อวิ๋นอี้อยู่ในหมอกควัน [1] มาโดยตลอด จนกระทั่งถูกพาไปที่โต๊ะ
ชะตาถูกฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว
นางมองบุรุษทั้งสองที่อยู่ข้างๆ ลำบากใจเป็อย่างยิ่ง
ยามานี้ทำอะไรมิได้แล้ว ทำได้เพียงสวดภาวนาเงียบๆ ของให้พ่อเทพบุตรไม่แพ้กุ้ยฮวา [2] ก็พอ
อวิ๋นอี้ทำอาหารมื้อนี้ ก็เพื่อที่จะเล่นงานหรงซิวโดยเฉพาะ
นางได้สอบถามและสังเกตโดยรอบ ก็พบว่าในจวนไม่มีต้นกุ้ยฮวาเลยสักต้น ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ขนมกุ้ยฮวา ก็ไม่อนุญาตให้นำเข้าจวน
เพราะเหตุนี้ นางถึงเดาว่า หรงซิวต้องแพ้กุ้ยฮวาเป็แน่
นางส่งเสี่ยวมู่อวี่ไปออดอ้อนถามความจากหญิงรับใช้ เมื่อยืนยันเื่นี้ได้แล้ว นางจึงลงมือทำอย่างระมัดระวัง
อาหารทะเลไม่มีพิษก็จริง แต่นางได้ทำการบดกุ้ยฮวาเป็ผง แล้วต้มลงไปในน้ำแกง
นอกจากนี้ นางยังเตรียมผลไม้ องุ่น ส้ม และของอื่นๆ ไว้บนโต๊ะอีกด้วย เพราะการทานอาหารทะเลและผลไม้ร่วมกันจะกระตุ้นลำไส้และทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้ดีนัก
ทุกอย่างช่างแยบยล ผู้ใดก็มิอาจสังเกตเห็นได้
แม้ว่านางจะถูกหมายหัวว่าทำความผิด ก็แสร้งทำเป็น่าสงสารไร้เดียงสาได้ อย่างไรก็หาหลักฐานไม่พบ
อวิ๋นอี้คิดไปเรื่อย ขณะที่ใจลอยไปไกล อีกสองคนก็เริ่มขยับตะเกียบแล้ว
นางยืดหลัง นั่งตัวตรงและเริ่มทาน
เมื่อพูดถึงเื่การทาน บุรุษทั้งสองท่านนี้ขยับตะเกียบกันไม่เยอะ ทว่ากลับชนแก้วกันบ่อยนัก ทั้งสองคนสนทนากันอย่างไม่มีอะไรปิดบังอวิ๋นอี้ อวิ๋นอี้จึงได้รู้เื่ราวบ้าง
ลู่จงเฉิงเป็อัครมหาเสนาบดีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ที่ผ่านมาการแต่งตั้งเ้าหน้าที่จำเป็ต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็ขั้นเป็ตอน แต่เขากลับแตกต่างออกไปจากผู้อื่น เนื่องจากเขาได้รับตำแหน่งมาอย่างง่ายดาย
เหตุผลมิใช่อื่นใด ลู่จงเฉิงกับองค์ฮ่องเต้ได้พบกันที่เจียงหนานโดยบังเอิญหลายครา ขณะนั้นทั้งสองรู้จักกันอย่างถูกชะตา ความสัมพันธ์นับว่าดีทีเดียว หลังจากนั้นเมื่อเขากลับเข้ามาในวัง ฮ่องเต้ก็ได้ติดต่อลู่จงเฉิง ขอให้เขามารับราชการในวัง
เดิมลู่จงเฉิงเป็ครู เขาไม่้าให้ชีวิตที่สงบสุขของเขาถูกทำลายลง จึงมิได้ตอบรับ จนกระทั่งภายหลัง ฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการ เขาจึงต้องรับมันอย่างจำยอม
อวิ๋นอี้ได้ยินเช่นนี้ ในใจก็คิดว่าฮ่องเต้องค์นี้ขี้ตื้อดีเสียจริง
ลู่จงเฉิงมาที่เมืองหลวงเพียงลำพัง เดินเที่ยวไม่กี่วันก็เข้าไปถวายความเคารพในวัง ตอนที่พบกัน หรงซิวก็อยู่ด้วย จึงเป็การพบกันครั้งแรกของหรงซิวและลู่จงเฉิง พวกเขาพูดคุยกันอย่างถูกคอ จากนั้นลู่จงเฉิงจึงถูกเชิญมาเป็แขกที่บ้าน
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ อวิ๋นอี้ก็ไม่พอใจเสียแล้ว
อันใดกัน!
เหตุใดพ่อเทพบุตรถึงพูดคุยกับบุรุษทุกคนได้เป็อย่างดี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับมีท่าทีไม่อยากจะสนทนาด้วยได้เล่า เป็การเลือกปฏิบัติต่อนางหรือเลือกปฏิบัติต่อเพศของนางหรืออย่างไร?
อวิ๋นอี้โกรธ คีบปูขนด้วยตะเกียบ ทันใดนั้นนางก็เอื้อมมือไปหาลู่จงเฉิง "ท่านอัครมหาเสนาบดี ทานปูเ้าค่ะ"
"ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ" เขาก้มหน้าลงอย่างสงบนิ่ง
อวิ๋นอี้ขยะแขยงอีกแล้ว คำว่าฮูหยิน ยิ่งทำให้นางอารมณ์เสีย
นางตอบกลับอย่างสุภาพ ดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หรงซิวเงยหน้ามองนิ่งๆ แล้วถามอวิ๋นอี้ด้วยรอยยิ้มว่า "อวิ๋นเออร์ แล้วปูของสวามีผู้นี้เล่า?"
กินกินกิน!
รู้จักแต่จะกิน!
อวิ๋นอี้หยิบปูขนห้าหกตัวใส่ไปในถ้วยของเขา “ฝ่าา ทานให้พอนะเพคะ”
“อวิ๋นเออร์จะไม่ช่วยข้าแกะหน่อยหรือ?” หรงซิวยิ้มถาม ยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน
อวิ๋นอี้มองเขา แล้วมองปูขน "ข้าหรือ?"
"ใช่" หรงซิวกะพริบตา มองไปที่ลู่จงเฉินแล้วพูดว่า "พระชายาของข้าอ่อนโยนและเอาการเอางาน ได้อภิเษกกับนางในชาตินี้ช่างเป็โชคดีของข้านัก หากไม่มีอวิ๋นเออร์ ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า! โชคดีที่์ทรงเมตตาข้า ประทานให้อวิ๋นเออร์กลับมาอยู่กับข้า ครานี้ข้าจะหวงแหนนาง รักและดูแลนาง...”
อวิ๋นอี้ทนมองแทบไม่ไหว
นางจะตายเพราะคำพูดพวกนี้ของหรงซิวแล้ว
หากจะแข่งกันเื่หน้าด้าน ไร้ยางอาย นางขอยอมรับว่าตนช่างอ่อนด้อย แพ้ให้หรงซิว เพื่อป้องกันมิให้เขาพูดสิ่งที่น่าขยะแขยงมากกว่านี้ อวิ๋นอี้จึงรีบพับแขนเสื้อขึ้น
แกะปูให้เขา!
ฝีมือของอวิ๋นอี้ดียิ่งนัก นางมีทักษะเื่ของกินเป็อย่างดี แม้แต่เนื้อปูก็แกะได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยงดงาม ราวกับงานฝีมือ
หรงซิวทานอาหารพลางชื่นชมไม่ขาด เหลือบมองหญิงสาวเป็ครั้งคราว
ท่าทางจริงจังของนางดูเย้ายวนตามากกว่าปกติเสียอีก ดูแล้วก็รู้สึกดีขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่ออารมณ์ดี ความอยากอาหารก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
อาหารทะเลบนโต๊ะส่วนใหญ่จึงตกลงไปอยู่ในท้องของหรงซิว แม้แต่ผลไม้ที่อวิ๋นอี้เอามาให้เขาหลังอาหาร เขาก็กินหมดอย่างไม่ลังเล
ดื่มกินกันอย่างพอสมควร ก็เป็เวลาดึกมากแล้ว ลู่จงเฉิงเป็ผู้อ่านที่มองสถานการณ์ออก หากอยู่รบกวนนานคงจะไม่งาม ดังนั้นเขาจึงบอกว่าจะกลับไปั้แ่เนิ่นๆ
หรงซิวก็มิได้จะชวนให้อยู่ต่อ ดังนั้นเขาจึงพูดลาอย่างสุภาพ และไปส่งที่ประตูจวนด้วยตนเอง
ต่างฝ่ายต่างร่ำลากัน
ยืนส่งบุรุษผู้นั้นออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หรงซิวเองก็มองส่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก็จะกลับเข้าบ้าน
แต่ทันทีที่เขาหันกลับมา ก็เห็นสตรีตัวเล็กที่อยู่ข้างกายมองออกไปด้วยสายตาวิงวอน เขาพลันหรี่สายตาลง
เขายังไม่ลืมสีหน้าของนางตอนที่นางพบลู่จงเฉิงก่อนทานอาหารค่ำ เหมือนจะทั้งตะลึง ทั้งชื่นมื่น แต่ก็ดูเหมือนจะสงสัย มิเหมือนกับคนเพิ่งรู้จักกันเลยแม้แต่น้อย
หรือว่านางจะเคยรู้จักกับลู่จงเฉิงมาก่อน?
แต่เมื่อดูจากรูปลักษณ์และบุคลิกของลู่จงเฉิงแล้ว เขามิใช่คนที่จะแสร้งแกล้งโกหกอันใด หากเคยรู้จักกันจริง เขาย่อมไม่แสดงสีหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับอวิ๋นอี้เช่นนั้นแน่
หรงซิวคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็พอเดาออกอย่างคร่าวๆ แล้ว
เกรงว่าจะเป็สตรีของเขาเอง ที่ไปชอบหน้าตาของลู่จงเฉิงเข้า
“ไปกันเถิด” เขาเดาออก แต่กลับอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
หลังจากพูดไปก็เห็นอวิ๋นอี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้ความโกรธพุ่งมาจากที่ใด ชายหนุ่มเหยียดแขนคล้องคอแล้วโอบนางไว้ในอ้อมแขนทันที
หรงซิวพอใจมากกับระยะห่างระหว่างทั้งสองที่ชิดแน่นขึ้นทันใด จากนั้นเขาก็ขยับอ้อมแขนให้นางอยู่ข้างหน้า
อวิ๋นอี้ขัดขืน พูดเสียงดังว่า "หรงซิว ท่านทำอันใดเพคะ?"
"เดินไม่ไหวแล้ว" หรงซิวบอกอย่างใจเย็น "เมื่อครู่ทานเข้าไปอิ่มเหลือเกิน"
"ปล่อยข้า!” อวิ๋นอี้ผลักมือออกด้วยความโกรธ ไม่สนใจว่าเขาจะอิ่มเพียงใด
แต่นางตัวเล็กและอ่อนแอ แรงเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ได้เพียงเท่านั้น หรงซิวสนุกอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเกียจคร้าน “ออกแรงอีกหน่อยสิ”
ออกแรงบ้าอะไร
อวิ๋นอี้ยอมแพ้แล้ว คิดว่าภาพลักษณ์ของบุรุษผู้นี้มอดม้วยไปหมดแล้วจริงๆ
ยามที่เห็นเขาคราแรก เขาเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและเ็า แววตาล้ำลึกและดูเคร่งเครียดและจริงจังหลายส่วน แต่ตอนนี้น่ะหรือ เฮอะเฮอะ
สง่างามบ้าอันใด เ็าบ้าอันใด เคร่งเครียดจริงจังบ้าอันใด
เขาเป็ได้เพียงไอ้คนไร้ยางอายหนังหน้าหนา ที่จ้องจะฉวยโอกาสกับนางเสมอ อวิ๋นอี้พ่นคำด่าในใจไปตลอดทาง แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงช้างของหลงซิวได้ นางดันเขาเข้าไปในห้องด้วยความรุนแรง ก่อนจะสะบัดมือออก
หลังจากที่สลัดความหนักอึ้งของบุรุษผู้นั้นออกไปได้แล้ว นางก็รู้สึกโล่งยิ่งนัก นางนวดไหล่และคออย่างหงุดหงิด และเงยขึ้นไปมองหรงซิว
ไม่มองก็ไม่เป็อันใดหรอก แต่เมื่อมองแล้วก็ถึงขั้นสะดุ้งใขึ้นมา ผื่นแดงเต็มหน้าเช่นนี้ เกิดอันใดขึ้น!
อวิ๋นอี้ใเดินเข้าไปหา นางยังไม่ถึงตัวเขา ก็เห็นหรงซิวผู้นั้นจ้องมาที่นางด้วยดวงตาแดงก่ำ
นางใจนถึงกับสะดุ้ง “หรง...หรงซิว! ท่านเป็อันใดไป?”
“ทรมาน” หรงซิวส่ายหัว ดวงตาเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย เขามองมาที่นาง ก่อนเอ่ยถาม "ข้าคันไปทั้งตัว หน้าก็คัน อวิ๋นเออร์เ้าช่วยดูหน่อยว่าข้าเป็อันใดไป?"
จะเป็อันใดไปเสียอีก น้ำแกงที่ข้าทำเห็นผลแล้วน่ะสิ ท่านมีอาการแพ้!
อวิ๋นอี้ไม่พูดอันใด
นางเพียงจ้องเขม็งไปที่หรงซิว
ผิวที่ขาวซีดแต่เดิมของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยผื่นแดง แผ่ขยายรอบบริเวณติดๆ กัน ใบหน้าที่หล่อเหลาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด เขาขมวดคิ้วแน่น มือสองข้างพยายามจะปลดกระดุมคอ พยายามจะบรรเทาความรู้สึกไม่สบายตัว
อวิ๋นอี้รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด
ตอนที่ทำน้ำแกงก็รู้สึกสนุกอยู่หรอก แต่พอเห็นเข้าจริงๆ ว่าเขาทุกข์ทรมานเพราะนาง ใจนางกลับไม่เป็สุขเอาเสียเลย
นางถอนหายใจ เป็คนเลวจะต้องจิตใจโเี้อำมหิต นางไม่มีพร์ด้านนั้นเลย
หลังจากได้สติ ทางหางตาแลเห็นหรงซิวเริ่มเกาใบหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นนี้ จะทำให้เสียโฉมมิได้เด็ดขาด!
นางไม่ทันได้คิดอันใดก็รีบเข้าไปคว้ามือหรงซิว ปรามเขา "อย่าเกามั่ว ถ้าเสียโฉมขึ้นมาจะทำเช่นไร? ข้าจะตามหมอมาเดี๋ยวนี้"
อวิ๋นอี้ะโเรียกไม่กี่ครั้ง ก็มีสาวใช้สองสามคนเดินเข้ามาทันที
เมื่อสาวใช้เห็นหรงซิวที่อยู่บนเตียง แต่ละคนก็หน้าซีดด้วยความใ ร้องกรี้ดกันระงม อวิ๋นอี้พลันดุเสียงดัง "จะร้องทำไม! รีบไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้! หากล่าช้าขึ้นมา คอยดูว่าข้าจะจัดการพวกเ้าเช่นไร!”
ทันทีที่คำนี้ถูกเปล่งออกไปก็ไม่มีใครกล้ารอช้าอีก
ไม่นานหมอหลวงก็เข้ามา เห็นหน้าหรงซิวแล้วก็แทบจะยืนยันได้ทันทีว่าเขามีอาการแพ้
สถานการณ์เร่งด่วน พวกเขาทำการจ่ายยาทันที กลุ่มสาวใช้พากันวิ่งวุ่น รีบก่อไฟนำยาไปต้ม โกลาหลวุ่นวายไปหมด
เมื่อยาต้มเสร็จก็นำยาไปที่เตียง อวิ๋นอี้ก็รีบป้อนยาให้หรงซิวทาน
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าการแพ้อาหารน่ากลัวเช่นนี้
ใบหน้าของหรงซิว น่าเกลียดน่ากลัวไม่เหลือเค้าเดิม มีผื่นแดงขึ้นอยู่ทั่ว เห็นแล้วทำให้นางรู้สึกชาหนังหัว [3]
โชคดีที่นางปรามเขาไว้ มิเช่นนั้นด้วยอาการคันที่รุนแรงเช่นนี้ใบหน้าที่มีรอยแดงอยู่ตอนนี้ก็อาจถูกเกาจนเป็รอยเืซิบๆ จนหมดแน่
หลังจากให้หรงซิวกินยาเสร็จแล้ว หมอหลวงก็สั่งให้มัดมือและเท้าของเขาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเกาตัวเอง
เื่มาถึงเช่นนี้แล้ว ทำได้เพียงเท่านี้
อวิ๋นอี้ยกมือขึ้นด้วยตนเองเพื่อภาวนาอ้อนวอนต่อเหล่าทวยเทพ ให้หรงซิวหายจากความทรมาน
หรงซิวผู้ถูกผูกมัด เชื่อฟังเป็อย่างดี
เขาหรี่ตามอง ก่อนจะพูดกับนางว่า “อวิ๋นเออร์ ข้ามีอาการแพ้ได้อย่างไร?”
“...…”
อวิ๋นอี้พึมพำ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
“จริงหรือ?” หรงซิวแสยะยิ้ม มิไล่เรียงถามอีก
เมื่อเขามิไล่ถาม อวิ๋นอี้กลับยิ่งรู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก นางพยายามจะพูดความจริงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่กล้า และเลือกที่จะปิดปากแน่น
ทั้งสองเงียบไป
หรงซิวดูจะหมดแรงเพราะอาการแพ้ เขานอนหลับตาอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์สงบลง อวิ๋นอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ นางขยับเข้าไปนั่งเตรียมจะจะงีบหลับข้างเตียง
แต่ทว่ายังไม่ทันได้งีบ
ตอนที่นางกำลังขยับเก้าอี้ หรงซิวก็ลืมตาพรึบขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง อวิ๋นอี้ใเป็อย่างยิ่งและถามอย่างระมัดระวังว่า "เป็อันใดไปเพคะ?"
"ปวดท้อง" หรงซิวพูดเสียงดัง "แก้มัดให้ข้าเร็ว! ข้าจะไปเข้าห้องน้ำ!"
"......"
อวิ๋นอี้คิดได้ว่า น่าจะเป็ผลจากการผสมอาหารทะเลกับผลไม้ก็เป็ได้
“แก้มัดเร็วสิ!” หรงซิวะโอย่างดุดัน
มือที่แกะเชือกออกของอวิ๋นสั่นไปหมด ทันทีที่นางคลายมัด หรงซิวก็ใช้แรงกระชากดึงจนเชือกขาด แล้ววิ่งออกไปทันที
เมื่อมองไปยังด้านหลังของเขา อวิ๋นอี้รู้สึกกลัวเป็ครั้งแรก
ถ้าหรงซิวรู้ว่านางทำ นางคงจะตายอย่างอนาถใช่หรือไม่?
เชิงอรรถ
[1] ในหมอกควัน云里雾里 หมายถึง ท่าทางสับสนมึนงง คิดไม่ตก
[2] กุ้ยฮวา桂花 หมายถึง ดอกหอมหมื่นลี้ นิยมนำมาชงดื่มหรือทำขนมหวาน
[3] ชาหนังหัว 头皮发麻 หมายถึง ขนลุก น่าขยะแขยง หวาดกลัว