เป่ยเหลียนโม่มองสตรีตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง “มีธุระอันใด?”
บุรุษผู้นี้วางตัวสูงส่งต่อนางอยู่เสมอ ในอดีตนางเป็บุตรสาวของเฉิงเซี่ยง อย่างมากเขาเพียงแค่เมินเฉยต่อนาง ทว่ายามนี้แม้แต่ความเมินเฉยนั้นก็กลายเป็การหวังเกินตัวไปเสียแล้ว
ซ่งอีอีมองบุรุษตรงหน้าอย่างละโมบพลางลูบไรผมบริเวณขมับโดยไม่รู้ตัว
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าเกิดเื่ขึ้นกับแม่นางเหยา ดังนั้นจึงตั้งใจมาพบท่านอ๋องโดยเฉพาะเพคะ”
“เกิดเื่กับหวังเฟยแล้วไยจึงมาพบเปิ่นหวัง” เป่ยเหลียนโม่ผลักหน้าต่างให้เปิดออก ข้างนอกมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่คึกคัก นี่เป็ทิวทัศน์ที่เหยาเชียนเชียนชื่นชอบมากที่สุด
“หากซ่งเช่อเฟยเป็ห่วงหวังเฟย เปิ่นหวังสามารถให้คนไปส่งเ้าได้ ซ่งเช่อเฟยจะได้บอกกล่าวความในใจได้อย่างเต็มที่”
ซ่งอีอีกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แม้ว่ายามนี้เหยาเชียนเชียนจะถูกถอดยศเป็สามัญชนแล้ว ทว่าชิงผิงอ๋องก็ยังคงเรียกคนผู้นั้นว่าหวังเฟยได้อย่างเต็มปาก สตรีนางนั้นมีอะไรดีกันแน่ นางซึ่งเป็บุตรสาวอัครมหาเสนาบดีถึงได้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านอ๋องทรงประชวร ดังนั้นจึงอยากมาเยี่ยมท่านอ๋องสักหน่อยเพคะ แม่นางเหยาเพียงแค่ถูกถอดยศและถูกเนรเทศออกจากนครหลวงเท่านั้น ร่างกายของนางยังคงปลอดภัยและสบายดี กลับกันเป็ท่านอ๋องต่างหากที่ควรจะรักษาตัวให้ดี”
ไม่รู้ว่าเป่ยเหลียนโม่กำลังมองสิ่งใดอยู่ เขาเมินเฉยต่อคำพูดของนางและทำท่าทางราวกับตั้งใจสื่อว่า ‘มีเื่ใดก็พูดมา ถ้าไม่มีก็กลับไป’
ทว่าเื่นี้จะรีบร้อนไม่ได้ ซ่งอีอีรินชาให้ตัวเองจอกหนึ่ง เวลานี้เหยาเชียนเชียนถูกถอดยศแล้ว และเป่ยเหลียนโม่ก็กำลังเป็ห่วงสตรีผู้นั้น แต่เขาจะเป็ห่วงได้นานสักเท่าไรกัน คาดว่าสักครึ่งเดือนเขาก็คงจะปล่อยวางได้แล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นโอกาสก็จะมาถึงมือนาง นางไม่ได้อยากเป็เช่อเฟยั้แ่แรก หากชิงผิงอ๋องเปลี่ยนใจแล้ว พวกเขาทั้งคู่จะไปวอนขอฮ่องเต้อีกครั้ง
“ท่านอ๋อง เื่ราวมีข้อสรุปเป็ที่แน่นอนแล้ว หากท่านอ๋องมัวแต่กังวลก็มีแต่จะเป็ผลเสียต่อร่างกายของพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้ เื่นี้เป็การตัดสินโดยเสด็จพ่อ หากท่านอ๋องครุ่นคิดเื่แม่นางเหยามากเกินไป อาจส่งผลให้ผู้คนพากันคิดว่าท่านอ๋องไม่พอพระทัยเสด็จพ่อ และจะตกเป็ขี้ปากของผู้คนอย่างยากที่จะเลี่ยงได้นะเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่เหยียดยิ้มมุมปากบางๆ อย่างไม่อาจสังเกตเห็นได้ “เปิ่นหวังไม่พอใจกับการตัดสินของเสด็จพ่อจริงๆ ไม่จำเป็ต้องให้ผู้อื่นคาดเดา เปิ่นหวังสามารถพูดตรงๆ ได้ หากซ่งเช่อเฟยมาที่นี่เพียงเพื่อกล่าวเื่เหล่านี้ เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด”
ในถ้อยคำของเขายังคงเจือแววถากถางอยู่หลายส่วน “หากพี่สามรู้ว่าเ้าปลอมตัวมาพบเปิ่นหวัง เช่นนั้นก็คงหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเหมือนเช่นครั้งนั้นได้ยาก และเปิ่นหวังคงแบกรับโทษนั้นไม่ได้”
ครั้งนั้นที่เขากล่าวถึงคือยามที่ซ่งอีอีและเป่ยเซวียนเฉิงอยู่ด้วยกัน พวกเขาถูกบ่าวไพร่พบเห็นและนำไปพูดต่อ และเมื่อเื่นี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็ไม่อาจยับยั้งไว้ได้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ดังเช่นทุกวันนี้
ซ่งอีอีต้องจำใจแต่งงานกับเป่ยเซวียนเฉิง ท้ายที่สุดแล้วเื่นี้ยังคงเป็เสี้ยนหนามในใจของนาง
ผู้คนกล่าวกันว่าขนาดนางยังรับไม่ได้ นับประสาอะไรกับเป่ยเหลียนโม่เล่า
“ท่านอ๋อง ไม่ว่าจะต้องอธิบายเื่นั้นสักกี่ครั้ง อีอีก็ยังยืนยันคำเดิมเสมอ อีอีไม่ได้ทำเื่เกินเลยกับองค์ชายสามจริงๆ คาดว่าท่านอ๋องน่าจะรู้แจ้งชัดเจนในข้อนี้มากกว่าอีอีนะเพคะ”
ดวงตาของนางแดงก่ำ นางมีความสงสัยอันน่ากลัวอย่างหนึ่งติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด ทว่าั้แ่ต้นจนจบนางก็ไม่กล้ายอมรับมัน ดวงตาของนางมีน้ำตาคลอและเจือแววเศร้าโศกยามทอดมองไปยังบุรุษตรงหน้า ท่าทางเช่นนี้ต่อให้มีจิตใจแข็งแกร่งดุจหินอย่างไรก็น่าจะโอนอ่อนลงบ้าง ทว่าเป่ยเหลียนโม่กลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่าเปิ่นหวังย่อมรู้ดี” เขากล่าว “ไม่เพียงแค่เปิ่นหวังเท่านั้น กระทั่งคนที่เดินผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้ หากสุ่มถามผู้ใดสักคนดูก็น่าจะรู้ได้ชัดเจนมากแล้ว เื่นี้ก็เป็ดังที่ซ่งเช่อเฟยกล่าวไว้คือมันมีข้อสรุปมานานแล้ว หากกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ก็นับว่าเป็เื่ที่เปล่าประโยชน์”
“เปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ?”
ซ่งอีอีวาดรอยยิ้มขมขื่น หากไม่ใช่เพราะนางถูกใส่ความในครั้งนั้น นางจะตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและจำต้องบีบตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานได้ จึงจำเป็ต้องแต่งงานกับองค์ชายสามได้อย่างไร
“วันนี้ท่านอ๋องสามารถบอกความจริงกับอีอีได้หรือไม่ เหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องหรือไม่ เพราะเป็คำสั่งของท่านอ๋อง เช่นนั้นอีอีถึงได้อยู่กับองค์ชายสาม และคนที่เผยแพร่เื่นี้ก็เป็คนที่ท่านอ๋องส่งมาใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเป่ยเหลียนโม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวั่นไหวบนใบหน้า ราวกับว่าสิ่งที่นางถามเป็เพียงคำถามแสนธรรมดา
“ซ่งเช่อเฟยกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับมาโดยตลอด ทว่าวันนี้เ้ากลับซักถามเปิ่นหวังด้วยท่าทีกดดัน ในเมื่อเ้ามีคำตอบในใจอยู่แล้ว เช่นนั้นเปิ่นหวังก็ไม่จำเป็ต้องกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมอีก”
“เป็ฝีมือของพระองค์จริงๆ สินะเพคะ” ซ่งอีอีมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ คนที่นางเคารพรักและเลื่อมใสมากที่สุดกลับเป็คนร้ายที่ผลักนางลงนรก ซ่งอีอีหัวเราะออกมาเบาๆ และหลังจากนั้นก็หัวเราะทั้งน้ำตาที่เปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ราวกับว่านางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านอ๋อง ไฉนถึงต้องเป็พระองค์ เหตุใดพระองค์ต้องทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ อีอีจริงใจต่อพระองค์นะเพคะ! พระองค์ก็รู้ว่าหม่อมฉันผ่านวันเวลาเ่าั้มาได้อย่างไร หม่อมฉันแทบอยากจะตายไปเสียเพื่อล้างมลทินให้แก่ร่างกายนี้ ทว่าในท้ายที่สุดคนที่หม่อมฉันอยากจะเกลียดกลับกลายเป็คนที่หม่อมฉันรักที่สุด เหตุใดพระองค์ต้องโหดร้ายกับอีอีถึงเพียงนี้ อีอีรักเพียงแค่พระองค์ หรือว่าเป็เพราะหม่อมฉันกระทำความผิดร้ายแรงอันใดที่ไม่อาจให้อภัยได้หรือ!”
ในที่สุดเป่ยเหลียนโม่ก็ถอนสายตากลับมาและหันไปมองสตรีที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ในห้อง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ความโกรธ และความอาฆาตแค้น
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ “แปลกนัก สิ่งที่ซ่งเช่อเฟยเคยทำไว้ยังต้องให้เปิ่นหวังกล่าวเตือนความจำให้อีกหรือ ในยามนั้นหวังเฟยถูกผู้คนก่นด่าสารพัด กระทั่งไม่กล้าออกจากจวนแม้เพียงครึ่งก้าว หากไม่ใช่เพราะโชคดี ยามที่กลิ้งตกจากบันไดลงมานางก็คงตายไปแล้ว ซ่งเช่อเฟยคิดให้ถี่ถ้วนเถิด เ้ายังคิดว่าตนเองบริสุทธิ์และน่าสงสารอยู่อีกหรือไม่?”
เพื่อเหยาเชียนเชียน เพื่อเหยาเชียนเชียนอีกแล้ว
ซ่งอีอีโกรธเสียจนตาเบิกโพลง กระทั่งที่ปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือก็ไม่รู้สึกเ็ป เพื่อเหยาเชียนเชียนเพียงคนเดียว ไม่คาดคิดเลยว่าเป่ยเหลียนโม่จะถึงขั้นวางแผนทำร้ายนาง ทำให้นางต้องสูญเสียเกียรติและต้องจำใจแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้รัก
ทุกคืนวันระหว่างที่อยู่ในวังหลวง นางใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความคะนึงหาถึงเขา แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็คือบุรุษที่นางรักที่สุดผู้นี้
“ท่านอ๋องไม่เคยได้ฟังเื่เ่าั้จากปากของหม่อมฉันเลยสักครั้ง ท่านอ๋องอาศัยเพียงการฟังความข้างเดียวจากเหยาเชียนเชียนและตัดสินว่าหม่อมฉันใส่ความนาง”
ซ่งอีอีก้าวไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ “หากนางโกหกเล่า หรือหากนางเป็ฝ่ายใส่ความหม่อมฉัน ท่านอ๋องไม่กลัวว่าพระองค์จะไม่เป็ธรรมกับคนดีหรือเพคะ? สำหรับสตรีคนหนึ่งอย่างหม่อมฉัน การวางแผนกระทำเื่เช่นนี้อาจทำให้ทุกข์ใจเสียยิ่งกว่าตายอีกนะเพคะ!”
เป่ยเหลียนโม่หลุบตาลงเล็กน้อย เมื่อมองสีหน้าเศร้าหมองของซ่งอีอีเขาก็อดที่จะเหยียดยิ้มไม่ได้
“เปิ่นหวังไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด และหวังเฟยก็ไม่ได้หน้าไหว้หลังหลอกดังเช่นซ่งเช่อเฟย ดังนั้นในเมื่อนางเสียเปรียบไปแล้วก็ช่างปะไร แต่เปิ่นหวังก็จะปกป้องนางเสมอ เปิ่นหวังทนเห็นคนของตัวเองได้รับความคับข้องใจไม่ได้ หาก้าแก้แค้น ย่อมต้องทำคืนเป็สิบเป็ร้อยเท่า”
ในยามนั้นเหยาเชียนเชียนถูกคนก่นด่าและตกเป็เป้าวิจารณ์จากผู้คนก็ล้วนเป็ผลมาจากแผนการของซ่งอีอีทั้งนั้น เขาเพียงแค่ชี้แจงเื่ราวทั้งหมด แล้วการที่นางถูกโจมตีด้วยวาจาหยาบคายอย่างรุนแรงเ่าั้ เหยาเชียนเชียนก็ต้องทนยอมรับทั้งที่ไม่ใช่คนผิดหรืออย่างไร?
ในเมื่อ้าแก้แค้น เช่นนั้นก็ต้องเอาคืนกลับมาทั้งต้นและดอกในคราวเดียว และจะขาดไปไม่ได้แม้แต่แดงเดียว
เหยาเชียนเชียนถูกผู้คนก่นด่าตลอด่เวลานั้น เพราะฉะนั้นซ่งอีอีก็จะต้องถูกผู้คนก่นด่าให้เท่ากับเหยาเชียนเชียน และจะต้องไม่ตกหล่นไปแม้แต่ประโยคเดียว ชื่อเสียงของเหยาเชียนเชียนถูกวิจารณ์สาดเสียเทเสีย เช่นนั้นซ่งอีอีก็ต้องได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นเช่นเดียวกัน เช่นนี้จึงเรียกได้ว่ายุติธรรมอย่างแท้จริง
“แต่เหยาเชียนเชียนไม่เป็อะไรเลยนะเพคะ” ซ่งอีอีมองเขา “แต่หม่อมฉัน หม่อมฉันกลับต้องอภิเษกกับองค์ชายสาม ต้องอภิเษกกับคนที่หม่อมฉันไม่ได้รัก ชีวิตที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของหม่อมฉันพังพินาศไปหมดแล้ว!”
เป่ยเหลียนโม่ส่ายหน้าน้อยๆ และกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ซ่งเช่อเฟยเองก็ไม่เป็อะไรเลยเหมือนกันไม่ใช่หรือ ซ่งเช่อเฟยไม่รู้หรือ ในคืนนั้นเ้าและพี่สามอยู่ด้วยกันที่เรือนเล็กโดยที่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เปิ่นหวังเพียงแค่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งเท่านั้น ทว่านอกเหนือจากนั้นเปิ่นหวังก็ไม่ได้ทำสิ่งใดเลย”
เขาหัวเราะเบาๆ “ส่วนพิธีอภิเษกหลังจากนั้นเป็เพราะเสด็จพ่อคำนึงถึงเกียรติของราชวงศ์ เปิ่นหวังจึงเสนอความคิดเห็นไป คนที่รับ่ต่อก็คือเสด็จพ่อและพี่สาม ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเปิ่นหวัง นอกจากนี้ฐานะของพี่สามนั้นสูงศักดิ์ยิ่งนัก เช่นนั้นจะเป็การทำลายซ่งเช่อเฟยได้อย่างไรเล่า”
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็ไปตามวัฏจักรของเวรกรรม เมื่อทำชั่วย่อมได้รับกรรมชั่วตอบแทน เป่ยเหลียนโม่ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตาแต่ไหนแต่ไร บนโลกใบนี้มีเพียงอาเหยียนและเหยาเชียนเชียนเท่านั้นที่เขาจะไม่ยอมให้ผู้อื่นแตะต้องได้ ซ่งอีอีแตะเกล็ดั [1] ของเขาเข้าก็สมควรที่จะรับผลตามมาให้ได้
ยามนี้นางมาทำท่าทางราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับความไม่เป็ธรรมเช่นนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก และทำให้เขารังเกียจนางอย่างถึงที่สุด
“เปิ่นหวังตัดสินให้รางวัลจากความดีความชอบและตัดสินลงโทษอย่างยุติธรรมเสมอ หวังเฟยถูกใส่ความ เช่นนั้นคนที่ใส่ความนางย่อมไม่อาจทำทุกอย่างตามที่ปรารถนาได้อยู่แล้ว ซ่งเช่อเฟยคิดว่าวิธีการของเปิ่นหวังนั้นโเี้เกินไป แต่กลับไม่นึกถึงเื่กฎแห่งกรรมและกรรมตามสนองอย่างสาสมบ้างเลยหรือ?”
ซ่งอีอีโซซัดโซเซถอยไปสองก้าวและค้ำโต๊ะไว้เพื่อให้ตนฝืนยืนอยู่ได้ นางกลายเป็คนมีความผิดในสายตาของเขาไปนานแล้ว ช่างน่าขันยิ่งนักที่นางยังคงกอดความหวังอันน้อยนิดที่น่าสมเพชนั้นไว้อยู่อีก
“ท่านอ๋อง พระองค์เห็นเพียงสิ่งที่หม่อมฉันทํากับเหยาเชียนเชียน แต่พระองค์เคยคิดบ้างหรือไม่ว่ามันเป็เพราะเหตุใดกัน หากไม่ใช่เพราะหม่อมฉันชื่นชมท่านอ๋อง และหัวใจทั้งดวงของหม่อมฉันล้วนมอบแด่ท่านอ๋อง บุตรสาวอัครมหาเสนาบดีผู้สง่างามเช่นหม่อมฉันจะทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร?”
นางมองเป่ยเหลียนโม่อย่างตัดพ้อ เขามองไม่เห็นความจริงใจของนางเลยแม้แต่น้อย เขามองเห็นเพียงความทุกข์ยากลำบากของเหยาเชียนเชียนเท่านั้น
หากจะให้นางพูด เหยาเชียนเชียนนำความอัปยศมาสู่ตัวเองต่างหาก เป็เพียงบุตรอนุ ทั้งยังเกี่ยวพันกับองค์ชายสามเป็สตรีใจโลเล เขาถือสิทธิ์ใดถึงได้เปรียบเทียบนางกับอีกฝ่าย?
สิ่งที่นางทำทั้งหมดมีสิ่งใดผิดหรือ นางเพียงแค่อยากให้เป่ยเหลียนโม่ได้ดูให้ชัดว่าสตรีผู้นั้นไม่คู่ควรกับตำแหน่งหวังเฟยั้แ่แรก และด้วยเหตุผลนี้เป่ยเหลียนโม่จึงไม่สนใจนางและทำลายอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของนาง แล้วจะไม่ให้นางเกลียดชังได้อย่างไร?
“ในใจของหม่อมฉันท่านอ๋องทรงพระปรีชาและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ หากพระองค์ชายตามองหม่อมฉันบ้างเพียงสักครั้ง แม้หยุดสายตาไว้เพียงชั่วครู่ก็สามารถทำให้หม่อมฉันเบิกบานใจได้แล้ว ทว่าเหยาเชียนเชียนนางทำได้หรือไม่ ในใจนางมีเพียงองค์ชายสาม พระองค์ทรงทำเพื่อนางมากมายเพียงนั้น นางเคยซาบซึ้งใจบ้างหรือไม่?”
ซ่งอีอีหัวเราะเสียงเย็นราวกับว่านางดูแคลนทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อเหยาเชียนเชียน คาดว่าสตรีผู้นั้นจะต้องได้ใจมากเป็แน่ที่สามารถควบคุมชิงผิงอ๋องผู้สง่างามได้อย่างง่ายดาย และคงจะสะใจที่แม้นางจะพยายามถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับยังคงไม่สามารถทำให้ชิงผิงอ๋องเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของตนได้เลย
“พระองค์ไม่ลังเลที่จะขัดแย้งกับเสด็จพ่อเพื่อนาง และครั้งนี้ถึงกับประกาศปกป้องนางเสียด้วยซ้ำ แล้วนางเล่า นางเพียงแค่เสพสุขไปกับสิ่งเหล่านี้อย่างสบายใจเท่านั้น นางเคยทำอะไรเพื่อพระองค์บ้างหรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่เคาะขอบหน้าต่างเบาๆ จากนั้นก็กล่าวกับองครักษ์เงาว่า “ไปซื้อขนมหอมหมื่นลี้ เปิ่นหวังจำได้ว่าครั้งที่แล้วหวังเฟยบอกว่าชอบ ไม่เห็นพ่อค้าผู้นั้นตั้งแผงขายมาหลายวัน วันนี้ถือว่าวันที่เปิ่นหวังรออยู่ได้มาถึงแล้ว”
เขาไม่แยแสต่อสีหน้าโกรธเกรี้ยวและใของซ่งอีอี อีกทั้งยังตั้งใจมองไปยังองครักษ์เงาที่กำลังไปซื้อขนมหอมหมื่นลี้ ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนมาจากใจ เหยาเชียนเชียนไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อเขาั้แ่แรกอยู่แล้ว หากเขาอยากได้หัวใจของอีกฝ่ายมาครองก็ต้องเอาใจให้มากสักหน่อย และเป่ยเหลียนโม่ก็ไม่คิดว่ามันเป็ปัญหาแต่อย่างใด
“ทุกสิ่งที่เปิ่นหวังทำให้หวังเฟยนั้นเดิมทีเป็ความตั้งใจของเปิ่นหวังเอง หวังเฟยไม่เคยบังคับเปิ่นหวังให้ทำสิ่งใดเลยสักครั้ง และเปิ่นหวังไม่้าให้ผู้ใดมาบอกว่าต้องทำอย่างไร ไม่สำคัญว่านางจะเคยรักเคยชอบผู้ใดมาก่อน เปิ่นหวัง้าเพียงต่อจากนี้ไปในใจของนางจะมีแต่เปิ่นหวังเพียงผู้เดียว”
เป่ยเหลียนโม่เหยียดยิ้มมุมปาก “ส่วนนางจะทำสิ่งใดเพื่อเปิ่นหวังบ้าง เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเปิ่นหวังจะสามารถใจนางได้หรือไม่ ขนมหอมหมื่นลี้ใกล้เย็นชืดแล้ว เปิ่นหวังขอไม่ส่งแขก”
ซ่งอีอีลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และมองไปยังเป่ยเหลียนโม่ด้วยสายตาเจือแววไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“หากหม่อมฉันบอกว่าหม่อมฉันรู้ว่าผู้ใดลอบทำร้ายอวี๋เฟยและองค์ชายในครรภ์ ท่านอ๋องจะยังขับไล่หม่อมฉันอยู่อีกหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] แตะเกล็ดั เป็สำนวนจีน กล่าวถึงเกล็ดใต้คอัซึ่งหันไปทิศทางตรงกันข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากผู้ใดไปแตะเกล็ดนี้เข้าัจะโกรธมากและจะฆ่าคนผู้นั้น ในอดีตจักรพรรดิเปรียบเสมือนพญาั สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบถึงการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ
