‘น้ำวนห้วงลึก’
ศูนย์กลางของสิบแห่งอันตรายในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดของทั้งสมรภูมิ สถานที่ที่อันตรายแทรกซอนอยู่ทุกย่างก้าว
เ่ิูเหยียบย่ำคลื่นในนทีหลั่งทรายมาตลอดทาง
นทีอันกว้างขวางแห่งนี้ แล่นเป็คลื่นซัดสาดขุ่นหมอง ทิ้งเศษทรายไว้นับไม่ถ้วนยามม้วนตัว คลื่นห่าใหญ่กว้างและเปี่ยมด้วยเรี่ยวแรง เกลียวคลื่นสยายทรงพลัง
เขาเดินทางมาถึงวังน้ำวนขนาดั์หลายสิบลี้ กระแสน้ำวนเวียนรวดเร็วนัก เมื่อมองจากที่ไกลๆ แม่น้ำสายใหญ่สีเหลืองประหนึ่งัทองั์ดุร้ายก็ไม่ปาน ส่วนเศียรมุดลงกลางน้ำวน ซอกซอนถึงสถานที่เร้นลับกลิ้งไหว ละอองน้ำล่องลอยขึ้นสูงเหนือวังน้ำวน ประดุจหมอกแห่งมวลเมฆ ทั้งลึกลับและน่ากลัว
“ในบันทึกบอกไว้ว่า ต้นน้ำของนทีหลั่งทรายนี้มีัตัวหนึ่งอาศัยอยู่”
เ่ิูระลึกถึงสิ่งที่บันทึกในทะเลสำนึกได้กล่าวไว้ สุดท้ายจึงมิได้ลังเลใจ เขาะโขึ้นฟ้าแล้วค้อมกายลงมา มุดลงไปในน้ำวนน่าหวาดหวั่น พลังฉีกทึ้งมหาศาลกระทบร่างกายมิได้ขาด ดุจสัตว์อสูรโบราณนับไม่ถ้วนกำลังรุมทึ้งกัดกิน เพื่อจะฉีกร่างเหยื่อให้เละสาแก่ใจ
เ่ิูกระตุ้นกำลังภายในถึงขีดสุด ป้องกันตนเองจากพลังกดดันน่ากลัวนี้
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ เขาตกลงมาได้ประมาณร้อยเมตร
รอจนถึงอึดใจที่สิบ...
“ตอนนี้แหละ”
เ่ิูะโก้อง ขว้างหอกไน่เหอด้ามหนึ่งในมือออกไป
กำลังแรงแห่ง ‘ธงรบแผ่นดิน’ ฉีกสะบั้นม่านน้ำ แหวกทลายไปเป็ทางตรงสู่ทิศเหนือ แทบจะยามเดียวกันที่หอกพุ่งออกไป ไอหอกผ่าอากาศธาตุและม่านน้ำไร้สิ้นเป็เขตสุญญากาศ สี่กระบวนท่าเทพราชันเกราะทอง ‘โผัเกรี้ยว’ สัมฤทธิ์ผลในพริบตา
พลังการบุกต่อเนื่องบานสะพรั่ง
กายของเ่ิูปะทะออกไป กระชากม่านน้ำออกจากกัน
ระยะทางเปลี่ยนเป็พันเมตร
จากนั้นเขาจึงได้ออกมาจากม่านน้ำไร้สิ้นสุดนั่น
เ่ิูพบว่าตนยืนอยู่ปากถ้ำบนูเาสูงชันขนาดั์
ครั้นหันกลับไปมองก็เห็นไกลออกไปร้อยเมตร มีเสียงอื้ออึงดังมา น้ำตกสีเงินสีทองกว้างพันเมตรไหลลงมาจากฟากฟ้า ร่วงหล่นสู่ความว่างเปล่า ภาพตรงหน้าทำให้อกสั่นขวัญแขวนบอกไม่ถูก น้ำตกราวกับมาจากความว่างเปล่า และไหลสู่ความว่างเปล่านิรันดร์อีกครา ดั่งแม่น้ำสายหนึ่งที่หลั่งรดโลกแห่งอนัตตา
และตำแหน่งที่เด็กหนุ่มยืนอยู่นี้ คือปากทางเข้าถ้ำขนาดั์บนูเาสูงชัน ห่างจากน้ำตกร้อยเมตร
สายลมแรงพัดออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ
ท่ามกลางวายุนั้น นำพากลิ่นคาวเืเข้มข้นมาด้วย หากสูดดมอากาศนี้เข้าไปโดยไม่ทันระวัง จักทำให้คนผู้นั้นวิงเวียนตาพร่าเสมือนถูกพิษ ราวกับว่าตนถูกแช่อยู่ในน้ำเืเหนียวเกาะติดดั่งเป็กาว
“นี่คือถ้ำัสินะ”
เ่ิูพลันเข้าใจขึ้นมา
เดาไม่ผิดหรอก เขามาเพื่อฆ่าั
ั สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็ที่สุด
ตามข้อมูลที่เ่ิูสืบค้นมาจากหอสมุดสาธารณะ เมื่อยามที่บุกเบิกแผ้วทางภพไทวะนั้น ยังไม่มีผู้ใดค้นพบเ้าสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ชนิดนี้มาก่อน และในปัจจุบันนี้เองก็มีข่าวคราวมาว่า ัั์สูญพันธุ์ไปนานแล้ว หลายพันปีถึงยังไม่เคยปรากฏตัวออกมาเสียที
และถ้ามีัอยู่จริงๆ สัตว์ชนิดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็หนึ่งในสามสัตว์ทองคำของทั้งเผ่าเทพและเผ่ามาร ทั้งยังเป็ตัวแทนของพลังและความน่ากลัว การฆ่าัมีแต่ในเื่เล่าอันงดงามเท่านั้นเอง
ทว่าตอนนี้ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นจากอักขระทั้งสิ้น จักรพรรดิอักขระลัวซู่เคยต่อสู้กับเทพัมาก่อน จึงเข้าใจถ่องแท้ในกำลังและสายเื ดังนั้นจึงได้สร้างเป็ัอักขระจินตภาพขึ้นมาจนสำเร็จ ตามที่สมุดบันทึกบอกมา วังน้ำวนห้วงลึกส่วนต้นน้ำแห่งนทีหลั่งทราย มีถ้ำัอยู่ถ้ำหนึ่งอย่างแน่นอน
ในถ้ำันั้น มีัอักขระอาศัยอยู่
ถึงแม้จะมิใช่ัจริง ทว่าหากสามารถฆ่ามันได้ ไม่เพียงจะได้รางวัลสมรภูมิอย่างงดงามเท่านั้น ยังมีข้อดีข้องามที่เหลือเชื่ออย่างอื่นอีกด้วย
ผู้ร้อยเรียงบันทึกลึกลับคนนี้ ได้ชี้ความลับที่น้อยคนนักจักรู้ออกมา เพราะถ้ำัอยู่ในส่วนอำพรางที่สุดนั่นเอง ก่อนหน้านี้คนมากมายถึงได้นึกว่าการะโเข้า ‘น้ำวนห้วงลึก’ เท่ากับรนหาที่ตาย ดังนั้นหลายต่อหลายปีจากนั้นเป็ต้นมา จึงมีคนเพียงหยิบมือที่สืบเสาะความลับของถ้ำัได้เจอ เมื่อผู้ร้อยเรียงแนะนำเ่ิูให้มาลิ้มลองดูสักครั้ง ก็ถือเป็การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นอกรอบได้ดีทีเดียว
อย่างน้อยสิ่งที่บันทึกนี้บอกก็ถูกต้องมาตลอดล่ะนะ
เ่ิูตามหาปากถ้ำัเจอแล้วจริงๆ
“บางทีอาจจะรอข้าอยู่ ต้องเป็ศึกที่โหดเป็แน่ ดังนั้นข้า...”
เ่ิูคิดพลางหยิบ ‘เืพลัง’ อมเข้าไปหนึ่งหยด เตรียมตัวไว้ทดแทนกำลังภายในตามเวลา จากนั้นจึงกระตุ้นพลังด้วยแรงทั้งหมดที่มี ดวงตามีไอโคจรรอบ แววเนตรแหวกความดำมืด มองเห็นทุกสิ่งในระยะสิบเมตรชัดเจน เด็กหนุ่มจับหอกยาวไว้ด้วยสองมือ ก่อนย่างก้าวเข้าถ้ำัช้าๆ ทีละก้าวๆ
ทางในถ้ำัขรุขระยิ่งนัก
สิ่งที่เหยียบได้ตลอดทางล้วนคือก้อนหิน
เ่ิูนั่งยองๆ แล้วมองอย่างถ้วนถี่
“นี่เหมือน...จะเป็ร่องรอยเนื้อ่ท้องของสัตว์อะไรก็ตามเสียดสีนะ”
เขาพบว่า ก้อนหินพวกนั้นมันวาวราวกับกระจก กระนั้นก็ยังมีฝุ่นผงแต้มเล็กน้อยส่องแสงบางๆ ท่ามกลางความมืดมิด และในดงหินเหล่านี้ก็ยังมีกระดูกขาวโครงแล้วโครงเล่ากระจัดกระจายอยู่ทั่ว ฟอสฟอรัสเดี๋ยวเลือนเดี๋ยวปรากฏ ราวกับดวงดาวกลางอากาศดำมืด เคลื่อนตัวตามกระแสลมและลอยคว้างขึ้นสูง
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไร กลิ่นคาวเืและไอพิษก็เข้มข้นขึ้นเท่านั้น
โครงกระดูกทับถมที่พบมาตลอดทางนั้น ล้วนแล้วแต่เป็ศพของสัตว์โง่เขลาที่เหลือเป็ซากไว้หลังตาย
บางโครงยังสมบูรณ์ดี ถึงได้มองออกว่าก่อนตายคงต้องดิ้นรนขัดขืนด้วยความกลัวจับจิต กระนั้นก็ไม่อาจหลีกหนีกรงเล็บของเทพแห่งความตายไปได้ ไม่รู้ว่าตายมานานกี่ปีแล้ว บางโครงเพริศแพร้วเหมือนหยก ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มลองััเบาๆ กลับแตกระแหงแล้วสลายไปกับลมดั่งเถ้าธุลี ละลายไปในอากาศดุจดวงิญญาสีเขียว...
และส่วนลึกของถ้ำ ก็มีแต่ศพกองพะเนินเป็ูเา
บนพื้นไร้ซึ่งทางให้เดิน เ่ิูต้องก้าวย่างบนกระดูกทั้งสิ้น
กร๊อบๆ
เสียงกระดูกถูกเหยียบเมื่ออยู่ในถ้ำเงียบสนิทนี้น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี
“โครงกระดูกหลายโครงตอนมีชีวิตต้องแข็งแกร่งมากแน่ เน่าเปื่อย ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ กลับยังแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก...อืม ส่วนมากเป็กระดูกอสูร ไม่ใช่คน” เ่ิูเดินอย่างระมัดระวังไปพลาง สำรวจอย่างรอบคอบไปพลาง “หากข้าคิดไม่ผิด สัตว์พวกนี้ต้องถูกัในถ้ำนี้จับเอามาเป็อาหาร”
เหมือนปีนป่ายหุบเขาหิมะไม่มีผิด เหยียบย่ำบนโครงกระดูกขาวราวหิมะ ป่ายปีนไม่หยุดท่ามกลางดวงิญญาสีเขียว
พื้นที่ของถ้ำก็ดูจะกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น เ่ิูก็ชะงักในพลันด้วยรู้ถึงบางอย่าง
“ไม่ใช่แล้ว ในเมื่อสัตว์ทั้งหมดในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องประกอบขึ้นจากอักขระ พอตายแล้วศพก็จะกลายเป็พลังกฎเกณฑ์หายไปกับนภา ทำไมถ้ำัมีโครงกระดูกมากมายขนาดนี้ หรือสัตว์พวกนี้จะไม่ใช่ของสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ถึงได้ตายแล้วกระดูกยังอยู่ที่นี่?”
คิดถึงส่วนนี้เ่ิูก็ขนลุกไปทั้งตัว
หรือว่าจะเหมือนกับที่เล่าลือกันมา หากตายในที่แห่งนี้ เท่ากับว่าตายจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เ่ิูเพิ่งเข้าใจในตอนนั้น ว่าความเร้นลับของสมรภูมิแห่งนี้ต้องมากกว่าที่คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของสำนักกวางขาวรู้ และมากกว่าที่บันทึกเล่มนั้นจะมองเห็น ไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่เห็นเปลือกนอกเป็แน่
ทว่าเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยหลังกลับ หาได้ไม่
เพราะในบันทึกบอกเพียงวิธีการออกจากที่นี่เมื่อปลิดชีพัสำเร็จแล้วเท่านั้น
เ่ิูก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
เขาปีนูเาเลากาแห่งซากศพ
วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันปลอดโปร่งขึ้น ปรากฏเป็เส้นทางกระดูกขาวสะอาดเรียบร้อยตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
เส้นทางนี้น่าจะประกอบขึ้นด้วยโครงกระดูกของสัตว์ใหญ่ที่ไม่เขาไม่รู้จัก แต่ละโครงล้วนสูงราวกับโขดหินลาดผาหลายสิบเมตร กระดูกแผ่ไปกว้างขวางสะดวกแก่การเดิน ไม่รู้ว่าสัญชาตญาณผิดตัวหรืออย่างไร เ่ิูถึงได้รู้สึกถึงกระแสเืเดือดพล่าน โคจรและคำรามดั่งสายน้ำใต้โครงกระดูก
เขาเดินไปตามเส้นทางนั้นเกือบพันเมตร
ในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกสุดแห่งถ้ำั
บ่อเืใหญ่ั์ปรากฏบนเบื้องหน้าเ่ิู
เืสดเดือดปุดๆ ดั่งน้ำยามต้มจนระอุ
ไอผงสีแดงชาดอบอวลทั่วบริเวณ ภาพตรงหน้าทั้งประหลาดล้ำและน่าครั่นคร้าม ผนังของบ่อคือกระดูก เ่ิูมองอย่างถี่ถ้วน ผนังสี่ด้านวาววับดั่งหยก ทั้งบ่อกว้างประมาณห้าหกเมตร ยาวเกือบสิบเมตร ความลึกไม่อาจรู้ โลหิตเข้มข้นจุอยู่เต็ม ผุดฟองอากาศเืไม่ขาดสาย...
เ่ิูมองซ้ายแลขวา
“อืม? ทำไมเป็อย่างนี้? ัั์ที่พูดถึงเล่า?”
ส่วนลึกสุดของถ้ำักว้างขวางก็จริง แต่นอกจากบ่อเืคาวเดือดปุดสุดพิสดารนี้แล้ว ก็ไม่มีพญาัอาศัยอยู่อย่างที่ว่าเลย...กระทั่งเกล็ดสักแผ่นก็ยังไม่มีให้เห็น พื้นที่กว้างๆ ผนังกระดูกขาว ดวงิญญาสีเขียวรอบด้าน รอบๆ ก็ไม่เห็นจะมีอุปสรรคกีดขวางอะไร มองเห็นทุกอย่างชัดเจนยิ่งนัก
อย่าว่าแต่พญาัเลย กระทั่งไข่ัสักใบ เกล็ดัสักเกล็ดก็ยังไม่มี
หรือข้าจะมาผิดที่?
หรือัออกไปล่ากันนะ?
เ่ิูเดินเข้าไปใกล้บ่อเือย่างระวังตัว
ความร้อนถึงที่สุดพวยพุ่งออกมาจากบ่อนั้น
เ่ิูมองรอบที่สามเพื่อยืนยันว่าไม่มีอันตรายใดแอบแฝงอยู่ เด็กหนุ่มก็ย่างกรายเข้าใกล้มันช้าๆ จากนั้นจึงตวัดมือกระชับหอกไน่เหอซึ่งด้ามหอกพังไปเรียบร้อยจุ่มลงบ่อ กวัดแกว่งไปมาสองสามครั้งก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เมื่อดึงหอกออกมา รอยโลหิตสะท้อนสดสวย หยดลงบนพื้นกระดูกขาวๆ ดังติ๋งๆ
“นี่มันเือะไรกันแน่? ถึงได้เดือดพล่านขนาดนี้?”
เขาก้มลงนั่งยองๆ ้าจะมองเืหยดนั้นให้ชัด
ทว่าวินาทีนั้นเอง ที่เื่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นสมใจอยาก เมื่อรอยเืแดงฉานบนพื้นกระดูกขาวขยับเขยื้อนเชื่องช้าราวกับว่ามีชีวิต เหมือนงูโลหิตกำลังเลื้อยข้ามผ่านสิ่งกีดขวาง กลับเข้าบ่อไปดังเดิม
“เืนี่มีชีวิตหรือ?”
เ่ิูตระหนกสุดขีด
ครั้นเขาเบือนหน้ามองหอกไน่เหอ ความตระหนกก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ
เพราะหอกไน่เหอของเขาที่เพิ่งจุ่มลงบ่อเืไปหมาดๆ ก็เปลี่ยนผันในฉับพลัน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่กลายเป็สีแดงฉาน แวววับสดสวย ไม่มีรอยด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียว เสมือนหินเืหรือทองคำแห่งเทพเซียน แพร่ไอแสงเบาบาง สีสันดุจภาพฝัน
บ่อเืเปลี่ยนหอกไน่เหอ?
บ่อเืนี่มีอะไรกันแน่นะ?
ตอนที่เ่ิูครุ่นคิดอยู่นั้นเอง กลิ่นหอมอ่อนๆ พลันเข้าจากกลางบ่อโดยมิได้นัดหมาย ในความหอมมีความหวาน เหมือนกลิ่นสมุนไพร กระทั่งพลังและสัญชาตญาณรับรู้ของเ่ิูยังไม่อาจจับต้องได้ในตอนแรก ต้องรอจนสูดดมกลิ่นนั้นด้วยตนเองแล้วนั่นล่ะถึงรู้ตัว
“ท่าไม่ดีแล้ว...”
เด็กหนุ่มวิงเวียนบอกไม่ถูก อุทานออกไปเมื่อหัวหนักอึ้งและเท้าเบาหวิว เขาถูกฉุดกระชากลงไป พร้อมกับหอกไน่เหอทั้งสองด้ามในมือ หล่นลงไปในบ่อเือัศจรรย์พันลึกดังตูม ทิ้งโลหิตสาดทะลักพุ่งสูงหลายสิบเมตร