หลังจากเสร็จสิ้นการทะลวงแล้ว หลัวเลี่ยก็รู้สึกว่าพลังภายในของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าบอกว่าความรู้สึกของการอยู่ในจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับสิบคือราชันแห่งโลกมนุษย์ เช่นนั้นตอนนี้หลังจากที่หลัวเลี่ยได้ทะลวงพลังเข้าสู่ระดับหยินหยาง เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ก้าวข้ามโลกของมนุษย์ธรรมดาเข้าสู่จักรวาลแห่งทวยเทพแล้ว
พลังของหลัวเลี่ยในตอนนี้มีอยู่สองชนิด
พลังลมปราณในร่างกายของเขาพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง และแฝงกลิ่นอายของพลังสองชนิดที่แตกต่างปะปนกันอยู่
นั่นคือพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์!
สิ่งนี้คือลักษณะพิเศษของผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับหยินหยาง
ร่างกายของผู้ที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับหยินหยางจะสามารถดูดซับพลังจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพื่อมาชำระล้างร่างกายหรือดูดซับมาเพื่อเพิ่มพลังในการฝึกฝนได้
หลัวเลี่ยก็ทำได้เช่นกัน แต่เพราะเขามีรากฐานทางพลังวรยุทธ์ที่มั่นคงจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ รวมกับที่เขาได้เลือกฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมต่อ ทำให้เขารู้สึกมากกว่าคนอื่นๆ ตอนนี้พลังภายในของหลัวเลี่ยมีพลังของหยินและหยางปะปนอยู่ด้วย พลังแห่งหยางที่ร้อนแรงแผดเผาเช่นดวงตะวัน และพลังแห่งหยินที่สงบเยือกเย็นดังดวงจันทร์ พลังหยินหยางทั้งสองกำลังผสานรวมกันในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจะเป็การผสานพลังพื้นฐานของผู้ที่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยาง แต่หลัวเลี่ยกลับรู้สึกถึงพลังที่มากกว่าปกติ
“ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จแล้ว”
“ขั้นต้นของระดับหยินหยาง!”
หลัวเลี่ยที่นั่งอยู่บนโขดหินมองเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวจากแคว้นต่างๆ ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเขา ร่างของหลัวเลี่ยสั่นสะท้านเล็กน้อย ตรงระหว่างคิ้วของเขายังคงมีแต้มแสงจันทร์ปรากฏอยู่ ซึ่งมันเป็สัญลักษณ์ที่แสดงถึงพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
สุดท้ายหลัวเลี่ยก็มองเห็นไก้อู๋ซวงซึ่งกำลังเคลื่อนที่มาจากทางด้านหลังของหนุ่มสาวพวกนั้น
“ถึงเวลาแล้วสินะ”
หลัวเลี่ยค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้น
เดิมทีร่างกายของหลัวเลี่ยก็มีรากฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่ง แม้ว่าความจริงเขาจะสามารถทะลวงระดับหยินหยางได้นานแล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะรอจนถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุดถึงจะลงมือทะลวงระดับพลัง ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้เขาจะเพิ่งทะลวงระดับพลังสำเร็จ แต่พลังของเขากลับแข็งแกร่งกว่าผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับหยินหยางใน่สองถึงสามเดือนแรกเสียอีก
ไก้อู๋ซวงผู้หยิ่งยโสก็มองจ้องไปที่หลัวเลี่ยเช่นกัน
ทันทีที่สายตาของหลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงสบกัน บรรยากาศรอบกายของพวกเขาก็คล้ายกับว่ามีประกายไฟแล่นออกมาจากสายตาของทั้งคู่ รอบกายของพวกเขามีไอพลังที่รุนแรงแผ่ออกมา จนกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่คั่นกลางระหว่างพวกเขาทนรับแรงกดดันไม่ไหวและค่อยๆ ล่าถอยออกไป
“สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ข้าที่อยู่ภายในไข่ได้แต่มองดูผู้คนในดินแดนเหยียนหวงใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ข้ามองเห็นอัจฉริยะและนักเวทมามากมาย แต่ไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะเป็คู่ต่อสู้ของข้าเลย” เสียงของไก้อู๋ซวงลอยมาตามลม “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มี แต่เ้าก็ได้ยั่วโมโหข้าแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นเ้ายังกล้าประกาศว่าจะสังหารข้า และเ้ายังกล้าขโมยผลึกสุริยนของข้าไปอีกด้วย เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้าได้กระตุ้นความโกรธของข้าเสียแล้ว”
หลัวเลี่ยยืนอยู่บนโขดหิน มือไพล่หลัง จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางไก้อู๋ซวง
รอบกายของหลัวเลี่ยถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่เหนือหัวของเขาทอแสงเป็ประกาย เส้นผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม เขาดูงดงามราวกับเทพเ้า เสียงของเขาดังก้องกังวานและน่าเกรงขาม “ข้าคือหลัวเลี่ย ข้าไม่เคยสนใจว่าเ้าจะเป็ใคร ไม่ว่าเ้าจะเป็ศิษย์จากสำนักที่สูงส่ง หรือเป็ว่าที่ราชินีคนต่อไปของแคว้นเหยียนหลง หรือเป็อัจฉริยะที่มีโอกาสขึ้นเป็เทพ หากข้า้าสังหารเ้า ข้าก็จะทำ”
“คนเช่นเ้าคู่ควรเอ่ยคำว่าสังหารข้าหรือ” ไก้อู๋ซวงตะคอกอย่างเ็า
หลัวเลี่ยพูดอย่างสงบนิ่ง “ในสายตาของข้า เ้าก็เป็แค่เศษวัชพืชเท่านั้น”
ั์ตาของไก้อู๋ซวงมีประกายเพลิงที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ดูเหมือนว่าไอสังหารที่แผ่ออกมาจากกายของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เพราะนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครกล้าพูดว่านางไร้ค่า
ที่สำคัญคนคนนั้นยังเป็เพียงเด็กหนุ่มที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับนาง
“ในไม่ช้าข้าจะให้เ้าได้ัักับรสชาติของคำว่าไร้ค่าอย่างแท้จริง” ไก้อู๋ซวงพูดอย่างเ็า “ก่อนที่เ้าจะตาย จงบอกเหตุผลกับข้าเสีย”
“ข้ามาแก้แค้นให้กับข่งเยวี่ยเจิน!” หลัวเลี่ยกล่าว
ไก้อู๋ซวงพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “เ้าอยากจะทำเพื่อประจบตระกูลข่ง เพื่อให้ได้เป็คนตระกูลข่งหรือ เช่นนั้นการที่ข้าจะสังหารเ้าก็เป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว”
หลัวเลี่ยไม่ได้อธิบายต่อ และเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก เื่แบบนี้ยิ่งเขาอธิบายมากเท่าไร คนก็จะเชื่อน้อยลงเท่านั้น เขามองไปที่ไก้อู๋ซวงอย่างนิ่งเฉย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “หยุดพูดเื่ไร้สาระแล้วลงมือเถิด ให้ข้าได้ชมฝีมือของผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองนักหนาหน่อย ว่าเ้าจะมีดีขนาดไหนกัน”
ทันใดนั้นไก้อู๋ซวงก็เรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ของนางออกมา พลังจากตัวดาบพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแยกผืนฟ้าออกจากกัน แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบกายของนางก็ถูกพลังจากตัวดาบดูดเข้าไปด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่รอบๆ ต่างหยุดหายใจไปชั่วขณะ
แข็งแกร่งมาก!
นี่คือการแสดงพลังที่แท้จริงของไก้อู๋ซวง
หลัวเลี่ยเอามือไพล่หลังและมองดูอย่างเ็า
เขาคิดว่าไก้อู๋ซวงเป็ศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้คาดการณ์เื่นี้ไว้แล้ว เขาจึงไม่แปลกใจในความสามารถของนางมากนัก
“องค์หญิง ฝ่าาจะทรงใช้ดาบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้สังหารคนตัวเล็กๆ ได้อย่างไร หลัวเลี่ยก็เป็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ข้าจะลงมือเอง ขอฝ่าาเก็บกำลังของพระองค์ไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ หากข้ารับมือกับเขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็คู่ควรจะให้ฝ่าาลงมือด้วยองค์เองแล้ว”
ชายหนุ่มที่มาจากแคว้นเหยียนหลงก้าวออกมาและพูดเสียงดัง
ไก้อู๋ซวงชำเลืองมองที่หลัวเลี่ย นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ไก้อู๋ซวงจะหยิ่งผยอง แต่นางก็ไม่ใช่คนไร้สมอง นางรู้ว่าหลัวเลี่ยกล้าที่จะสังหารนาง นอกจากนี้เขายังสามารถใช้ผลึกสุริยนของนางเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นไก้อู๋ซวงจะปล่อยให้คนอื่นทดสอบพลังของเขาให้นางดูก่อนก็แล้วกัน
อย่างน้อยหลัวเลี่ยก็ถือว่าเป็คู่ต่อสู้คนแรกที่นางต้องเผชิญหน้า หากนางไม่ระวังตัวจนทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้น เส้นทางในการเป็เทพของนางคงไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ และนางคงเจ็บใจกับเหตุการณ์นี้
การแสดงออกของไก้อู๋ซวงทำให้หลัวเลี่ยมองนางเปลี่ยนไป
ไก้อู๋ซวงรับมือได้ยากกว่าที่คิดไว้มาก
ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนจากแคว้นเหยียนหลงที่ได้รับอนุญาตจากไก้อู๋ซวงรับคำของนางและรีบพุ่งตัวไปทางหลัวเลี่ย
ชายหนุ่มและหญิงสาวพวกนี้ต่างเป็อัจฉริยะ
พวกเขาดึงดาบออกมาจากฝักทีละคน และพุ่งเข้าโจมตีหลัวเลี่ยจากทุกทิศทุกทาง
ไม่ว่าจะเป็ความแข็งแกร่งหรือไอเยือกเย็นต่างก็ถาโถมเข้ามาหาหลัวเลี่ย
“ถ้าพวกเขาสามารถทำร้ายข้าได้ ข้าคงไม่กล้าพูดว่าข้าจะสังหารเ้าั้แ่แรก ไก้อู๋ซวง”
หลัวเลี่ยยกมือขึ้นอย่างสงบนิ่ง แล้วออกหมัดไปด้วยความธรรมดา
เขาทำเพียงหันหมัดไปข้างหน้า
หมัดผู้พิชิต!
หมัดผู้พิชิตเป็วิชายุทธ์แรกที่เขาเชี่ยวชาญ จริงอยู่ที่ว่าก่อนหน้านี้วิชายุทธ์นี้ของเขาอาจจะไม่มีพลังรุนแรงมากนัก แต่ตอนนี้เขามีพลังอยู่ในระดับหยินหยางแล้ว เช่นนี้พลังของวิชายุทธ์นี้ก็แข็งแกร่งขึ้นจากตอนแรกมากแล้ว
ตูม!
หลังจากที่หลัวเลี่ยออกหมัดไปหนึ่งครั้ง ความว่างเปล่าที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็ระยะสามจั้งก็เกิดแรงสั่นะเืและเกิดรอยร้าวขึ้น
แรงสั่นะเืของพลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายเป็รูปพัด
ปังๆ...
ชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ของแคว้นเหยียนหลงถูกหมัดผู้พิชิตของหลัวเลี่ยทุบจนคว่ำ จากนั้นการโจมตีหลัวเลี่ยของพวกเขาก็เหมือนกับหิมะที่ละลายในน้ำเดือด
หลัวเลี่ยถอนมือออก เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “พวกเ้าไม่ไหวหรอก”
ชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ถอยร่นกลับไปทีละคน ช่องว่างทางพลังระหว่างพวกเขามีมากเกินไป
“ข้าเอง!”
มู่เจี้ยนเฟยก้าวออกมา
“และข้า”
ชายหนุ่มคนหนึ่งถือมีดเล่มเล็กเดินออกมา และยิ้มให้หลัวเลี่ยเล็กน้อย “ข้าชื่อหลิวเย่เตา ขอท่านหลัวเลี่ยโปรดออมมือด้วย”
ทั้งสองเดินไปขนาบข้างซ้ายและขวาของหลัวเลี่ย ขณะที่พวกเขาก้าวเดินไอพลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งดึงดาบออกมาจากฝัก ส่วนอีกคนหนึ่งดึงมีดออกมาจากฝัก
การผสมผสานระหว่างดาบและมีดมีพลังที่รุนแรงทำลายทุกสิ่ง
หลัวเลี่ยเห็นสิ่งนี้และพูดว่า “ความสามารถเช่นพวกเ้า ไม่คณามือข้าหรอก ให้ไก้อู๋ซวงมาเถิด ข้าต้องได้ชีวิตของนางมาปลอบขวัญดวงิญญาของข่งเยวี่ยเจิน”
“นายน้อยหลัวอย่าได้มั่นใจจนเกินไป”
มู่เจี้ยนเฟยและหลิวเย่เตาออกแรงพร้อมกัน ดาบและมีดของพวกเขาเป็เหมือนเสือและหมาป่าที่ดุร้ายและมีพลังรุนแรง เงาของดาบเปล่งประกายออกมาจากทางซ้ายและขวาของหลัวเลี่ย
เมื่อหลัวเลี่ยได้เผชิญหน้ากับพลังอันรุนแรงของพวกเขา หลัวเลี่ยก็ยังคงรักษาท่าทางที่สงบนิ่งเอาไว้ เขายกมือขึ้นช้าๆ โดยไม่ได้ใช้วิชายุทธ์ใดๆ หลัวเลี่ยเพียงแค่ยกมือจับดาบและมีดนั้นเบี่ยงไปทางซ้ายและขวา
ตูม! ตูม!
ดาบและมีดที่ทรงพลังนั้นพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ย ทว่ามันหยุดลงกะทันหัน
การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ทุกคนต่างเงียบงัน
สิ่งที่ทำให้ดาบและมีดหยุดลงคือหลัวเลี่ยจับพวกมันด้วยมือทั้งสองข้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้