่อมถูกคนเบี่ยงเบนไปได้ง่ายดายนักดูท่าแล้วหั่วอี้คงเป็คนมากรัก หนทางในวันข้างหน้าจึงต้องใคร่ครวญวางแผนให้ดี
หลิ่วจิ้งกำลังคิดเื่ราวในใจ กลับไม่คิดว่าทางที่รถม้าไปนั้นไม่ใช่ทางกลับจวน
ตอนที่หลิ่วจิ้งรู้ตัว กลับเป็ตอนที่นางไม่รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีและทุกข์ใจว้าวุ่นเื่ใดคงเพราะรถม้าถูกปิดเอาไว้หมดถึงได้รู้สึกอึดอัด นางจึงเปิดม่านหน้าต่างออกเวลานี้เองนางพลันตื่นใเมื่อรู้ว่าทางที่รถม้าไปนั้นไม่ใช่ทางกลับเรือน
เพราะข้างนอกมืดมิดจนยื่นมือออกไปก็ยังไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแสงสว่างเดียวก็คือตะเกียงน้ำมันตรงที่นั่งของคนบังคับรถม้าซึ่งไม่รู้ว่าจุดขึ้นมายามใด
“พวกเ้าจะพาข้าไปที่ใด” นางเปิดม่านมองไปทางเด็กรับใช้สองคนที่อยู่หน้ารถ
“ฮูหยิน นี่เป็ทางลัดกลับจวน ไม่นานก็ถึงแล้วขอรับ”คนควบคุมรถตอบกลับมาอย่างไม่ร้อนรน และมองไม่ออกว่ามีพิรุธอันใด
“ใช่หรือ?”
“ฮูหยินโปรดวางใจ อีกประเดี๋ยวก็ถึงจวนแล้วขอรับ”เด็กรับใช้ยังคงตอบอย่างใจเย็น
“อืม” คล้ายว่าหลิ่วจิ้งวางใจลงได้จึงปล่อยม่านหน้าต่างลงและกลับเข้ามาภายในตัวรถ
จนหลิ่วจิ้งปล่อยม่านลง คล้ายว่าไม่มีปัญหาใดแล้วเด็กรับใช้ทั้งสองคนจึงสบตากันพร้อมเผยรอยยิ้มประหลาด
หลิ่วจิ้งกลับเข้ามานั่งอยู่ในตัวรถแล้วคิดเปรียบเทียบในใจ แม้เด็กรับใช้จะตอบกลับมาอย่างไม่มีพิรุธใดแต่หลิ่วจิ้งก็รู้ว่าพวกเขาโกหก
เดินทางมาตั้งนานเพียงนี้ นานกว่ายามออกจากจวนเมื่อตอนบ่ายมากนักแล้วจะเป็ทางลัดกลับจวนได้อย่างไร
คนเหล่านี้้าทรัพย์สินหรือกามรมย์หรือที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ้าสังหารนาง เป็ผู้ใดบงการเหตุใดต้องลักพาตัวนาง
หลิ่วจิ้งนึกถึงความเป็ไปได้เื่แล้วเื่เล่า สำหรับคนที่เพิ่งมาถึงแคว้นชางอี้ไม่ถึงเดือนเช่นนางยังไม่เคยไปล่วงเกินใคร แล้วจะเป็ผู้ใด้าจัดการนาง
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กรับใช้ทั้งสี่คนนี้ก็เป็หั่วอี้เลือกมาส่งเดชตอนที่จะออกจากจวนวันนี้ไม่ได้จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า หากมีคนวางแผนเอาไว้ก่อนรอเพียงเวลาลงมือเมื่อนางหลงกลเช่นนั้นคนผู้นี้ต้องแอบวางกำลังมือสังหารไว้ในจวนแม่ทัพมากน้อยเพียงใด?
คำถามเื่แล้วเื่เล่าทำให้นางหาคำตอบไม่ได้ หลิ่วจิ้งนิ่งคิดอยู่ภายในรถม้าพยายามมองดูว่าในรถมีสิ่งใดพอจะใช้เป็อาวุธได้หรือไม่
แต่คงเพราะท่านแม่ทัพเชื่อมั่นในฝีมือตนเอง ในรถม้าจึงไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เป็อาวุธได้เลย
ในขณะที่นางยังคงคิดหาวิธีรับมืออยู่นั้นก็มีเสียงดัง ‘แกรกๆ’ สองสามครั้ง แล้วรถม้าก็หยุดวิ่ง
“องค์หญิง ถึงแล้วขอรับ ออกมาเถิด”
หลิ่วจิ้งหลับตาปี๋พลางสูดหายใจลึกหลายหน เมื่อลืมตาอีกครั้งแววความเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏเพิ่มขึ้นมาในดวงตาของนางดีชั่วอย่างไรก็หลบไม่พ้นแล้ว ต้องมิให้อีกฝ่ายเห็นเป็เื่น่าหัวเราะเยาะแม้ต้องตายก็อย่าได้ตายอย่างคนยอมแพ้
นางเปิดม่านออก สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าก็คือศาลเ้าร้างแห่งหนึ่ง
“ลงมาเถิดขอรับองค์หญิง คุณชายบ้านข้าเชิญไปพบขอรับ”ระหว่างที่เด็กรับใช้พูด ก็มีคนปิดหน้าด้วยผ้าสีดำเดินออกมาจากศาลเ้าร้าง
หลิ่วจิ้งยืนอยู่บนรถม้า มองไปยังคนผู้นั้น
คนผู้นั้นมิได้ขยับหากแต่หยุดยืนมองหลิ่วจิ้งอยู่ตรงนั้น ทั้งสองจึงได้สบตากัน
หลิ่วจิ้งมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแต่กลับเห็นดวงตาที่เผยอยู่บนผ้าสีดำที่ปิดหน้าเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นเย็นเฉียบดั่งงูพิษ
ความรู้สึกนี้ทำเอานางตื่นใ ดูท่าว่าวันนี้จะโชคร้ายเสียแล้ว
ทั้งสองคนจ้องตากันอยู่เนิ่นนาน ที่สุดก็เป็คนผู้นั้นที่หมดความอดทนไปก่อน“พานางมานี่”
คนผู้นั้นพูดพลางหันหลังเดินกลับเข้าไปในศาลเ้าร้าง
“ลงมา อย่าให้คุณชายรอนาน”เด็กรับใช้คนหนึ่งเข้ามากระชากตัวนางอย่างแรง เพราะไม่ได้ยืนดีๆ อยู่บนรถนางจึงล้มลงมา
“โธ่เอ๊ย ลืมไป ท่านเป็องค์หญิงบอบบาง ขออภัยๆ”ไม่รู้ว่าเด็กรับใช้ผู้นั้นรู้สึกผิดจริงหรือแสร้งพูดไปเช่นนั้นเอง ว่าแล้วก็รีบเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้น
ยามนี้เองหลิ่วจิ้งพลันรู้สึกถึงความเจ็บแสบที่แล่นมาจากท่อนแขน คงเพราะหกล้มเป็แผลถลอกไม่รู้แผลจะลึกจนทิ้งรอยแผลเป็เอาไว้หรือไม่ ทันใดนั้นนางก็เยาะตนเองว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ยังมามัวสนใจว่าจะเป็แผลเป็หรือไม่อีก
คำกล่าวที่ว่าไม่ถึงแม่น้ำเหลืองไม่ยอมตายใจ [1] ก็คงเป็เช่นใจนางในยามนี้กระมัง
คงเพราะหลิ่วจิ้งอยู่ในกลางคืนมืดมิดเป็เวลานาน เมื่อเข้าไปในศาลเ้าร้างนางจึงถูกแสงตะเกียงด้านในทำให้ตาพร่าจนต้องหลับตาลงเมื่อลืมตาขึ้นอีกหนจึงค่อยปรับรับกับแสงไฟในศาลเ้าร้างได้
นางยืนอยู่ตรงกลางศาลเ้าร้างชายผ้าคลุมหน้าดำเดินรอบตัวนางหลายรอบจึงหยุดเดิน “นี่คือองค์หญิงต้าเว่ยผู้นั้นหรือ?”
“เรียนคุณชาย คนผู้นี้ก็คือองค์หญิงต้าเว่ยขอรับ”
พร้อมๆ กับเสียง ‘แควก’ ดังขึ้นหลิ่วจิ้งพลันรู้สึกว่าแขนซ้ายของนางเย็นวาบที่แท้เพราะคนผู้นั้นฉีกแขนเสื้อซ้ายของนางออกโดยที่ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรทั้งที่ไม่ได้ใช้ดาบหรือกระบี่ แต่เขากลับฉีกเสื้อผ้าที่แขนซ้ายของนางจนขาดได้อย่างง่ายดายราวใช้มีดตัด
หลิ่วจิ้งรู้สึกอับอายเหลือทนแต่กลับยังฝืนไม่เอ่ยคำใดในเมื่อไม่ได้มาดี นางก็ตัดสินใจว่าจะไม่ร้องขอชีวิต นางไม่กลัวตายแต่กลัวจะไม่มีโอกาสล้างหนี้แค้นให้บิดามารดามากกว่า
ขอเพียงมีโอกาสแม้น้อยนิดนางก็ต้อง่ชิงมาให้ได้ ก่อนจะรู้เป้าหมายของคนที่มานางก็ทำได้แค่นิ่งเงียบคอยดูไม่มีทางทำการใดสุ่มสี่สุ่มห้านางถึงขั้นเตรียมตัวว่าต้องเสียความบริสุทธิ์เอาไว้แล้ว
“นึกไม่ถึงว่ามีหญิงงามเช่นนี้อยู่ในอก หั่วอี้กลับยังไม่แตะต้อง คิดไม่ถึงว่าจนยามนี้องค์หญิงก็ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เช่นนั้นก็ให้ข้ารักใคร่องค์หญิงให้ดีๆ แทนเขาก็แล้วกัน ข้ายินยอมลงแรงเื่เช่นนี้เป็ที่สุดทีเดียว”
“ฮ่าๆๆ”
หลิ่วจิ้งใ จนเมื่อคนผู้นั้นเข้ามาจับมืองามดั่งหยกของตนนางจึงเพิ่งเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไรเมื่อเห็นแต้มพรหมจรรย์แสนสะดุดตาบนแขนตนเอง
“เ้าเป็ผู้ใด ลักพาตัวข้ามาด้วยจุดประสงค์ใดต่อให้ข้าต้องตายก็จะต้องเป็ผีที่เข้าใจเื่นี้เสียก่อน”หลิ่วจิ้งหวังจะประวิงเวลาออกไป ด้วยคิดว่าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ในชั่วพริบตา
“ท่านไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็ผู้ใดและข้าก็จะไม่ปล่อยให้หญิงงามกลายเป็ผีด้วย ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยหญิงงามควรรู้ว่ามีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ดีนัก ซึ่งก็คืออยากตายมิได้ตาย นั่นจึงจะคือดินแดนที่ทรมานคนได้ดีที่สุด”
“พวกเ้าสองคนออกไปเฝ้าที่ประตูหากข้าลิ้มรสแล้วพึงพอใจพวกเ้าก็ต้องรอต่อไป แต่หากข้าไม่พอใจเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวองค์หญิงก็เป็ของพวกเ้าแล้ว”
“ฮ่าๆๆ” คนผู้นั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ราวกับนึกเื่แสนหรรษาใดขึ้นมาได้
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] แม่น้ำเหลืองไม่ยอมตายใจ มีความหมายคล้ายสำนวนว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาแม่น้ำเหลืองในความเชื่อของจีนก็คือเส้นกั้นระหว่างโลกมนุษย์และปรโลกเมื่อไปถึงก็แสดงว่าตายไปแล้ว
