คุณชายเฉินที่เพิ่งจะกลับมาจากการท่องเที่ยวหาความรู้ เมื่อกลับมาถึงสิ่งแรกที่เขาทำคือมุ่งตรงมาศาลาว่าการเพื่อคารวะผู้าุโ
ท่านนายอำเภอเฉินแม้จะไม่ใช่คนตระกูลเฉินโดยเนื้อแท้ ทว่าก็นับว่าเป็ท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ได้สั่งสอนคุณชายเฉินมา
ตระกูลเฉินนับว่ามั่งคั่ง คุณชายเฉินก็นับว่ามีการศึกษา ท่าทางยามที่ท่านนายอำเภอรับของกำนัลที่ศิษย์ของตนมอบให้จึงดูดีใจไม่เบา ทั้งยังชวนเขาคุยสัพเพเหระเื่การเดินทางอีกพักใหญ่
ครั้นเมื่อใต้เท้าเฉินได้ยินว่าศิษย์ตนได้เข้าร่วมงานชุมนุมกวีที่ซูโจวก็ยิ่งรู้สึกคึกคัก จึงได้ชมเชยชายหนุ่มไปเสียยกใหญ่ ภาพอาจารย์และศิษย์ที่สนทนากันอย่างออกรสออกชาตินั้นจึงดูสมัครสมานสามัคคีไม่เบา
เมื่อชายหนุ่มสนทนากับอาจารย์ตนจบ ใต้เท้าอู๋จึงเดินออกมาส่งชายหนุ่มด้วยตนเอง
ใบหน้าของคุณชายเฉินดูยาวกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ร่างโปร่งนั้นสวมอาภรณ์ยาวสีขาวตลอดร่าง ตรงชายอาภรณ์ยังมีลายดอกกล้วยไม้ปักอยู่ ร่ำลือกันว่าอาภรณ์เช่นนี้ในเมืองหลวงกำลังเป็ที่นิยม
ตรงเอวยังรัดผ้าแถบสีม่วงไว้เส้นหนึ่ง ทางด้านขวาของผ้าแถบห้อยจี้หยกเนื้อดีรูปวงแหวนไว้
บนศีรษะสวมกวานครอบมวยผม
กวานผ้าโปร่งสีดำบนศีรษะของชายหนุ่มมีผ้ายาวสีหมึกสองเส้นเชื่อมไว้ ยามชายหนุ่มเยื้องย่าง ผ้ายาวสองเส้นนั้นก็พลิ้วไหวตามจังหวะการเดินและสายลมที่โชยมา
ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นก็นับว่ายาวเป็ทุนเดิม เมื่อสวมกวานสูงเช่นนี้จึงทำให้ใบหน้านั้นดูยาวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าอาภรณ์ที่เขาสวมใส่ล้วนดูวิจิตร เมื่อมาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก
ข้างกายยังมีท่านจู่ปู้อู๋ที่ดูจะเดินอย่างนอบน้อมกว่าวันปกติสักหน่อยมาเคียงกัน เมื่อรวมกับใบหน้าอวบอ้วนนั้นแล้วก็ทำให้ดูเป็มิตรนัก
ตำแหน่งจู่ปู้ของเขานั้น เว้นเสียแต่ท่านนายอำเภอก็นับว่ามีอำนาจที่สุด ทว่าการเคลื่อนไหวทีละนิดละน้อยของเสมียนซูในไม่กี่ปีมานี้นั้น กระทั่งกับท่านนายอำเภอ เสมียนซูก็ยังกล้าต่อปากต่อคำด้วย
ใต้เท้าอู๋นั้นเดิมทีก็ไม่ได้มีความหวังจะเลื่อนขั้นอะไร เพียงแต่ทำงานตบตาท่านนายอำเภอไปวันๆ เท่านั้น ขอเพียงแค่ยังได้ผลตอบแทนงามๆ เป็พอ
ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายเฉินเมื่อครู่ จึงได้แต่กล่าวตอบด้วยความตกตะลึง “หรือจะเป็บุตรของพวกทาสกัน ทว่าย่อมต้องมีการเข้าใจผิดกันเป็แน่ เสมียนซูของพวกเรานั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็คนยุติธรรม ไม่มีทางยอมให้เื่เช่นนี้เกิดขึ้นเป็แน่”
คุณชายเฉินจึงหัวเราะในลำคอเสียงหนึ่ง
ใบหน้านั้นฉายแววยโสเฉกเช่นเหล่าบัณฑิตทั่วไปอย่างชัดเจน
ใต้เท้าอู๋แม้จะจงใจกล่าวเช่นนี้ ทว่าเมื่อหันไปมองท่าทางของคุณชายเฉิน ในใจก็พลันรู้สึกไม่สงบนัก
เสมียนซูเมื่อเห็นว่าใต้เท้าอู๋คิดจะทำลายตนเช่นนี้ก็รู้สึกไม่พอใจนัก
ด้วยเขานั้นดูแลเื่การลงทะเบียนภูมิลำเนา การตัดสินใจทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเขา
“ข้าล้วนตัดสินอย่างยุติธรรมตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างแน่นอน หากว่าคุณชายเฉินมีอันใดจะชี้แนะ ก็ขอเชิญไปรายงานกับท่านนายอำเภอโดยตรงเถิด โปรดอย่าขัดขวางการทำงานของข้า” เสมียนซูกล่าวแล้วก็ทำหน้าขึงขัง ยามพบเจอขุนนางปลิ้นปล้อน เขานั้นก็ปลิ้นปล้อนได้ไม่แพ้กัน เพราะในอำเภอนี้นอกจากท่านนายอำเภอแล้ว ใครหน้าไหนเขาก็ล้วนไม่เอามาใส่ใจ
คราแรกเื่นี้เขาจะตอกกลับเสียยิ่งกว่านี้ก็ย่อมได้ ทว่าเห็นแก่ท่านนายอำเภอที่ยังมีประโยชน์กับเขาอยู่จึงไม่ได้ต่อความ
เช่นนี้เขาจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องต่อล้อต่อเถียงกับคนที่สักแต่จะวิจารณ์ผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้
คุณชายเฉินไม่เคยโดนขุนนางชั้นผู้น้อยปฏิบัติต่อตนเช่นนี้มาก่อน ในใจหวนคิดถึงครั้งที่ตนได้เข้าร่วมงานชุมนุมกวีตอนออกไปท่องเที่ยวแสวงหาความรู้ ที่นั่นล้วนมีแต่ขุนนางใหญ่โต ทั้งบัณฑิตและปัญญาชนอีกมากหน้าหลายตา ทว่าทุกคนก็ล้วนปฏิบัติต่อเขาด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ทั้งที่ตรงนั้นมีคนใดบ้างเล่าที่จะมีตำแหน่งด้อยกว่าขุนนางตรงหน้าเขาในตอนนี้
“ผู้น้อยอยากทราบว่าเสมียนซูนั้นกำลังกระทำการอันใดอยู่ และกำลังใช้กฎหมายบ้านเมืองข้อใด ทางราชสำนักประกาศไว้ชัดว่าบุตรของทาสชายและทาสหญิงนั้นไม่อาจขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาได้ เว้นเสียแต่ผู้เป็นายจะยอมให้ไถ่ถอนตัว” ท่าทางเปี่ยมหลักการของคุณชายเฉินยืดอกกล่าวขึ้น
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินว่ามีคนกำลังโต้เถียงกันก็พากันล้อมเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มในอาภรณ์หรูที่กำลังออกปากอยู่นั้นเป็ถึงคุณชายเฉิน ความน่าสนใจจึงยิ่งเพิ่มเป็ทวี ตรงหน้าคุณชายเฉินนั้นเป็เด็กหนุ่มอีกสองสามคนที่รูปงามจนน่าใจหายเช่นกัน
เสมียนซูขึ้นเสียงหึอย่างเหยียดหยัน “ตระกูลเฉินนั้นผู้คนล้วนเยินยอว่าเปี่ยมเมตตา ทว่าห้าปีก่อนยามเกิดเหมันตภัย ท่านรู้หรือไม่ว่ามีเด็กน้อยต้องตายด้วยภัยหนาวครั้งนั้นมากเท่าใด ปีนั้นในเดือนที่หนาวเหน็บที่สุดเ้าเด็กนี่ก็ถูกตระกูลท่านขับออกมาพร้อมกับน้องสาวให้ไปมีชีวิตตามยถากรรม เช่นนั้นเ้าเด็กหนุ่มนี่จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นทะเบียนเช่นเดียวกับราษฎรคนอื่นเลยหรือ”
คุณชายเฉินที่ไม่เคยจะต้องโดนลบหลู่ถึงเพียงนี้ ใบหน้าจึงพลันเปลี่ยนเป็แดงก่ำด้วยโทสะ
ชายหนุ่มจึงกล่าวโต้ขึ้นทันควัน “ตระกูลข้ายังนับว่ามีน้ำใจเลี้ยงดูมันจนเติบโต ใครจะไปคิดว่ามันจะเนรคุณถึงกับกล้าขโมยสมบัติตระกูลข้า เช่นนั้นจึงได้ไล่พวกมันออกไป แล้วหากว่าคนเช่นนี้สามารถขึ้นทะเบียนได้ ก็ไม่เท่ากำลังเหยียบย่ำกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไร”
ใต้เท้าซูนั้นเดิมทีก็เป็คนหยาบกระด้าง แม้จะรู้สึกโกรธนักแต่เมื่อให้พูดเื่กฎหมายกฎราชสำนัก ลำคอก็พลันตีบตันได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ
ในใจก็สาปแช่งว่ามารดาเ้าเถิด ปกติราวกับเ้าทำตามกฎหมายนักหรือไร
คุณชายเฉินที่แสนจะดันทุรังนี่คงคิดว่าตนเรียนตำรามาไม่กี่เล่มก็สามารถเป็ตัวแทนราชสำนักได้แล้วรึ คนประเภทนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก
ส่วนอาลู่ที่ถือสมุดอยู่ในมือนั้นยังคงเคร่งขรึมไว้ั้แ่ต้น
ราวกับสิ่งที่กำลังโต้เถียงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน
ส่วนเฉินโย่วแทบไม่เคยเห็นคนปะทะคารมกัน จึงมีท่าทีงุนงง
เพราะท่านลุงและท่านน้าของนางนั้นยามปะทะคารมกันก็ไม่เคยจะเกินสามประโยค เพราะแค่กล่าวไปสักเพียงสองประโยคก็เริ่มลงมือตีกันแทนแล้ว
อย่างที่พวกคนตรงหน้ากล่าวกันท่านมาข้าไปอยู่เสียตั้งค่อนวัน นางฟังอยู่ตั้งนานสองนานก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ
เสี่ยวอู่บัดนี้กำห่อผ้าบนหลังตนแน่น คิดในใจว่าหากเกิดเื่ไม่คาดฝันจะได้รีบเหวี่ยงลูกเหล็กฟาดใส่เ้าหนุ่มนั่นได้ทันท่วงที เ้าคนคร่ำครึนี่ช่างน่ารังเกียจนัก เห็นทีว่าฟาดครั้งเดียวย่อมจะไม่พอฟาดเ้าหนุ่มนี่เป็แน่
ส่วนอาสวินนั้นกลับยังคงฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงวิเคราะห์คำพูดของอีกฝ่ายดูอีกที แล้วจึงจดจำไว้จนขึ้นใจ
ทว่าเหล่าปากลับซ่อนตัวอยู่ใกล้กับทางเข้า เตรียมพร้อมว่าหากเกิดเื่ใดขึ้นเขาจะได้ผลักประตูสร้างสถานการณ์แล้วพาทุกคนหนีไปได้ทัน
นายท่านสามนั้นแท้จริงก็เป็บัณฑิตคนหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่าหากปัญญาชนนั้นนึกจะทำให้ใครเ็ป ย่อมเลวร้ายเสียยิ่งกว่าฆ่าให้ตายนัก
เช่นเดียวกันกับตอนนี้ที่คุณชายเฉินเพียงแค่อ้าปากก็กล่าวว่าอาลู่เป็ทาสเสียแล้ว เมื่อกล่าวต่อก็หาว่าอาลู่เนรคุณ ทั้งยังทำตัวเป็โจร เื่นี้ต่อให้ไม่ใช่เื่จริง อาลู่ก็ยากที่จะสลัดให้พ้นตัวอยู่ดี
ไม่เพียงเท่านั้นพี่น้องของอาลู่อย่างลู่อู่ ลู่สวิน และเฉินโย่วก็ถูกข้อครหาว่าเป็บุตรของทาสเช่นกัน และแน่นอนว่าก็ย่อมถูกเหมาว่าเป็โจรด้วย
ความรู้ของอาสวินนั้นนับว่าเป็เลิศ ในใจของนายท่านสามก็ยังคิดอยู่ว่ารอให้เขาโตอีกสักหน่อยก็จะส่งเขาไปเรียนในสำนัก ด้วยระดับปัญญาของอาสวินนั้นกระทั่งสำนักเชินก็คงจะไม่เกินฝัน
สำนักเชินนั้นเดิมทีก็เป็ความฝันของเขามาโดยตลอด
บัดนี้จึงได้แต่ฝากความฝันของตนไว้ให้อาสวินสานต่อ
ทว่าคุณชายตรงหน้านี้กระทั่งขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาก็ยังจะคัดค้าน หากไม่มีทะเบียนภูมิลำเนาก็เท่ากับว่าโอกาสทางการศึกษาของเ้าเด็กพวกนี้นับว่าจบลงเช่นกัน
ทั้งสถานะทาส และโจรนั้นล้วนแต่ไม่อาจเข้าเรียนในสำนักได้
ยังดีที่ใต้เท้าซูนั้นเชี่ยวชาญด้านการจัดการเื่เหล่านี้ เขาไม่มีทางทำให้ตนเองลำบากอย่างแน่นอน เพียงแต่ใต้เท้าทั้งสองตรงหน้านี้ดูเหมือนจะกำลังทำากันเองโดยยืมมือคุณชายเฉินให้เข้ามาสอดเท่านั้น
ถึงกระนั้นคุณชายเฉินก็น่ารังเกียจเหลือทน แววตาที่นายท่านสามมองเขาจึงพลันมืดครึ้มลง
นายท่านสามเมื่อก่อนก็เคยส่งคนมาตีสนิทใต้เท้าอู๋อยู่บ้าง แต่ก็ต้องจนใจ ใต้เท้าอู๋นั้นช่างละโมบเหลือทน ตาแก่นั่นถึงขั้นออกปากขอส่วนแบ่งจากการเก็บค่าผ่านทางเป็แปดส่วนต่อสองส่วน โดยเขานั้นจะเก็บไว้เองถึงแปดส่วน ช่างละโมบจนน่าตายนัก
นายท่านสามพิจารณาความสัมพันธ์ของคนตรงหน้าอีกครู่หนึ่ง เมื่อกำลังจะเอ่ยปากขึ้น
ทว่าเมื่อมองไปทางอาลู่เขากลับส่ายหน้าเบาๆ
อาสวินเมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายก็ไม่ได้เอ่ยปากเช่นกัน
คนที่เป็ที่ถกเถียงกันอยู่ในบทสนทนาของเหล่าใต้เท้าอย่างอาลู่จึงเอ่ยขึ้นเสียงดัง “คุณชายเฉินกล่าวหาว่าข้าเป็โจร อยากทราบว่ามีพยานบุคคลหรือพยานวัตถุหรือไม่ เพราะหากว่าท่านไม่มี ตามกฎหมายราชสำนักข้อที่เก้าสิบหก หากบัณฑิตใส่ไคล้ว่าผู้อื่นเป็โจรให้เพิ่มโทษอีกเท่าหนึ่ง สถานเบาโบยสามสิบไม้ สถานหนักถอดยศและตำแหน่ง แล้วจึงเนรเทศไปอยู่ดินแดนรกร้าง”
คุณชายเฉินได้ยินเช่นนั้นก็พลันหน้าถอดสี ข้อที่เก้าสิบหกนี่มันเื่บ้าอะไรกัน แล้วทาสเช่นเ้าเด็กนี่รู้เื่นี้ได้อย่างไรกัน
“ช่างเป็เด็กหนุ่มที่รู้กฎหมายดีนัก” นายอำเภอเฉินเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง