“อืม จริงสิ หนิงเซียงเล่า เพิ่งจะเช้าตรู่แต่เหตุใดนางกลับหายตัวไปแล้ว ไหนบอกว่าจะไปเต้นด้วยกัน ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาเสียแล้ว”
“พี่หนิงเซียงไปหากลุ่มนักดนตรี นางบอกว่าจะเต้นทั้งทีย่อมต้องมีดนตรีประกอบถึงจะดี”
เฉินเนี้ยนหรานตบศีรษะตนเอง “อ่อ จริงสินะ ไม่มีวงดนตรีก็ขาดบรรยากาศไป เอาล่ะ อีกเดี๋ยวนางกลับมาแล้วบอกนางว่าข้าอยู่ที่ร้าน”
ความจริงแล้ว การเต้นออกกำลังกายของทางร้าน รวมถึงแอโรบิคของยุคปัจจุบันไปด้วย รวมกับมีจังหวะจะโคนมาสร้างบรรยากาศในการออกกำลังกาย
ตอนเวลาว่าง่ค่ำๆ ในยุคปัจจุบัน เฉินเนี้ยนหรานมักจะออกไปเต้นออกกำลังกายด้วย
มีทั้งการออกกำลังกายของคนวัยกลางคนที่จังหวะไว เื่ความทันสมัยไม่ต้องพูดถึง ยังมีบรรยากาศความงดงามจากการออกกำลังกายแฝงอยู่ด้วย “เป็เช่นนี้ ข้าจะเต้นให้ดูหนึ่งรอบ”
หลังจากเปลี่ยนชุดออกกำลังกายสีดำเรียบร้อยแล้ว เฉินเนี้ยนหรานจึงเริ่มนึกไปถึงท่าออกกำลังกายแต่ก่อน
่แรกยังคงเก้ๆ กังๆ แต่เต้นไปเต้นมาก็หาจังหวะเจอ
จนกระทั่งหนิงเซียงพาคนเข้ามาแล้วเห็นนางกำลังเต้นอย่างเมามัน คนที่อยู่ที่นี่ต่างตะลึงค้าง
โจวอ้าวเสวียนตามเข้ามาดูภรรยารักของตนเอง ครั้นเห็นก็พบว่ามีคนมากมายต่างมาล้อมรอบที่กระโจม
เมื่อแหวกฝูงชนไปดู จึงพลันฉุนกึก
นางสวมเพียงชุดพอดีตัวแล้วบิดไปบิดมา
ไม่เห็นหรืออย่างไรว่ายังมีกลุ่มบุรุษที่มองนางแล้วกลืนน้ำลายน่ะ!
เขาเดินไปด้านหน้าด้วยความโกรธ ทั้งยังถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมส่วนบนของภรรยาสาวโดยไม่พูดสิ่งใด
“อ๊ะ ทำอะไรน่ะ ข้ายังเต้นไม่ถูกเลย เ้าปล่อยข้านะ โจวอ้าวเสวียนเ้าปล่อยข้าสิ...”
เมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเขา และมองไปยังด้านนอกอีกครั้ง นางจึงหัวเราะแหะๆ หลังจากนั้นหนิงเซียงก็ทำมือเป็สัญญาณว่าเ้าดูแลตนเองด้วย และเรียกให้คนกลุ่มนี้มานั่งอีกด้าน
ความจริงแล้ว ทุกคนที่ยืนอยู่ในลานออกกำลังกายในยุคปัจจุบัน จะมีผู้ใดพูดสิ่งใดกันเล่า
แต่ที่นี่แค่สวมชุดพอดีตัวมากสักหน่อยกลับถูกคนพูดนั่นพูดนี่
นี่คือความขัดแย้งของยุคปัจจุบันและยุคโบราณ
“สามี ข้าเพียงแค่เต้นออกกำลังกาย ไม่มีอะไรจริงๆ แต่ก่อนข้าเองก็เคยเต้นเช่นนี้ให้เ้าดูมิใช่หรือ เ้าพูดความจริงมา การเต้นพวกนั้นสวยงามมากใช่หรือไม่? อย่าพูดโกหกนะ ข้ารู้นะ”
เมื่อครู่โจวอ้าวเสวียนอยากจะพูดว่าไม่สวย ก็ถูกโกรธกลับมาเช่นนี้ เขาถอดเสื้อผ้าบนตัวของตนเองมาคลุมตัวนางแล้วห่อไว้อย่างแ่า
“แม้จะงาม แต่เ้าก็ไม่สามารถมาเต้นด้านนอกได้ ความงามของเ้า ข้าอยากจะเก็บไว้ดูเพียงคนเดียว”
เฉินเนี้ยนหรานฉุนกึก เ้าคนบัดซบ เ้ามันคนเห็นแก่ตัว แต่ความสัมพันธ์ของสามีภรรยายังต้องรักษาไว้ ดังนั้นนางจึงรีบดึงพลังขึ้นมาพูดกล่อม
“สามี เ้าฟังที่ข้าพูดนะ ข้าร่างกายไม่แข็งแรงมิใช่หรือ พวกเราอยู่ด้วยกันแค่เพียงครู่เดียวข้าก็รับไม่ไหวแล้ว เื่นั้น พูดไปพูดมา ความจริงร่างกายของข้าก็แย่ไปสักหน่อยจริงๆ ออกกำลังกายพวกนี้ด้วยกันกับเหล่าพี่น้องสตรี ทุกคนเต้นไปด้วยกัน มีแรงจูงใจ และความกระตือรือร้น ยิ่งทำให้มีชีวิตชีวา เมื่อเป็เช่นนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะสนุกสนานแล้ว เื่สำคัญที่สุดคือยังได้ออกกำลังกายด้วย เช่นนี้ดีกว่าเ้าที่มักจะบังคับให้ข้าไปฝึกหม่าปู้ [1] มากนัก เ้าดูข้าฝึกหม่าปู้ เหมือนคนทำเป็เสียที่ใดกัน”
ครั้นพูดถึงหม่าปู้ โจวอ้าวเสวียนจึงโกรธหนักเข้าไปอีก
เขารังเกียจที่สตรีคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง จึงใช้ไม้แข็งให้นางมาฝึกหม่าปู้ด้วยกัน
แต่ทำไปทำมา นางกลับหนีไปอยู่ด้านข้าง ทั้งยังบอกว่าปวดท้อง ปวดขา ปวดไปทั้งตัว...
เอ่อ หรือสมควรจะตอบรับให้นางเต้นระบำจริงๆ?
เมื่อเห็นสายตาของเขาผ่อนคลายลง เฉินเนี้ยนหรานจึงรีบเติมเชื้อไฟ “สามีที่รักของข้า เ้ารู้สึกไม่พอใจที่ข้าใส่เสื้อผ้าแนบเนื้อต่อหน้าบุรุษอื่นใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้จัดนักดนตรีเอาไว้ด้านข้าง แล้วข้ากับเหล่าฮูหยินจะไปเต้นกันอีกด้าน เื่ในวันนี้เป็แค่การเข้าใจผิด ข้าไม่รู้ว่าตอนนั้นหนิงเซียงจะพาคนเข้ามานี่ น่า สามี...”
เสียงออดอ้อนนี้ แม้แต่ตัวเฉินเนี้ยนหรานเองยังรู้สึกขยะแขยง โชคดีที่หลังจากชายหนุ่มกำลังทบทวนเหตุผล สุดท้ายจึงพยักหน้า ถือเป็การยอมรับข้อเสนอของนาง
“หากข้าพบว่าเ้าเผยเรือนร่างต่อหน้าบุรุษอื่น เช่นนั้นเ้าก็ตามข้ามาฝึกหม่าปู้”
“สามี...” เฉินเนี้ยนหรานอยากจะใช้การออดอ้อนกลบทับไป แต่ครั้งนี้ฝ่ายสามีกลับใจแข็ง
โจวอ้าวเสวียนเลิกคิ้วขึ้น “อืม เหตุใดหรือ ไม่อยากจะเต้นแล้ว?”
“อา ฮ่าๆ ไม่หรอก ไม่หรอก เอาเถิด เช่นนั้น หากมีอุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้นจะคิดว่าเป็ความผิดข้าไม่ได้นะ เช่น จู่ๆ มีบุรุษหล่นลงมาจากฟ้า จากนั้นสถานการณ์เช่นนี้ข้าไม่สามารถห้ามได้จริงๆ! ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่? เป็คนจะต้องมีเหตุผล สามีเ้าอย่าได้ทำมึนงงได้หรือไม่”
คำปฏิเสธที่โจวอ้าวเสวียนจะพูดถูกนางตีกลับมาเช่นนั้น สุดท้ายจึงยกมือขึ้น “ก็ได้ ข้ารู้แล้ว หากมีคนตกลงมาจากฟ้าจริงๆ เช่นนั้นก็ว่ากันอีกที”
“ใช่เ้าค่ะ สามี เช่นนั้นข้าไปเต้นแล้วนะเ้าคะ แน่นอน เ้าสามารถแต่งตัวเป็สตรีไปดูพวกข้าเต้นได้ แต่เ้ามองข้าได้เพียงคนเดียว อย่ามองคนอื่น”
พูดจบก็ทำหน้าทะเล้นใส่เขา ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
มองภรรยาที่แสนน่ารักของตนเอง โจวอ้าวเสวียนทำได้เพียงส่ายหน้า เหตุใดเขาถึงหาภรรยาที่มีจิตใจเป็เด็กเช่นนี้นะ
แต่นับว่าดีอยู่นะ
ในการใช้ชีวิตนางเติบโตเป็ผู้ใหญ่มั่นคง
ในเื่ปกตินางก็สามารถรับผิดชอบได้
พอชีวิตส่วนตัวก็มีความเป็เด็กน่าสนใจ ภายในความสัมพันธ์ของสามีภรรยาเล่นได้หลายบทบาท...
ตอนที่หนิงเซียงเห็นนางกลับมา จึงใเล็กน้อย
“โอ้ โอ้ สามีของเ้าวางใจเ้าจริงๆ นะ ดูเหมือนมารยาร้อยเล่มเกวียนของเ้าพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เชียว บางครั้งข้ายังสงสัยว่าเ้าเปิดหอโคมเขียว หรือข้าที่เป็คนเปิดกันแน่? เหตุใดข้ามักจะรู้สึกว่าเ้ายั่วยวนบุรุษได้เก่งกว่าข้ากัน?”
หนิงเซียงไม่เข้าใจ แต่มีความหงุดหงิดอยู่สักหน่อย เฉินเนี้ยนหรานยืดอกให้อย่างพอใจ
“เ้ากำลังอิจฉาใช่หรือไม่ นี่เรียกว่าเป็รัศมีของข้า เอาล่ะ ไม่พูดไร้สาระแล้ว พวกเราอาศัยวันนี้รีบฝึกกันสักรอบเถิด”
หนิงเซียงเป็คนอยากทำสิ่งใดก็ทำ เื่น่าสนใจก็น่าสนใจไป แต่หากทำเื่สำคัญกลับเป็คนหนักแน่น
ทั้งสองคนฝึกไปด้วยกัน พร้อมทั้งพูด หนึ่ง สอง สาม เหล่านักดนตรีที่อยู่ด้านข้างก็ดีดฉินสีเอ้อร์หูไปด้วย
ที่ทำให้น่าประหลาดใจคือ หนิงเซียงประสบความสำเร็จด้านทำนองดนตรี เพียงแค่ชี้แนะไปหนึ่งรอบ นักดนตรีพวกนั้นต่างเข้าใจความหมายของนาง ภายใต้การแก้ไขของหนิงเซียง ดนตรีโบราณรวมกับยุคปัจจุบันจึงถือกำเนิดขึ้นมา ภายใต้เสียงดนตรีแปลกๆ ของเหล่านักดนตรีที่อยู่ห้องข้างๆ การเต้นออกกำลังกายของทั้งสองคนก็เต้นตามมา
โจวอ้าวเสวียนค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่อยากจะมาดูภรรยาคนนี้เต้นเลยจริงๆ แต่สำหรับการกระทำแปลกๆ คนนี้ นางไม่น่าวางใจจริงๆ ดังนั้นยอมเสียเวลาเล็กน้อยมาดู อาจวางใจได้บ้าง
โจวอ้าวเสวียนซ่อนตัวเข้าไปในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า พยายามทำให้ตนเองกลายเป็คนไร้รูปร่าง
“หนึ่ง สอง...สาม...”
“หนิงเซียง ข้ารู้สึกว่าท่าทางอาจไวไปสักหน่อย พวกเราสองคนเต้นเช่นนี้ไม่มีปัญหา แต่อย่างพวกฮูหยินรองเต้น เช่นนั้นคงลำบากไปเสียหน่อย เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าแนะนำให้ใช้จังหวะเร็วมาเต้นอบอุ่นร่างกายก่อน แล้วค่อยเอาเพลงที่จังหวะช้าลงมาสักหน่อย พวกเราจะต้องจัดลำดับการเต้นให้เรียบร้อยก่อน แล้วมาลองเต้นด้วยตนเองก่อน ถึงจะให้คนอื่นเต้นตามได้ แล้วอีกรอบจึงค่อยเต้นพร้อมกับดนตรี ฮี่ๆ หนิงเซียงเอ๋ย เ้าว่าหลังจากสอนการเต้นแล้ว ต่อไปฮูหยินรองกับฮูหยินเ้าเมืองจะจัดการเต้นพวกนี้หรือไม่? หากมีเช่นนั้นจริงๆ หอโคมเขียวของเ้าย่อมถูกยกระดับตามไปด้วย”
“อืม วิธีนี้ไม่เลวเลย แต่เมืองนี้มีแต่กระโจมจึงไม่ค่อยจะดีจริงๆ อีกอย่างจะต้องมีผังเมืองถึงจะได้ แค่กระโจมน่ะ หอโคมเขียวของข้าจะเปิดอย่างไร ย่อมเป็ได้แค่สถานที่บันเทิงง่ายๆ เท่านั้น ไม่มีทางเป็ระดับสูงได้”
หนิงเซียงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด
“เฮ้อ มันก็จริงนะ สถานที่แห่งนี้มักจะเกิดา ดังนั้นผู้คนล้วนชินกับการใช้กระโจมแล้ว แต่ยังหวังว่าไม่ให้เกิดาอีก ข้าค่อนข้างชอบที่นี่นะ”
ทั้งสองคนพูดไปฝึกไป
ตอนแรกเริ่ม โจวอ้าวเสวียนมองไม่เห็นข้อดีอะไรรู้สึกแค่ทั้งสองคนเต้นแข็งทื่อ การกระทำต่างๆ ล้วนไม่มีความเป็ธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย แต่เนิ่นนานเข้า ทั้งสองคนกลับยิ่งเต้นคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น การกระทำไหลลื่นราวสายน้ำ รวมกับชุดออกกำลังกาย จะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าการขยับตัวนั้นสวยงามมาก
มองการเต้นบนลาน สตรีงดงามหมุนตัว โจวอ้าวเสวียนพลันยิ้มพึงพอใจ
นี่คือมารดาของลูกๆ ของเขา และเป็ภรรยาที่รักของเขาโจวอ้าวเสวียน มีนางอยู่ในชีวิตแล้วย่อมไม่เหงาอีกต่อไป
ชาตินี้มีนางอยู่ ดีจริงๆ
แม้ภรรยาคนนี้จะทำอะไรแปลกไปบ้าง มักจะทำเื่ให้ปวดศีรษะบ้างในบางครั้ง แต่อดพูดไม่ได้ว่า พอมีนางอยู่ชีวิตยิ่งสมบูรณ์มากกว่าเดิม
ยังมีปัญหาเกี่ยวกับชายแดนที่เขายังต้องไปจัดการ จึงไม่กล้าอยู่นาน
เขาหมุนตัวออกจากเรือนมองไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอกกระโจม ทั้งแผ่นดินนี้ใสสะอาดไม่เจือปนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย ภรรยาของเขาคนนี้ชอบที่นี่ เช่นนั้นเขาต้องมีหน้าที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นการหาคนสอดแนมแคว้นผีข่าและในประเทศ จะต้องรีบดำเนินการให้เสร็จ
ขณะเดียวกัน บนเตียงหรูหราขององค์หญิงสามแคว้นผีข่า มีคนสองคนกำลังทำอะไรบางอย่างกัน จนต้องดึงม่านลง สตรีร่างบางซบบนหน้าอกของชายหนุ่มอย่างพึงพอใจ
มือขององค์หญิงสามลูบๆ คลำๆ
“สามี...”
“อืม...”
ตู้ซินถงหลับตาแน่น พยายามปัดภาพร่างในหัวออกไป จนกระทั่งอารมณ์เป็ปกติแล้ว เขาถึงได้หรี่สายตามองไปยังสตรีในอ้อมกอดนิ่ง
“ข้าคิดดีแล้ว พวกเราอยู่ด้วยกันดีมาก ทั้งยังมีความสุข ดังนั้นข้าจะรายงานกับเสด็จพ่อ ให้เขาอนุญาตให้พวกเราคบหากัน”
นิ้วมือของตู้ซินถงที่ลูบแผ่นหลังนางหยุดลง ตอบกลับเสียงเย็น
“อ๋อ...”
“สามี...”
เมื่อรู้สึกถึงความเ็าของเขา ทำให้องค์หญิงสามคนนี้ไม่สบายใจ นางเงยหน้าขึ้นไปจุมพิตเขาหนึ่งที
เชิงอรรถ
[1] 马步 หม่าปู้ หมายถึง ศิลปะการต่อสู้ของเอเชียและใช้ชื่อจากตำแหน่งที่สันนิษฐานไว้เมื่อขี่ม้า มันถูกเรียกว่าmǎbùในภาษาจีน kiba-dachi ในภาษาญี่ปุ่นและ juchumseogi หรือ annunseogi ในภาษาเกาหลี
