อวิ๋นซานมองท่าทีของบุตรสาว อดยิ้มพูดไม่ได้ว่า “หวานหว่านน่ารักน่าเอ็นดู เป็เด็กที่ทั้งเชื่อฟังและมีมารยาท การที่พ่อได้มีหลานสาวเช่นนี้ พ่อดีใจมากจริงๆ อีกทั้ง นางเป็ลูกสาวของจวินเหยียน ข้าอยากให้เขาดีต่อเ้าสักหน่อย จึงคิดว่าควรจะดีกับลูกสาวเขาเสียก่อน หวังว่าเขาจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจหัวใจของผู้เป็บิดา และปกป้องเ้าไว้ในใจราวกับเป็สมบัติล้ำค่า”
อวิ๋นซีถึงกับขอบตาแดงก่ำอย่างยากจะข่มกลั้นน้ำตาได้ไหว หยาดน้ำตาของนางค่อยๆ ไหลลงมา “ท่านพ่อ...” ถึงแม้อวิ๋นซีจะผ่านเื่อะไรมามากมาย แต่ญาติมิตรข้างกายที่ได้เจอแต่ละคนก็ล้วนเป็คนที่ดีต่อนางทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็คนตระกูลเฉียว หรือตระกูลทางฝั่งท่านตาในตอนนั้นอย่างตระกูลหาน ส่วนตอนนี้ก็มีทั้งบิดาอวิ๋นและท่านแม่จำเป็ ทุกคนล้วนเป็คนดีมากๆ ทั้งนั้น
อวิ๋นซีไม่กล้าจินตนาการจริงๆ หากตนได้มีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ได้รับความรักและการให้ความสำคัญจากคนเหล่านี้ ไม่มีความรัก และการปกป้องราวสมบัติล้ำค่าจากบิดาอวิ๋นและจวินเหยียน ไม่แน่ว่านางอาจจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวจนอาจถึงขั้นทำเื่บ้าคลั่งมากมายเพื่อแก้แค้น
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องของอวิ๋นซานก็บังเอิญได้เจอจวินเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาหาพอดี ยามที่เขามองเห็นนาง ใบหน้างดงามราวรูปสลักน้ำแข็งนั้นกลับมีแววแย้มยิ้มเพิ่มขึ้นหลายส่วน เขาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาอวิ๋นซี
ในตอนนี้ จู่ๆ อวิ๋นซีก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็นในกาลก่อน หากเป็คนที่รักเ้าด้วยใจจริง ไม่ว่าเ้าจะยืนอยู่ที่ใด เขาก็ล้วนจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เดินมาอยู่ข้างกายเ้า ทั้งยังจะบอกกล่าวแก่เ้าว่า ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่เคียงข้างเ้า
อวิ๋นซีหยุดยืนอยู่ที่เดิมขณะมองบุรุษที่เดินเข้ามาหาตน และทันทีที่เขาเดินมาถึงข้างกายนาง ก็รีบกุมมือนางมาอังไว้ที่ข้างริมฝีปาก เป่าไอร้อนและช่วยถูมือให้นางไม่หยุด จากนั้นจึงปริปากถามอย่างบุรุษโง่งมที่เกรงว่าภรรยาจะหนาวสั่น “ยังหนาวอยู่หรือไม่? ”
อวิ๋นซีหัวเราะพรืด “หากข้าบอกว่าหนาว ท่านจะทำเช่นไร? ”
จวินเหยียนขบคิดแล้วตอบ “หากเ้าหนาว ข้าก็จะกอดเ้าไว้ในอ้อมแขนเสีย จากนั้นก็ใช้เสื้อกันลมคลุมเ้าไว้ให้มิดชิด”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “คล้ายกับบ๊ะจ่างก็ไม่ปาน” นางยิ้มคล้องแขนเขาแล้วมุ่งหน้าเดินต่อไป นางก้าวเดินไปพลางเหลียวมองบุรุษข้างกายไปพลาง ในสายตาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกลึกล้ำ
จวินเหยียนยิ้ม หันมองนางที่อยู่เคียงใกล้ ก่อนจะเอ่ยถาม “เ้าทึ่มน้อยของเปิ่นหวางยังคงชมชอบของสวยงามอยู่เช่นเดิมหรือ” จำได้ว่า เมื่อก่อนนางมักจะจ้องมองใบหน้าดวงนี้ของเขาด้วยสายตาเลื่อนลอยอยู่บ่อยๆ ถึงกระนั้นการได้เห็นสายตาลุ่มหลงของนาง ก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีนับครั้งไม่ถ้วนที่ตนเกิดมามีใบหน้างามชวนมองเช่นนี้
อวิ๋นซีพยักหน้า ยอมรับแต่โดยดีว่าตนชมชอบของสวยงาม “หม่อมฉันขอกราบแทบชายอาภรณ์ยาวของท่านอ๋องเพคะ”
จวินเหยียนส่งเสียงอือฮึ “ข้าอนุมัติแล้ว” อนุมัติให้เ้ากราบแทบชายอาภรณ์ยาวของเปิ่นหวางได้ผู้เดียว แต่หากมีใครไม่รู้ความกล้าแย่งชิงเ้ากับเปิ่นหวาง เช่นนั้นเปิ่นหวางก็จักให้คนผู้นั้นต้องเสียใจในภายหลัง
ดังเช่น ชายบางคนที่ตอนนี้กำลังควบม้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยไม่หยุดพัก ด้วยเื่นี้ ทำให้ตอนนี้เขาอารมณ์ดียิ่ง ในที่สุดก็สามารถไล่เ้าสารเลวเจียงเฉิงนั่นออกไปให้ไกลจากภรรยาได้เสียที ทว่า เมื่อนึกถึงเื่ที่ชายผู้นั้นลอบทำให้ภรรยาตัวน้อยของเขาลับหลัง เขาก็รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยจริงๆ
อวิ๋นซีไม่รู้ว่าตอนนี้สามีตนกำลังกินน้ำส้มสายชูอยู่ และยิ่งไม่รู้ว่าเขาได้แอบกลั่นแกล้งสหายของนางให้คนไม่อาจไม่รีบกลับไปยังดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือได้อีกแล้ว
ระหว่างทางเดินกลับเรือน อวิ๋นซีหันมองไปรอบๆ กายตน นางมองบรรดาสาวใช้และผ่อจื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้นน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “บ่าวรับใช้ที่เสด็จพ่อของท่านเตรียมไว้ให้เหล่านี้ ดูแล้วไม่มีใครมีใจคิดเอนเอียงเป็อื่นนะ”
เข้ามาพักอยู่ได้ครึ่งปี เื่ในจวนอ๋องนี้ นอกจากบางเื่ที่ให้ท่านผู้นั้นในวังได้รับรู้ ที่เหลือก็ไม่มีเื่สำคัญอันใดถูกแพร่ออกไป ด้วยเื่นี้ ทำให้อวิ๋นซีพอใจยิ่ง
ทว่า สำหรับท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น อย่าว่าแต่จวนหนิงอ๋องแห่งนี้เลย นางสามารถพูดได้ว่า ทั้งหนานเย่านี้ ไม่ว่าจะเป็จวนอ๋องแห่งใดก็ล้วนมีคนของเขาอยู่ กระทั่งในตอนนั้นที่พวกนางยังอยู่หานโจว เื่มากมายของจวินเหยียนก็ไม่แน่ว่า ท่านผู้นั้นอาจจะรับรู้อยู่แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการที่ไม่รู้ว่าคนที่คอยจับตาดูและควบคุมตนอยู่คือผู้ใด ไม่สู้ตอนนี้ยอมให้ผู้อื่นจับตาอยู่อย่างออกนอกหน้า อย่างมากเื่ลับๆ อะไรเ่าั้ พวกนางสามีภรรยาก็สามารถแอบคุยกันเงียบๆ ในห้องนอนได้
อีกทั้ง การถูกเฝ้าระวังยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ การได้มีกลุ่มสาวใช้ ผ่อจื่อ และองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง เมื่อเป็เช่นนี้ก็ถือว่าทุ่นแรงพวกนางไปได้ไม่น้อย
จวินเหยียนพยักหน้าตอบ “อืม ในเมื่อเขาส่งมาให้ เ้าก็ไม่ต้องเกรงใจ รับมาให้หมดเป็พอ”
สำหรับเื่ที่เสด็จพ่อของตนทำนั้น เขาก็ใช้หลักลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งมาตลอด ขอแค่การกระทำนั้นไม่มากเกินไป เขาก็ไม่มีความจำเป็ต้องไปถือสาเอาความอะไร อย่างไรเสีย คนคนนั้นก็เป็ผู้สูงศักดิ์ที่ควบคุมอำนาจชี้เป็ชี้ตายผู้อื่น
อวิ๋นซีได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ต้องเป็เช่นนั้นแน่”
นางขบคิด ชั่วขณะนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า อีกไม่กี่วันก็ต้องไปเข้าร่วมงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิแล้ว นางถาม “งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงในอีกไม่กี่วัน ข้าจำเป็ต้องตระเตรียมสิ่งใดไว้ให้ท่านหรือไม่? ”
จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่า ั้แ่ที่กลับมายังจวนอ๋องก็ได้ละเลยอะไรไปมากมาย เช่น เื่หมัวมัวข้างกาย หากนับตามสถานะพระชายาในตอนนี้ของตน ข้างกายก็จำต้องมีหมัวมัวสักสองคน สาวใช้ใหญ่หกคน สาวใช้ขั้นสองแปดคน และสาวใช้ขั้นสามอีกสิบสองคน
ทว่า ในความเป็จริงข้างกายนางไม่มีหมัวมัวสักคน แม้แต่สาวใช้ใหญ่ก็ยังใช้ร่วมกันกับบุตรสาว เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้นเมื่อจวินเหยียนเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็อดเปิดปากถามไม่ได้ “เหตุใดจึงขมวดคิ้วอีกแล้วเล่า เกิดเื่อันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ? หากเ้ารู้สึกไม่สบายก็ไม่ต้องตระเตรียมสิ่งใดหรอก ให้บ่าวรับใช้ทำแทนเถอะ”
อวิ๋นซีเม้มปาก จากนั้นจึงบอกเล่าความในใจ “ที่ไหนกันเล่า เพียงแต่บ่าวข้างกายข้าควรจะเพิ่มอีกสักสองสามคน เพราะข้าไม่มีหมัวมัว ส่วนสาวใช้ขั้นหนึ่งและขั้นสองก็ยังไม่เพียงพอ อีกทั้ง ข้างกายหวานหว่านเองก็ควรจะกำหนดคนดูแลเฉพาะเอาไว้ได้แล้ว”
เมื่อจวินเหยียนได้ฟังก็ยิ้มกล่าว “สามีก็นึกว่าเื่อันใดเสียอีก แค่เื่เล็กเท่านี้เอง เ้าถึงกับขมวดคิ้วยุ่งยากใจอยู่เพียงนั้น ขอแค่บอกข้ามาสักคำ แน่นอนว่าข้าต้องช่วยเ้าแก้ปัญหาอยู่แล้ว”
อวิ๋นซียิ้ม กอดแขนเขา ถามต่อ “จริงหรือ? ”
ชายหนุ่มบีบจมูกนางไปทีหนึ่งอย่างหยอกล้อ “จริงแน่อยู่แล้ว ใครจะกล้าหลอกฮูหยินเล่า”
เช้าวันถัดมา จวินเหยียนส่งสาวใช้และผ่อจื่อมาให้นาง ซึ่งจำนวนคนเหล่านี้รวมๆ กันแล้วก็มีมากถึงยี่สิบกว่าคน อวิ๋นซีมองคนเหล่านี้ที่ยืนอยู่ในสวนชิงเฟิง มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ คาดว่าเขาคงจะแอบฝึกคนเหล่านี้ไว้อย่างลับๆ นานแล้วกระมัง เพราะแค่ดูก็รู้ว่าคนไม่ธรรมดา
อวิ๋นซีมองไปยังแถวแรกฝั่งซ้ายที่มีผ่อจื่ออายุสี่สิบกว่ายืนอยู่ นางถามชื่อของอีกฝ่าย ก่อนที่ผ่อจื่อคนนั้นจะก้าวออกมาแล้วตอบด้วยท่าทางนอบน้อม “บ่าวผู้ชรามีแซ่หวัง ก่อนแต่งงานเคยเป็นางกำนัลอยู่ในวัง ตอนอายุยี่สิบห้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ออกจากวังมาแต่งงาน ทว่า เมื่อสี่ปีก่อนเจอกับภัยพิบัติน้ำท่วม ทำให้สามีและลูกล้วนตายสิ้น ส่วนชีวิตของบ่าวชรานี้ก็เป็ท่านอ๋องที่ทรงช่วยไว้เพคะ”
อวิ๋นซีพยักหน้า หวังหมัวมัวผู้นี้ถือว่าเป็คนที่มีจิตใจแจ่มชัด คนรู้จักบอกเล่าเื่บางอย่างออกมาให้ชัดเจน ถึงกระนั้นเมื่ออีกฝ่ายแนะนำตนเองเสร็จ อวิ๋นซีก็ให้คนออกไปยืนด้านข้างก่อน จากนั้นก็ให้คนที่เหลือแนะนำตนเองต่อ
ผ่านไปรอบหนึ่ง อวิ๋นซีก็ได้รู้จักนามของคนเหล่านี้แล้ว นอกจากหวังหมัวมัวก็ยังมีหมัวมัวอีกสี่คน ได้แก่ จางหมัวมัว เฉินหมัวมัว เกาหมัวมัว และหลิวหมัวมัว คนเหล่านี้ไม่มีใครสักคนที่ไม่เคยไม่ได้ทำงานอยู่ในวังมาก่อน ตอนหลังเมื่ออายุถึงเกณฑ์แล้วจึงได้ออกจากวัง เว้นเสียแต่หวังหมัวมัวเพียงคนเดียวที่ออกมาแต่งงาน แม้คนที่เหลือจะไม่ได้แต่งงาน แต่เมื่อออกจากวังมาก็เกล้าผมเอง [1] ถึงกระนั้นในเมื่อคนเหล่านี้เป็จวินเหยียนส่งมาให้ แน่นอนว่าพวกนางย่อมต้องเป็คนที่เชื่อถือได้เช่นเดียวกับพวกเพ่ยเอ๋อร์
นอกจากนี้ ทางด้านกลุ่มสาวใช้ เมื่อก่อนพวกนางล้วนใช้รหัสแทนชื่อเรียก ตอนนี้เมื่อต้องมาอยู่ที่นี่ก็หมายความว่า อวิ๋นซีต้องเป็คนประทานนามให้
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เกล้าผมเอง(自梳)คือ การที่สตรีโตเต็มวัยเกล้าผมมวยไว้บนศีรษะด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เป็การแสดงออกว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงาน