คนในตระกูลจ้านที่ชอบจ้านอู๋มิ่งมีมากมายยิ่ง แม้แต่ท่านแม่ทั้งสี่ที่หักเล่ห์ชิงเหลี่ยมเสมอมา ตลอดจนพี่ชายทั้งสามที่แข่งขันชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน ก็ล้วนเอาใจเขา ตามใจเขา เพราะเขาเป็คนเขลา ไม่มีความรู้ไร้ความสามารถผู้หนึ่ง เป็หนุ่มน้อยที่เอาแต่พูดพล่ามเกี่ยวกับสมุนไพรไร้สาระตลอดทั้งวัน เขาย่อมมิสามารถมีโอกาสแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล จึงมิมีผลคุกคามใดๆ สำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตามตระกูลจ้านไม่กังวลว่าจะพ่ายแพ้ให้กับนายน้อยที่ไม่มีพลังอำนาจที่แท้จริงผู้หนึ่ง ดังนั้นทุกคนจึงคุ้นเคยตามใจเขาตลอดมา เอาอกเอาใจเขา เกรงแต่ว่าคนเสเพลจะกลับตัวกลับใจหันมาประกอบสัมมาอาชีพเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากฤดูกาลล่าสัตว์ใน่วสันตฤดูที่เทือกเขาสัตว์อสูรเมื่อสามเดือนก่อน สถานการณ์เช่นนี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว!
กลุ่มคนลึกลับกลุ่มหนึ่งเข้าลอบโจมตีค่ายพักของจ้านอู๋มิ่ง แม้ว่าผู้คุมกันจะเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเขา เขาก็ยังคงตกลงไปในน้ำตกเหวลึก ถูกสายน้ำพัดพาไปแล้ว ทุกคนล้วนคิดว่า คนที่แม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ยังไม่มีผู้หนึ่ง เด็กน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงจะมัดขาไก่ผู้หนึ่ง เป็ไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิตจากแรงกระแทกของน้ำตกสูงนับร้อยวา ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตมาโดยบังเอิญ ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะสามารถหนีรอดจากบรรดาสัตว์อสูรดุร้ายที่ชุกชุมเพ่นพ่านอยู่ทั่วไปกลางูเา
มิมีผู้ใดทราบว่าจ้านอู๋มิ่งเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเทือกเขาสัตว์อสูรั้แ่เขาอายุแปดขวบ ศึกษานิสัยของสัตว์อสูร ทุกคนรู้แต่ว่าเขาชอบขโมยโอสถจากหอโอสถไปหาบ่าวไพร่มาทดสอบโอสถ กลับมิทราบว่าเขากำลังเปรียบเทียบสรรพคุณของโอสถระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร โอสถเ่าั้เขาได้ทดลองใช้กับร่างกายสัตว์อสูรมาเนิ่นนานแล้ว หากพูดถึงวิธีเอาตัวรอดในเทือกเขาสัตว์อสูรแล้ว เกรงว่าในตระกูลจ้านมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทัดเทียมจ้านอู๋มิ่ง
ตอนแรกจ้านอู๋มิ่งกล้าเคลื่อนไหวเฉพาะแถวรอบนอกเทือกเขาสัตว์อสูรเท่านั้น หาสัตว์อสูรตัวเล็กที่อ่อนแอมาส่วนหนึ่งเพื่อทำการทดสอบ เดิมทีเขาคิดอาศัยฤดูกาลล่าสัตว์ในวสันตฤดูครั้งนี้ ล่วงลึกเข้าไปในเทือกเขาสัตว์อสูร หาสัตว์อสูรที่ทรงพลังกว่าเดิมสำหรับการทดลองโอสถ แต่มิคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ชั่วขณะที่เขาโดนบางสิ่งแปลกประหลาดจากบนฟ้ากระแทกตกลงไปในเหวน้ำตก ความร้อนมหาศาลชนิดหนึ่งพุ่งเข้าไปในจิติญญา เขาได้ยินเสียงกระจัดกระจายแว่วออกมาจากส่วนลึกของจิติญญา ควบคุมร่างกาย จิตใจและความคิดของเขา ท่ามกลางความยุ่งเหยิง ภาพหลายภาพแวบเข้ามาในจิตใจห้วงคำนึงราวกับม้วนภาพ นั่นเป็การต่อสู้กับโชคชะตาชาติภพแล้วชาติภพเล่า ของชายที่โกรธเคืองฟ้าคนหนึ่ง ถึงแม้จะเผชิญแดนสายฟ้าที่ไร้สิ้นสุดกับการทรยศของพี่น้องและสหาย แต่กลับไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา เติบโตขึ้นชาติภพแล้วชาติภพเล่า ดิ้นรนต่อสู้ชาติภพแล้วชาติภพเล่า…ท่ามกลางความมืดมิด จ้านอู๋มิ่งคิดว่าคนผู้นั้นก็คือตนเอง หากมีวัฏสงสารการกลับชาติมาเกิดจริง บางทีนั่นก็คือการกลับชาติมาเกิดหลายครั้งจนนับมิถ้วนของเขาในชาติภพก่อน พลันประสบการณ์และการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับมรรคาฟ้ามากมายนับมิถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่จิติญญาทันที
“ตู้ม” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ห้วงคำนึงคล้ายดั่งรองรับประสบการณ์และความทรงจำปริมาณมากมายมหาศาลจนะเิ ภายใต้ผลกระทบครั้งนี้โซ่ตรวนบางอย่างที่สะกดกักขังจิติญญาของตนไว้แตกสลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที และหลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป
จ้านอู๋มิ่งมิได้เสียชีวิต ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา ถูกสายน้ำเชี่ยวกรากซัดพาเข้ามาในหุบเขาทะเลสุนัขป่าแล้ว ที่นี่เป็สถานที่ซึ่งประชากรสัตว์อสูรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นชุกชุมยิ่งแห่งหนึ่ง ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ต้องประหลาดใจที่พบว่ามีแผ่นหยกกำลังเปล่งประกายแสงเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่งในจิติญญา พลังความสามารถแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ทำให้เขาสามารถมองเห็นภายในได้ มองเข้าไปในจิติญญา ตอนที่สติสัมปชัญญะเขาัักับแผ่นหยก ความรู้สึกผูกพันทางสายเือย่างที่มิเคยมีมาก่อนชนิดหนึ่ง ทำให้เขาได้ยินเสียงกระซิบในแผ่นหยกอย่างชัดเจน และแล้วเขาก็ทราบว่าแผ่นหยกชิ้นนี้เป็ตำรามหาเวทคัมภีร์วิเศษเล่มหนึ่ง "คัมภีร์เทพอนัตตา"
“อนัตตากำเนิดยุคโกลาหล ยุคโกลาหลเบิกฟ้าดิน ฟ้าดินแบ่งเป็หยินหยาง หยินหยางแปรสภาพสรรพสิ่ง สรรพสิ่งมีจิติญญาตนเอง การฝึกฌานบำเพ็ญเพียรสามารถบรรลุนิรันดร์ เมื่อชีวิตเป็นิรันดร์ ิญญาแปรสภาพอนัตตา แล้วอนัตตาคือสิ่งใด นั่นคือยิ่งใหญ่เทียมฟ้า นั่นคือเล็กจ้อยจนมิดำรงอยู่…” คัมภีร์เทพอนัตตาคล้ายดั่งบ่งบอกบรรยายเค้าโครงความจริงที่สำคัญของฟ้าดิน ทำให้จ้านอู๋มิ่งกระจ่าง การฝึกฌานบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เริ่มจากภายนอกสู่ภายใน ััพลังภายนอกเสริมพลังแข็งแกร่งของร่างกาย ดูดซับพลังภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย รับความสดใหม่ คายทิ้งของเก่า ใช้วิธีดังกล่าวเสริมสร้างพลังแก่นแท้ของชีวิต เนื่องเพราะภายนอกยิ่งใหญ่ อลังการไร้ขีดจำกัด ดังนั้นจึงสามารถพัฒนาตนเองอย่างไม่มีสิ้นสุด อย่างไรก็ตามสรรพิญญาก็ไร้ที่สิ้นสุดในตัวเองอยู่แล้ว หากบำเพ็ญเพียรด้วยตนเอง สามารถฝึกฌานบ่มเพาะจนบรรลุความแข็งแกร่ง ทรงพลังไร้ผู้ทัดเทียม จวบจนท้ายที่สุดเสมอเคียงคู่อยู่กับอนัตตา…
นี่เป็วิถีการฝึกฌานบ่มเพาะปราณชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากการฝึกฌานบ่มเพาะพลังยุทธ์การต่อสู้อย่างสิ้นเชิง ทำให้จ้านอู๋มิ่งที่ไม่สามารถฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้มาั้แ่เด็กรู้สึกลิงโลดยินดีเป็อย่างยิ่ง การฝึกฌานบ่มเพาะปราณขั้นต้นตาม "คัมภีร์เทพอนัตตา" จำเป็ต้องใช้ตัวยาปริมาณมาก ตัวยาเ่าั้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหอโอสถตระกูลจ้านก่อนจึงจะมอบสิทธิ์ให้เขาเบิกมาใช้ได้ ด้วยศักดิ์ฐานะนายน้อยของเขา แม้ว่าจะดูได้รับความโปรดปรานชื่นชอบมาก แต่สิ่งของที่ได้รับกลับจำกัดยิ่งนัก
อย่างไรก็ตามจ้านอู๋มิ่งมิทันได้มีเวลาคิดเื่นี้มากนัก ก็ถูกสัตว์อสูรที่รายล้อมเข้ามารอบด้านทำให้ใจนสะดุ้งโหยง ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา สัตว์อสูรมากกว่าสิบตัวล้อมเขาไว้แล้วรอบทิศทาง เห็นเขาเป็อาหารว่างรสชาติแสนโอชะ เพียงแต่บรรดาสัตว์อสูรเหล่านี้ต่างก็ไม่ยอมให้สัตว์อสูรตัวอื่นได้กินเนื้อสดชิ้นเล็กๆ ชิ้นนี้ จึงเกิดความขัดแย้งกันเอง พร้อมต่อสู้กันขึ้นมาแล้ว
จ้านอู๋มิ่งลูบคลำตามร่างกายคราหนึ่ง โชคยังดีโอสถที่เตรียมมาเพื่อใช้ทดลองในเทือกเขาสัตว์อสูรครั้งนี้ยังมิสูญหาย จึงรีบเร่งนำออกมาทาถูตามตัวโดยเร็ว กลิ่นไม่พึงประสงค์ชนิดหนึ่งคละคลุ้งฟุ้งกระจายออกทันที สัตว์อสูรระดับต่ำกว่าสิบตัวบริเวณโดยรอบส่งเสียงร้องดุจเห็นผีสางก็มิปาน วงแตกเผ่นหนีหายไปจนหมดสิ้น
จ้านอู๋มิ่งถอนหายใจโล่งอก เขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง กลิ่นอายอุจจาระสัตว์อสูรระดับสูงมีผลคุกคามสะกดข่มตามธรรมชาติต่อสัตว์อสูรระดับต่ำ การแยกแยะระดับชั้นของสัตว์อสูรขึ้นอยู่กับกลิ่นอายและการคุกคามสะกดข่มกันเป็หลัก ถึงแม้อุจจาระจะไม่ส่งผลคุกคาม แต่กลับยังมีกลิ่นอายของพวกมันอยู่ ด้วยความคิดอันเชื่องช้าของสัตว์อสูรระดับต่ำ ทำให้พวกมันนึกว่าสถานที่แห่งนี้คืออาณาเขตของสัตว์อสูรระดับสูง พวกมันยังจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร
แต่ว่าวิกฤตการณ์ของจ้านอู๋มิ่งยังไม่หมดสิ้น ภยันตรายของสัตว์อสูรบนบกเทียบกับสัตว์อสูรในน้ำแล้วอ่อนแอกว่ามาก จระเข้อสูรกระหายเืกลายเป็อันตรายที่คุกคามชีวิตอีกครั้ง จ้านอู๋มิ่งถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดสาดพามาหลายร้อยลี้จนหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว จะสามารถวิ่งหนีรอดพ้นจากจระเข้อสูรกระหายเืได้อย่างไร โชคดีที่ในหลายปีนี้เขาได้ศึกษาค้นคว้าโอสถอย่างต่อเนื่องตลอดมา นับได้ว่ายังมีผลงานที่สะสมไว้จำนวนหนึ่ง เวลานี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามียาใดอยู่ในมือบ้าง จัดการรวบรวมโยนลงไปในแม่น้ำสุนัขป่าจนหมดสิ้นในคราวเดียว ผลลัพธ์ออกมาดีอย่างคาดมิถึง จระเข้อสูรกระหายเือันดุร้ายในแม่น้ำกลับถูกแพร่พิษตายหมดสิ้นลงจริงๆ จ้านอู๋มิ่งเนื่องจากทั้งเหนื่อยและได้รับความตื่นตระหนก จึงสลบไสลไปอีกครั้ง ดีที่ต่อมาไม่นาน คนในตระกูลจ้านที่พากันออกตามหาได้มาพบเขาพอดี
หลังจากจ้านอู๋มิ่งหลอมโอสถัคะนองพยัคฆ์ลำพองออกมา ในที่สุดคนตระกูลจ้านก็เริ่มติดตามนายน้อยผู้ชอบพูดพล่ามผู้นี้อย่างใกล้ชิดด้วยสายตาที่ประเมินใหม่
แม้ว่าตระกูลจ้านจะกล่าวอ้างว่าได้สั่งสอนให้บทเรียนแสนสาหัสแก่นายน้อยไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ในด้านส่วนตัว ท่านปู่ผู้เฒ่าแห่งตระกูลจ้านเบิกบานสำราญใจยิ่งนัก ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่งม ถึงแม้ว่าโอสถนี้จะดูมิสง่างามนัก แต่ในอนาคตผลิตจำนวนมากๆ และจำหน่ายออกไป ก็จะได้กำไรกลับเข้ามาเป็กอบเป็กำอย่างแน่นอน
หลังจากสอบถามหลายครั้ง ทุกคนจึงได้ทราบว่าจ้านอู๋มิ่งมีความโชคดีในความโชคร้าย รับวาสนาในคราวเคราะห์ สามารถผ่านพ้นเคราะห์กรรมมิเสียชีวิตลงในป่าสัตว์อสูร แล้วยังบังเอิญได้รับการถ่ายทอดมรดกโบราณอย่างคาดมิถึง ได้รับสูตรตำรับโอสถโบราณจำนวนมาก โอสถัคะนองพยัคฆ์ลำพองก็คือโอสถที่หลอมขึ้นมาตามตำรับโอสถโบราณนั่นเอง เพียงแต่ติดขัดตรงคำปฏิญาณสืบทอด จ้านอู๋มิ่งต้องมิเปิดเผยรายละเอียดให้ผู้ใดทราบ
เกี่ยวกับเื่นี้ ท่านปู่จ้านผู้ชรามินำมาใส่ใจ ตำรับยาอยู่ในมือจ้านอู๋มิ่งหรืออยู่ในมือตระกูลจ้านมีความแตกต่างกันที่ใด ในเมื่อจ้านอู๋มิ่งคือหลานชายของตนเอง
……
จ้านอู๋มิ่งพาจ้านชวนกลับไปที่ลานเรือนเล็กๆ ของตนเอง
“ท่านอาต้วน ท่านอาฉี ลำบากพวกท่านแล้ว สัตว์อสูรวิหคกระจอกขาวตัวนั้นที่ข้านำมาทดสอบโอสถมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?” ใบหน้าของจ้านอู๋มิ่งยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน
ั้แ่เกิดเหตุการณ์ในฤดูกาลล่าสัตว์ครั้งนั้น ตระกูลจ้านได้จัดห้องพักผู้คุ้มกันให้จ้านอู๋มิ่งเพิ่มอีกสองสามหลัง
“สัตว์อสูรวิหคกระจอกขาวเชื่องเชื่อลง มิอาละวาดแล้ว แต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแออยู่บ้าง” ผู้คุ้มกันต้วนกล่าวตอบ
“โอ้ ดูแล้วโอสถนี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพมันเป็อย่างไร ยังคงต้องให้คนมาทดลองดู” จ้านอู๋มิ่งกล่าวด้วยความยินดี
จ้านอู๋มิ่งเดินตรงเข้าไปในห้องโอสถ ห้องโอสถของจ้านอู๋มิ่งเหมือนกับห้องครัวขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ข้างในมีเตาหลอมโอสถขนาดเล็กอันหนึ่งและหม้อเหล็กขนาดใหญ่ใบหนึ่ง เนื่องเพราะเื่ครั้งก่อนท่านปู่จ้านผู้เฒ่าเคยแวะมาที่ห้องโอสถของจ้านอู๋มิ่งครั้งหนึ่ง พอเห็นห้องโอสถอันประหลาดพิสดารเช่นนี้เข้า แทบจะเผลอหัวเราะก๊ากออกมา ห้องโอสถนี้แม้แต่เตาหลอมโอสถสักอันก็ไม่มี ยังเป็เพราะต่อมาภายหลังท่านผู้เฒ่ามีเื่รบกวนจ้านอู๋มิ่ง จึงถูกจ้านอู๋มิ่งกรรโชกเรียกร้องเอาเตาหลอมโอสถอันหนึ่งกลับมาเป็เครื่องประดับของตกแต่งห้อง มิฉะนั้นใครๆ ก็คงจะคิดว่านี่เป็เพียงห้องครัวห้องหนึ่ง มิใช่ห้องโอสถ
จ้านชวนเองพอเห็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่ก็อยากจะหัวเราะอยู่บ้างเช่นกัน ใต้เตามีฟืนกองสุมอยู่ หม้อเหล็กถูกควันรมจนเป็สีดำสนิท นี่ก็คือหม้อเหล็กขนาดใหญ่สำหรับหุงข้าวและกาสำหรับต้มน้ำดีๆ นี่เอง ถ้าท่านผู้เฒ่ารู้ว่าเตาหลอมโอสถที่เขาหวงแหนทะนุถนอมอย่างกับอะไรดีถูกจ้านอู๋มิ่งนำมาใช้เช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องโมโหจนรากเื
จ้านอู๋มิ่งส่งโอสถสีแดงเพลิงเม็ดหนึ่งให้จ้านชวนถึงตรงหน้าอย่างระมัดระวัง เม็ดโอสถนั้นมีกลิ่นสมุนไพรเจือกลิ่นคาวเล็กน้อยชนิดหนึ่ง ผสมผสานกลิ่นแปลกประหลาดอีกชนิดหนึ่ง ฉุนจนแสบจมูกยิ่ง รูปลักษณ์ของเม็ดโอสถก็แย่มาก เม็ดโอสถทั่วไปมีลักษณะกลม โอสถเม็ดนี้กลับขรุขระเป็หลุมเป็บ่อ มีเสี้ยนเหมือนขี้มูกแห้งอยู่บ้างตามพื้นผิว เมื่อเทียบกับเม็ดโอสถิญญากลมเกลี้ยงที่ปรมาจารย์นักหลอมโอสถหลอมขึ้นด้วยเพลิงโอสถแล้ว นี่มันก็คือ——ก้อนขี้มูกแห้งดีๆ นี่เอง!
“เหอะ สิ่งนี้...รูปลักษณ์ภายนอกมันดูน่าเกลียดอยู่บ้างจริงๆ…” ขณะพูดจา จ้านอู๋มิ่งเกาศีรษะ อธิบายอย่างเคอะเขินยิ่งนักว่า “เ้าก็ทราบเช่นกัน นายน้อยอย่างข้าฝึกปรือพลังปราณไม่ได้และเพลิงหลอมโอสถอะไรนั่น ยิ่งมิต้องพูดถึงแล้ว นายน้อยอย่างข้าหลอมโอสถ เคล็ดลับคำเดียวนั่นก็คือ——ต้ม นำวัตถุดิบโอสถทุกชนิดมาต้มจนเหนียวหนืด แล้วนำมาปั้นให้เป็ก้อนๆ โอ้ มิใช่ เป็เม็ดต่างหาก” ระหว่างพูด เขาเหลือบเมียงมองไปยังกองสิ่งของคล้ายก้อนแป้งตรงมุมกำแพง
จ้านชวนมองตามทิศทางสายตาจ้านอู๋มิ่ง เกือบจะอาเจียนออกมา ตรงนั้นกลับเป็มูลกองหนึ่งของสัตว์อสูรวิหคกระจอกขาว เหนียวๆ หนืดๆ เป็ก้อนๆ สีแดงเพลิง เห็นได้ชัดว่าเป็ของประเภทเดียวกับเม็ดโอสถของจ้านอู๋มิ่ง จ้านชวนสงสัยยิ่งนักว่าเม็ดโอสถสีแดงเพลิงก้อนเล็กๆ ในมือจ้านอู๋มิ่งใช่หยิบผิดมาหรือไม่ หากมิใช่รู้อยู่แล้วว่าสัตว์อสูรวิหคกระจอกขาวไม่มีสติปัญญา เขาจะต้องสงสัยว่าเม็ดโอสถอาจถูกสัตว์อสูรวิหคกระจอกขาวสลับเปลี่ยนแล้วก็ได้
“นั่น...นั่นคือสัตว์อสูรวิหคกระจอกขาวไร้ยางอายที่ไม่สนใจความสะอาด ที่ข้าพูดว่าหนึ่งก้อนมันไม่เหมือนกับหนึ่งก้อนที่อยู่ตรงนั้น……” จ้านอู๋มิ่งอธิบายเสียยกใหญ่อย่างเกินความจำเป็เช่นวาดงูเติมขา
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเื่พูดว่า “ท่านดู โอสถเม็ดนี้เล็กมาก มิใช่เป็ก้อนๆ นะ…”
“นายน้อย ท่านมิต้องพูดแล้ว ข้ากินก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ!” หน้าของจ้านชวนเขียวคล้ำไปแล้ว ขืนปล่อยให้จ้านอู๋มิ่งพูดต่อไป เขายังจะกล้ากินโอสถนี้ที่ไหนอีกล่ะ พูดจบมิทันรอให้จ้านอู๋มิ่งอธิบาย จ้านชวนก็คว้าโอสถเม็ดนั้นยัดเข้าปากไปแล้ว
“อา……” จ้านอู๋มิ่งตะลึง เห็นจ้านชวนมิดื่มน้ำก็กลืนโอสถก้อนเท่าผลลำไยลงท้องไปแล้ว ทันใดนั้นคิดถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ก็โวยวายขึ้น “แย่แล้ว นี่คือปริมาณสำหรับสัตว์อสูร ปริมาณสำหรับคนต้องลดปริมาณลง ต้องแบ่งครึ่งแล้วแบ่งครึ่งอีกครั้งหนึ่งนะ!”
“อา…” จ้านชวนพลันใจหายวาบรู้สึกหนาวขึ้นมาทันใด เพียงครู่เดียวก็รู้สึกภายในร่างกายเหมือนมีกองเพลิงกำลังลุกโชนกองหนึ่ง พลันแขนขาล้วนถูกความร้อนนี้โคจรพุ่งใส่ ดุจดั่งมีพลังงานมหาศาลไร้สิ้นสุด
“นายน้อย เขาคงไม่เป็ไรนะ ดูหน้าเขาสิ แดงออกขนาดนั้น…” เสี่ยวอวิ๋นก็เข้ามาร่วมวงด้วย พบว่าจ้านชวนที่กินโอสถไปแล้วหน้าแดงเหมือนจะมีเืออกก็มิปาน จึงถามด้วยความเป็ห่วง
“แย่แล้ว ปริมาณโอสถมากเกินไปแล้ว เสี่ยวอวิ๋น เ้ารีบไปตามท่านแม่ข้ามา หากไม่คิดหาวิธีสะกดข่มฤทธิ์ของโอสถ ข้าเกรงว่าเส้นโลหิตเขาจะะเิได้…” จ้านอู๋มิ่งร้อนใจขึ้นมาแล้ว นี่มันเื่อะไรกัน วาจาข้ายังกล่าวมิทันจบ เ้าก็รีบกินลงไปแล้ว ของสิ่งนี้ถึงแม้จะมิใช่มูลของวิหคอสูรกระจอกขาว แต่ประสิทธิภาพก็ใกล้เคียงและมิใช่เม็ดโอสถพยัคฆ์ัคราวที่แล้วสักหน่อย รีบร้อนกินขนาดนั้นทำไมกัน
“ข้าร้อน……” จ้านชวนฉีกเสื้อที่สวมออก แสดงให้เห็นร่างกายที่มีแต่ซี่โครง ยามนี้ภายในร่างกายผอมแห้งเหมือนมีพลังงานประหลาดกำลังไหลเวียนอยู่ กล้ามเนื้อที่มีอยู่ไม่มากของจ้านชวนม้วนขยับขึ้นมา เส้นเืแต่ละเส้นปูดขึ้น เหมือนกับสามารถที่จะะเิได้ตลอดเวลา
“ตูมมม……” จ้านชวนโบกมือคราหนึ่ง ชั้นวางโอสถทำขึ้นด้วยเหล็ก “เพล้ง” ดังขึ้นครั้งหนึ่งแตกกระจายทันที
“เหวอ แรงเยอะมาก” เสี่ยวอวิ๋นอุทานอย่างใ
“รีบจดบันทึกไว้ ยานี้สามารถะเิพลังเพิ่มความแข็งแรง ยกระดับความแข็งแกร่งในเวลาอันสั้น……” จ้านอู๋มิ่งมิเพียงไม่ใ กลับลิงโลดยินดียิ่งนัก ร่างกายของจ้านชวน การฝึกฝนจิติญญาการต่อสู้ไม่สามารถทะลุทะลวงถึงระดับอาจารย์ยุทธ์ได้ตลอดมา ตอนนี้เขาทุบชั้นวางโอสถทำด้วยเหล็กพังทลายด้วยหมัดเดียว แม้แต่ชาวยุทธ์ระดับหนึ่งดาวก็ยังไม่มีพลังมากมายขนาดนั้น สรรพคุณของยานี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ
“โอ้ ไม่ต้องจดแล้ว รีบไปหาท่านแม่ข้า เขาใกล้จะทนมิได้แล้ว” จ้านอู๋มิ่งเห็นจ้านชวนควงหมัดด้วยความเ็ป เกิดเสียงดังครืนครั่นกลางนภากาศเป็ระยะๆ จึงรีบพูดขึ้น
“ขอรับ” เสี่ยวอวิ๋นก็ตั้งสติได้เช่นกันหลังประหลาดใจ ทราบว่าชีวิตคนเป็เื่สำคัญเร่งด่วน รีบโยนม้วนบันทึกในมือทิ้งแล้ววิ่งออกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้