ไม่มีใครคิดว่าเย่เฟิงจะมีชีวิตรอดจากแท่นหิน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ แม้แต่ฉู่หานที่ชื่นชมเย่เฟิงมาตลอดก็ยังสั่นคลอน
เย่เฟิงเพิ่งยืนบนแท่นหินก็รับรู้ได้ว่าเจตจำนงหอกจู่โจมเขาอีกครั้งและมันรุนแรงกว่าเดิม เย่เฟิงกัดฟันอดทน อย่างไรเสียระดับการบ่มเพาะของเขาต่ำต้อย มีพลังไม่มากพอจะต้านทานเจตจำนงหอกอันน่าสะพรึงกลัวที่จู่โจมมาไม่หยุดหย่อนได้
“เห็นทีคงต้องใช้ไข่มุกแล้ว ค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละนิด” เย่เฟิงคิดในใจและตัดสินใจในเสี้ยววินาที
เย่เฟิงเพียงคิดเท่านั้น จิตเทพก็ถูกปลดปล่อยภายในหัวแล้วเชื่อมต่อกับไข่มุกทันที แม้ไข่มุกไม่ลอยตัว แต่กลับมีพลังดูดซับแผ่ออกมาจากในนั้น นาทีต่อมาเจตจำนงหอกพวกนั้นก็ถูกไข่มุกดูดซับ ทำให้เย่เฟิงผ่อนคลายได้ภายในพริบตา แต่เขายังระวังตัวไม่ให้ทุกคนในที่แห่งนี้พบเห็นร่องรอยของมันได้ ไม่นานนัก เย่เฟิงก็ควบคุมความเร็วในการดูดซับของไข่มุกได้ดีขึ้นระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อลดความกดดันลงได้ไม่น้อย มันก็ไม่ง่ายที่จะถูกคนพบเห็น ไข่มุกดูดซับเจตจำนงหอกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เย่เฟิงรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นเขาเริ่มใช้พลังจิตเรียนรู้ท่วงทำนองของเจตจำนงหอกที่อยู่รอบกาย
“หือ?” ครู่ต่อมา เย่เฟิงยังคงยืนบนแท่นหินลำดับห้าได้อย่างมั่นคง เปลือกตาปิดลงช้า ๆ คล้ายเข้าสู่สภาวะแห่งการเรียนรู้ นี่ทำให้ผู้คนเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่นึกว่าหมอนี่จะทนได้นานขนาดนี้ ดวงแข็งจริง ๆ!” มีคนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
เฉิงเฟยกับฉู่หานยิ้มให้กัน เห็นฉากนี้ความสั่นไหวที่มีก็ลดน้อยลง
กุ่ยเตาเผยสีหน้าอึมครึม หากบอกว่าใคร้าให้เย่เฟิงตายมากที่สุด เช่นนั้นก็คงเป็เขากุ่ยเตา
มีไข่มุกช่วยลดแรงกดดัน เย่เฟิงย่อมเรียนรู้ได้ดี ตอนนี้เขาหลับตาเข้าสู่อีกสภาวะหนึ่ง มิตินี้รายล้อมไปด้วยหอก มีเพียงเจตจำนงหอกไร้ที่สิ้นสุด
เย่เฟิงจมอยู่ในโลกแห่งหอก ฟ้าดินราวกับมีหอก ทุกการกระทำล้วนมีเจตจำนงหอกเป็ตัวตัดสิน จากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ จนไปถึงศึกต่อสู้ใหญ่ หอกสามารถตัดสินได้ทุกอย่าง
เวลาผันผ่านไปทีละนิด ๆ ราวกับผ่านมาแล้วหลายศตวรรษ ใน่เวลานี้เย่เฟิงแปลงกายเป็หอก วิวัฒนาการพลังแห่งหอกที่แตกต่างกัน ทั้งยังพบเจอ่เวลาเนิบช้าอีกครั้ง เย่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองคือหอกเล่มหนึ่งที่ผสานกับเจตจำนงหอกมหาศาล และเขาสามารถทำทุกอย่างที่หอกทำได้ แม้กระทั่งเริ่มลืมว่าตัวเองเป็ใครมาจากไหน โลกแห่งหอกไร้ซึ่งมนุษย์และสัตว์อสูร ไร้สิ่งมีชีวิต มีเพียงหอกที่แทนทุกสิ่งทุกอย่าง เย่เฟิงเริ่มคิดว่าเขาคือหอก หอกก็คือเขา
“หอกคืออะไร? แล้วข้าเป็ใคร?”
จนกระทั่งวันหนึ่ง เย่เฟิงเกิดคำถามขณะแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทว่าไร้ซึ่งคนตอบ มีเพียงเจตจำนงหอกที่ไร้ที่สิ้นสุดส่งเสียงคำรามไม่หยุด
เวลาผ่านไปอีก่หนึ่ง เย่เฟิงเริ่มเรียนรู้อีกครั้งพร้อมกล่าวว่า “หอกมีจิติญญา มีชีวิต คนแปรเปลี่ยนเป็หอกได้ เช่นนั้นหอกก็เปลี่ยนเป็คนได้เช่นกัน เรียนรู้อย่างล้ำลึก หมื่นสรรพสิ่งในโลกแปรผันกันและกัน”
ณ โลกภายนอก เย่เฟิงยังคงยืนบนแท่นหินลำดับห้าไม่ขยับเขยื้อน ซึ่งเขาเป็เช่นนี้มาสองชั่วยาม ตอนนี้มีแสงจาง ๆ ห้อมล้อมรอบกาย ส่วนเจตจำนงหอกนั่นได้สลายหายไปแล้ว แต่ยังคงอยู่ใต้กระแสน้ำตกเช่นเดิม
ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างมองชายหนุ่มคนนั้นบนแท่นหินลำดับห้าไม่วางตา พลางหัวใจมิอาจสงบนิ่งได้ ผ่านมาสองชั่วยาม หากพวกเขาไม่ทราบว่าเย่เฟิงกำลังทำอะไร เช่นนั้นก็เป็คนโง่แล้ว
ชายหนุ่มขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ผู้ซึ่งถูกทุกคนเมินใส่ ถูกหัวเราะเยาะ ทว่าบัดนี้กลับยืนหยัดบนแท่นหินลำดับห้าที่สูงที่สุดได้นานสองชั่วยาม แม้แต่เจตจำนงหอกที่น่าสะพรึงกลัวก่อนหน้านี้ก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพร์และพลังของชายหนุ่มแข็งแกร่งเพียงใด
เขาสามารถทำในสิ่งที่คนผู้นั้นทำได้ ทว่าระดับการบ่มเพาะของชายผู้นี้อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าคนผู้นั้นถึงสามขั้น ใครโดดเด่นกว่ากัน มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว ส่วนกุ่ยเตาที่พูดจาดูถูกชายหนุ่มคนนี้นับเป็สิ่งใดกัน?
“ผ่านมาสองชั่วยามแล้ว แต่ชายผู้นี้ก็ยังอยู่บนนั้นได้ ไม่รู้ว่าเขาจะได้พลังอะไรมา?” ผู้คนต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา และรอคอยเย่เฟิง
ขณะเดียวกันเื่ที่เย่เฟิงยืนหยัดบนแท่นหินลำดับห้าก็ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว มีผู้ฝึกยุทธ์ไม่น้อยรุดมาที่นี่ เพื่ออยากเห็นความเกรงขามของเย่เฟิงที่ประสบความสำเร็จเพียงคนเดียวใน่สามปีที่ผ่านมา ในนั้นมีสองคนดูสนใจเป็พิเศษ คนแรกคือฉินเยียนหรานผู้มีรูปร่างร้อนแรงที่ถูกเย่เฟิงล่วงเกิน ส่วนอีกคนคือเฟิงเฉียนผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 5 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน
การปรากฏตัวของทั้งสองดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย ฉินเยียนหรานคืออัจฉริยะสาวสวยแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ส่วนเฟิงเฉียนคือผู้แข็งแกร่งแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน ไม่ว่าสองคนนี้ไปไหนก็กลายเป็จุดเด่นอยู่ทุกครั้งไป
“ฉินเยียนหราน ช่างงดงามยิ่งนัก!” มีชายหนุ่มคนหนึ่งมองฉินเยียนหรานด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา หากเขาได้ครองใจสาวงามเช่นนี้ ถึงตายไปก็นับว่าคุ้มแล้ว
เฟิงเฉียนยังคงน่าเกรงขามเช่นเดิม หญิงสาวในที่แห่งนี้ต่างมองเฟินเฉียนด้วยสายตาหวานเยิ้ม เพราะในสายตาบรรดาสตรี เขาช่างมีเสน่ห์เหลือล้น
ทว่าฉินเยียนหรานที่เดินมาด้วยกันกลับไม่สนใจเฟิงเฉียน สีหน้าเ็า และจงใจรักษาระยะห่างกับเฟิงเฉียน นี่ทำให้เฟิงเฉียนเผยสีหน้าเย็นเยียบ
“เยียนหราน ทำไมเ้าต้องทำตัวห่างเหินกับข้าด้วย?” เฟิงเฉียนเดินเข้าไปใกล้ฉินเยียนหราน นั่นทำให้ฉินเยียนหรานเผยสีหน้ารังเกียจพลางกล่าวว่า “เ้ากับข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ใยเอ่ยถึงเื่ห่างเหินกับข้า?”
เฟิงเฉียนเผยสีหน้าบิดเบี้ยว ในสำนักยุทธ์มีผู้หญิงไม่น้อยต่างหลงชอบเขา แต่เขาเฟิงเฉียนกลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง ส่วนฉินเยียนหรานผู้นี้กลับแตกต่าง นางไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเป็สิ่งที่ไม่ได้ เฟิงเฉียนก็ยิ่ง้ามากขึ้นเท่านั้น ฉินเยียนหรานต้องเป็ผู้หญิงของเขาเฟิงเฉียน นี่คือความทะนงของเขาเฟิงเฉียน
ทั้งสองเดินมาที่หน้าน้ำตกแล้วมองเงาร่างบนแท่นหินลำดับห้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เป็เขา!” แน่นอนว่าฉินเยียนหรานรู้จักเย่เฟิง ทั้งสองยังแยกกันได้ไม่ถึงสามชั่วยาม ตอนนี้เย่เฟิงกลับเรียนรู้อยู่บนแท่นหินที่สูงที่สุด นี่ทำให้ฉินเยียนหรานรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา
“เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ฉินเยียนหรานพึมพำกับตัวเอง ในฐานะศิษย์สำนักยุทธ์ นางย่อมรู้ดีว่านี่หมายความเช่นไร เย่เฟิงทำในสิ่งที่คนผู้นั้นทำได้เมื่อสามปีก่อน เื่นี้เพียงพอจะทำให้สำนักยุทธ์สั่นคลอนได้
ดูเหมือนเฟิงเฉียนได้ยินสิ่งที่ฉินเยียนหรานพูดกับตัวเอง เขาจึงขมวดคิ้วกล่าวถาม “เ้ารู้จักเขาหรือ?”
“อืม” ฉินเยียนหรานไม่ปฏิเสธ
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินเยียนหราน เฟิงเฉียนก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ข้าเฟิงเฉียนต้องทำได้ดีกว่าเขา” เฟิงเฉียนกล่าว แม้เขาไม่รู้จักเย่เฟิง แต่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ เขาย่อมไม่ยอมให้ใครข้ามหน้าข้ามตาได้เด็ดขาด
“งั้นหรือ?” ฉินเยียนหรานกล่าว นางไม่ชอบคนอวดดีอย่างเฟิงเฉียน โดยเฉพาะต่อหน้านาง นางยิ่งเกลียดมากกว่าเดิม
“แน่นอน” เฟิงเฉียนพยักหน้า “ข้าเฟิงเฉียนอยู่อันดับที่ 5 แห่งรายนามขั้นบ่มเพาะกายา หากสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ไม่ได้ จะมีสิทธิ์อยู่บนรายนามนี้ได้อย่างไร”
“ในเมื่อยืนกรานเช่นนี้ หากเ้าขึ้นไปบนแท่นหินลำดับห้านั่น และประสบความสำเร็จ ข้าจะยอมให้เ้าตามจีบก็ได้” ฉินเยียนหรานกล่าวยิ้มๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับเ็า ในน้ำเสียงก็แฝงความเย้ยหยัน นางรู้ว่าเฟิงเฉียนอยู่อันดับที่ 5 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายา แต่ว่าความสามารถยังมีไม่เพียงพอจะขึ้นไปบนแท่นหินลำดับห้านั่นได้ ส่วนเหตุผลที่นางพูดเช่นนั้น ก็เพื่อ้าทำให้เฟิงเฉียนไม่มายุ่งกับนางอีก
“ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเยียนหราน เฟิงเฉียนก็ตาทอประกายคมกริบ “หวังว่าถึงตอนนั้นเ้าจะไม่กลับคำพูด เดี๋ยวข้ามา!”
เมื่อกล่าวจบ เฟิงเฉียนก็ะโขึ้นฟ้าและมุ่งหน้าไปยังน้ำตก
ฉินเยียนหรานนิ่งงันไปชั่วขณะ เฟิงเฉียนทำนางใ เพราะเย่เฟิงยังไม่ลงจากแท่นหินลำดับห้า แต่เฟิงเฉียน้าทำอะไร?
“เฟิงเฉียน นั่นเฟิงเฉียน! เขาจะขึ้นไปบนแท่นหินเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกแท่นหินลำดับไหน?” ขณะนั้นผู้คนหันไปเห็นเฟิงเฉียนทะยานร่างไปยังน้ำตก
เฟิงเฉียนทะยานร่างไปด้วยความเร็วสูงสุด เพียงพริบตาก็เข้าใกล้กระแสน้ำตก แต่ทิศทางที่เขามุ่งหน้าไปก็คือแท่นหินลำดับห้า
“ชายผู้นั้นยังไม่ลงจากแท่นหินลำดับห้า แล้วเฟิงเฉียนเขาจะทำอะไรน่ะ?” ผู้คนเห็นฉากที่น่าในี้ต่างก็ใจเต้นขึ้นมาอีกครั้งขณะมองเฟิงเฉียนไม่วางตา
ดวงตาของเฟิงเฉียนเผยประกายแหลมคมพลางเหยียดยิ้มเ็า แสงแห่งการทำลายล้างปะทุออกจากร่าง เมื่อยกมือขึ้น พลังฝ่ามือทำลายก็ถูกปลดปล่อยออกไป ซึ่งเป้าหมายคือเย่เฟิงที่อยู่บนแท่นหินลำดับห้า
“ชายผู้นั้นยังทำไม่สำเร็จ แต่เฟิงเฉียนจะบีบให้ชายผู้นั้นลงจากแท่นหิน ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” ผู้คนรู้ทันทีว่าเฟิงเฉียน้าทำอะไร จึงอดตื่นใไม่ได้
“เฟิงเฉียนลงมือจัดการชายผู้นั้น อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็ได้ ชายผู้นั้นจบเห่แล้ว!”
ขณะที่ใครหลาย ๆ คนกำลังตื่นใก็ฉุกคิดได้ว่าเย่เฟิงจะต้องเจอกับอะไร จึงอดเศร้าใจแทนเย่เฟิงไม่ได้
“ไร้ยางอาย!” ฉู่หานและเฉิงเฟยเห็นฉากนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี แต่จากระยะทางที่ห่างเกินไป พวกเขาสองคนก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“เลวทราม!” ฉินเยียนหรานเผยสีหน้าเย็นเยียบ ราวกับนางไม่คิดว่าเฟิงเฉียนจะทำเช่นนี้ จึงรู้สึกเสียใจกับคำพูดของตัวเองที่บอกเฟิงเฉียนไปเมื่อครู่นี้
ถึงอย่างไรคำพูดของนางก็ทำให้เย่เฟิงตายได้ แม้นางอยากฆ่าเย่เฟิงเพียงใด แต่ก็ไม่คิดจะใช้วิธีเช่นนี้ และนางชอบจัดการบุญคุณความแค้นด้วยตัวเอง
