เมื่อเห็นฉากนี้ก็มีนักสลักลายเส้นโอสถและนักสลักลายเส้นเครื่องรางขั้นหนึ่งจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขากำลังถูกย่ำยี แต่ละคนต่างก็หันไปมองมู่เฟิงด้วยความริษยา
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนล้วนต้องเบิกตากว้างด้วยความใ นึกไม่ถึงว่าเฟิงเย่จะเป็ที่้าของทั้งสองฝ่ายถึงเพียงนี้
เนื่องจากปกติแล้ว ผู้ที่สามารถเปิดใช้พลังิญญาได้นั้นมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งการสลักลายเส้นยังถูกแบ่งออกเป็หลายศาสตร์ ทั้งศาสตร์เครื่องราง โอสถ อาวุธ ค่ายกลและศาสตร์ด้านอื่นๆ ดังนั้นเมื่อผ่านการแบ่งศาสตร์แล้ว จำนวนบุคคลของแต่ละศาสตร์จึงมีไม่มากนัก เพราะฉะนั้นไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงอัจฉริยะอย่างมู่เฟิง ถ้าพวกเขาไม่ลงมือแย่งชิงตัวอีกฝ่ายแบบนั้นจึงจะเป็เื่แปลก
ขณะที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกัน มู่เฟิงก็ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรออกมา
“เ้าคนแซ่เซี่ยว ครั้งก่อนทางวิหารปรมาจารย์เครื่องรางของข้าก็ยอมปล่อยอัจฉริยะให้วิหารปรมาจารย์โอสถของเ้าไปสองสามคนแล้ว เหตุใดครั้งนี้เ้ายังคิดจะแย่งชิงคนจากข้าไปอีกเล่า?”
“หึ ข้าไม่้าเห็นพร์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องสูญเปล่า ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อเขาอย่างไรเล่า”
“หวังดี เหอะ ครั้งก่อนเ้าก็ใช้เหตุผลนี้มาล่อลวงเด็กพวกนั้นเหมือนกัน”
“เ้าอย่าได้มาบิดเบือนความจริง ครั้งนี้ทุกคนต่างก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีพร์ในการสลักลายเส้นโอสถ”
“แต่เขาถูกค้นพบโดยคนจากวิหารปรมาจารย์เครื่องรางของพวกเรา อีกทั้งจดหมายแนะนำก็ถูกส่งมาถึงมือข้าแล้ว เ้ายังต้องให้ข้าอธิบายด้วยหรือว่าใครมาก่อนมาหลัง?”
ทั้งสองฝ่ายยังคงทะเลาะกันอย่างหนัก โดยต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง
“ผู้าุโ เอ่อ คือว่า…”
“เ้าหุบปาก!"
มู่เฟิง้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับถูกผู้าุโทั้งสองตวาดกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้เด็กหนุ่มจึงต้องหดคอกลับมาอย่างอับจนหนทาง เวลานี้ภายในใจของพี่เฟิงช่างรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก
“ได้ ในเมื่อเ้า้าจะแย่งคนให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ เรามาสู้กันสักตั้งเป็อย่างไร?”
เครื่องรางบางอย่างพลันปรากฏขึ้นในมือของโม่เหลียน ขณะที่นางตวาดออกมาเสียงดังด้วยโทสะ
“ข้าไม่้าต่อสู้กับเ้า แต่ไหนแต่ไรวิหารปรมาจารย์เครื่องรางของพวกเ้าก็ถนัดเื่การต่อสู้อยู่แล้ว”
เซี่ยวเจิ้นไม่หลงกล “ข้าเพียงแค่พูดข้อเท็จจริงก็เท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าผู้าุโทั้งสองยังคง้าต่อสู้เพื่อแย่งตัวมู่เฟิง ผู้คนที่อยู่โดยรอบถึงกับมุมปากกระตุกและพูดอะไรไม่ออก
“เอาละ ผู้าุโทั้งสองท่าน! ผู้น้อยมีเื่บางอย่าง้าจะพูด!”
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ะโออกมาเสียงดังก้อง
“เ้าจะพูดอะไร?”
คนทั้งสองต่างก็หันมาถลึงตาจ้องมู่เฟิงก่อนจะพูดออกมาพร้อมกัน
“อึก!”
มู่เฟิงถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ภายใต้สายตาที่จ้องมองของผู้าุโทั้งสอง เขาเอ่ยขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ ในเมื่อผู้าุโทั้งสองท่านต่างก็ให้ความสำคัญกับผู้น้อย เช่นนั้นก็ให้ผู้น้อยเข้าร่วมกับวิหารทั้งของพวกท่านทั้งสองพร้อมกันดีหรือไม่ขอรับ?”
“ว่าอย่างไรนะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ประหลาดใจ พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนจะขมวดคิ้ว
เซี่ยวเจิ้นที่กำลังขมวดคิ้วกล่าวทันทีว่า “เ้าหนุ่ม เ้ากำลังโลภมาก ภายในวิหารสลักลายของเราไม่เคยมีใครสังกัดสองศาสตร์มาก่อน”
“ถูกต้อง หากทำเช่นนั้นแล้วเกิดเรียนรู้ได้ไม่ดีเพราะจิตใจสับสนจะทำอย่างไร หากผลลัพธ์ออกมาไม่ดีเ้าจะไม่คิดว่าพี่สาวคนนี้สอนเ้าไม่ดีหรอกหรือ?”
โม่เหลียนเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วย
“เฟิงเย่อ่า ความสามารถของเ้ามาทางการหลอมโอสถ เ้าจะหลงเดินผิดทางเพราะมัวแต่ลังเลใจไม่ได้”
เซี่ยวเจิ้นกล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง
“เ้าคนแซ่เซี่ยว เ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
โม่เหลียนโกรธมาก
“เอาละ ผู้าุโทั้งสอง ขอให้ข้าได้บอกกล่าวความจริงแก่พวกท่านก่อนได้หรือไม่ ความจริงคือลายเส้นเครื่องรางของข้าอยู่ในขั้นสองแล้ว นี่คือแผ่นยันต์ที่ข้าวาดออกมาด้วยตัวเอง ขอพวกท่านโปรดพิจารณาดูก่อนเถิด”
มู่เฟิงไม่้าให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงต้องนำแผ่นยันต์ขั้นสองที่ตนจัดทำขึ้นออกมา
“ว่าอย่างไรนะ จะ เ้าบอกว่าลายเส้นเครื่องรางของเ้าก็อยู่ขั้นสองเหมือนกันอย่างนั้นรึ!”
ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกใ ผู้คนที่อยู่โดยรอบเองก็เช่นกัน
เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่กลับสามารถบรรลุศาสตร์ขั้นสองของการสลีดลายเส้นทั้งลายเส้นเครื่องรางและลายเส้นโอสถได้เชียวหรือ?
“เป็ไปได้อย่างไร…”
ดวงตาคู่สวยของเซี่ยวจื่ออวี้เบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ
เกรงว่าหากมู่เฟิงบอกความจริงพวกเขาไปว่าความสามารถทางด้านศาสตร์เครื่องราง ค่ายกล โอสถและอาวุธของเขาล้วนบรรลุอยู่ในขั้นสองทั้งหมด พวกเขาจะไม่ใตายกันเลยหรือ?
แต่แน่นอนว่ามู่เฟิงไม่ได้้าป่าวประกาศออกไปเช่นกัน ความสำเร็จของเขาในตอนนี้ส่วนหนึ่งล้วนมาจากคำชี้แนะของเยว่เอ๋อร์ที่ทำเป็แบบอย่างให้เขาได้เรียนรู้
ผู้าุโทั้งสองรับเอาแผ่นยันต์ของมู่เฟิงไปตรวจสอบ
หลังจากโม่เหลียนได้พิจารณามองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ใบหน้าของนางก็ดูเคร่งขรึมลงทันที ทั้งยังมีความประหลาดใจอยู่ในแววตาอีกด้วย
นางโยนแผ่นยันต์ใบนั้นขึ้นฟ้า ก่อนจะส่งพลังปราณเข้าไปเพื่อกระตุ้น
ตู้ม…!
เสียงของพลังะเิออกดังสนั่น พร้อมกับกลุ่มเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้น โดยเปลวเพลิงนี้ได้ขยายวงกว้างออกไปในรัศมีสิบเมตร
“แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ขั้นสอง!”
โม่เหลียนกล่าวขึ้นอย่างตื่นตะลึง
ในอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเซี่ยวเจิ้นพลันดูไม่น่ามอง เขาส่งพลังปราณเข้าไปยังแผ่นยันต์ในมือ
ฟิ้ว!
ลำแสงสีทองส่องสว่างขึ้นทันที จากนั้นคมกระบี่สีทองก็พุ่งทะลวงขึ้นไปบนฟ้า
“แผ่นยันต์กระบี่หิรัณยขั้นสอง”
เซี่ยวเจิ้นพึมพำออกมา
หลังจากได้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ดวงตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่มู่เฟิง ตอนนี้ไม่มีความริษยาหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มีเพียงความตกตะลึงเท่านั้น
“ชายผู้นี้ไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านโอสถเท่านั้น แต่เขายังเชี่ยวชาญด้านเครื่องรางด้วย!”
นี่มันอะไรกัน? สัตว์ประหลาด? อัจฉริยะ? ยังเป็มนุษย์อยู่หรือไม่?
“ผู้าุโทั้งสอง ผู้น้อยขอกล่าวกับพวกท่านตามตรง ข้ามีความชื่นชอบทางด้านโอสถและเครื่องรางเท่าเทียมกัน และข้าก็ชื่นชอบการสลักลายเส้นด้วย เพียงแต่ลูกผู้ชายจำเป็ต้องรักษาคำสัญญา ในเมื่อข้าตอบรับผู้าุโเฉียนแล้ว ไม่ว่าพวกท่านจะรับข้าเป็ศิษย์หรือไม่ ข้าก็จะเข้าร่วมกับวิหารปรมาจารย์เครื่องราง เพราะนี่คือคำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับผู้าุโเฉียน”
มู่เฟิงกำหมัดคำนับผู้าุโทั้งสอง จากนั้นเขาก็เดินไปหาโม่เหลียนเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง
“เด็กดี รักษาคำมั่นมาก่อนเป็อันดับแรก พี่สาวมองเ้าไม่ผิดเลย ข้าชอบเด็กหนุ่มอย่างเ้านี่แหละ”
โม่เหลียนหัวเราะออกมาไม่หยุด นางเข้าไปสวมกอดมู่เฟิงในทันที จากนั้นมือขาวเนียนราวกับหยกของนางก็บีบมุมปากของเด็กหนุ่มให้ยกยิ้ม ในขณะเดียวกันนางก็เหลือบมองไปทางเซี่ยวเจิ้นอย่างภาคภูมิด้วย
เซี่ยวเจิ้นถอนหายใจ เขานึกเสียดายเป็อย่างมาก หากจะโทษก็คงต้องโทษคนของตัวที่ไม่สามารถค้นพบเพรชเม็ดงามอย่างมู่เฟิงได้ก่อนอีกฝ่าย
มู่เฟิงกำหมัดไปทางเซี่ยวเจิ้นด้วยความเคารพก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณผู้าุโเซี่ยวที่ชื่นชมในตัวผู้น้อย เฟิงเย่จะไม่ปล่อยวางศาสตร์ด้านโอสถแน่นอนขอรับ จะยังคงตั้งใจศึกษาต่อไป”
“ไอหยา เช่นนั้นก็ดี หากเ้าจะเข้าร่วมกับวิหารปรมาจารย์เครื่องรางก็เข้าร่วมไปเถอะ แต่ถ้าเ้ามีปัญหาด้านโอสถตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็มาสอบถามข้าได้ แม้ว่าเ้าจะไม่ได้เข้ามร่วมกับวิหารปรมาจารย์โอสถของข้า แต่เ้าก็ถือเป็คนของวิหารสลักลาย ข้ายังยินดีจะสอนเ้าเสมอ”
เซี่ยวเจิ้นทอดถอยใจ แน่นอนว่าเขายังยอมรับมู่เฟิงในฐานะศิษย์ผู้หนึ่ง
“คิกๆ ท่าทางเช่นนี้ของเ้าค่อยสมกับเป็ลูกผู้ชายหน่อย”
โม่เหลียนคลี่ยิ้มออกมา
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ทั้งสอง”
มู่เฟิงคารวะพวกเขาทั้งสองทีละคน
แม้ว่าความสามารถของซีเยว่จะสูงส่งกว่าพวกเขา แต่เนื่องจากกำลังของนางนั้นไม่อาจทำได้ทุกอย่าง มีบางเื่ที่พวกเขาสามารถทำได้ แต่ซีเยว่ไม่อาจทำได้ ดังนั้นการมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาจึงไม่ใช่เื่เสียหายอะไร
ผู้าุโทั้งสองต่างรับการคารวะจากมู่เฟิงในฐานะศิษย์
ทางด้านมู่เฉินและคนอื่นๆ ในตระกูลมู่ต่างรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่ามู่เฟิงจะถูกจ้าววิหารทั้งสองรับเป็ศิษย์สายตรง ซึ่งนี่หมายความว่านับจากนี้พวกเขาจะมีคนทั้งสองเป็ที่พึ่งพิง และเื่นี้จะทำให้สถานการณ์ของตระกูลมู่ดีขึ้นกว่าในปัจจุบันเป็อย่างมาก
แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมทำให้มีคนอิจฉาริษยาและเกลียดชังมู่เฟิง การถูกรับเป็ศิษย์จากจ้าววิหารถึงสองคน ภายในวิหารสลักลายแห่งนี้เห็นทีคงมีมู่เฟิงเป็คนแรก
ใบหน้าของลู่ชูเสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด เดิมทีนางกำลังคิดหาวิธีสังหารเฟิงเย่ผู้นี้ แต่เวลานี้อีกฝ่ายกลับมีผู้หนุนหลังที่มีอำนาจถึงสองคน ดังนั้นต่อให้้าจะสังหารเด็กหนุ่มก็คงจะไม่ใช่เื่ง่ายอีกต่อไปแล้ว
วิหารสลักลายนั้นทรงอิทธิพลเป็อย่างมาก และผู้ที่เคยล่วงเกินพวกเขาจะทราบเื่นี้ชัดเจนที่สุด
เซี่ยวจื่ออวี้เหลือบมองทางเด็กหนุ่มผมขาว ภายในใจรู้สึกว่าตนนั้นพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เผยร่องรอยของความเ้าเล่ห์ออกมา เด็กสาวเดินตรงไปข้างหน้าก่อนจะกอดแขนของมู่เฟิงและยิ้มออกมาอย่างออดอ้อน “เฟิงเย่ ในเมื่อตอนนี้เ้าเป็ศิษย์ของท่านปู่ข้าแล้ว เ้าสามารถสอนข้าหลอมโอสถสามชนิดในเวลาเดียวกันได้หรือไม่?”
“ได้สิ เรียกข้าศิษย์พี่แล้วข้าจะสอนเ้า”
มุมปากของมู่เฟิงบิดโค้งขึ้นเล็กน้อย
“เ้า…”
เซี่ยวจื่ออวี้ยื่นปากเล็กๆ ของนางออกมาด้วยความโกรธ แต่ท่าทางนี้ของนางกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง
“ฮึ่ม เรียกก็เรียกสิ ศิษย์พี่”
เด็กสาวส่งเสียงฟึดฟัดออกมา
“อะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน พูดเสียงดังหน่อย”
มู่เฟิงจงใจแกล้งนาง
“ศิษย์พี่...”
“ไม่ได้ยิน เสียงดังขึ้นอีกหน่อย!”
ทันใดนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเซี่ยวจื่ออวี้จะะโขึ้นไปบนหลังของมู่เฟิง จากนั้นนางก็จับหูเขาและะโออกมาเสียงดังว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ศิษย์พี่!”
“เ้าคิดจะทำให้ข้าหูหนวกหรืออย่างไร”
มู่เฟิงลูบหูของตัวเอง
“เ้าจะสอนหรือไม่?”
“ข้าสอน ข้าจะสอนเ้าเอง พอใจแล้วหรือยัง ไอหยา เ้านี่ช่างเสียงดังนัก”
“ฮึ่ม ใครบอกให้เ้าแกล้งหูหนวกกันเล่า ข้าจะะโให้เ้าหูหนวกตายไปเลย”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ…”
เมื่อเห็นการหยอกล้อของเด็กหนุ่มสาว เซี่ยวเจิ้น โม่เหลียน มู่เฉินและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
แต่แน่นอนว่าเมื่อมีคนชอบก็ต้องมีคนชิงชังเช่นกัน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้