ดังนั้นถึงแม้ว่าในพระทัยของไทเฮาจะโกรธแค้นสักเพียงใด นางจะต้องดับมันลงด้วยตนเอง
นางได้รับการไว้วางใจจากปวงชนเสมอมา นางคือไทเฮาผู้สูงศักดิ์จากเบื้องบน เป็ไทเฮาผู้สง่างามและมีเกียรติ จะเคยถูกท้าทายและอกตัญญูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้หรือ?
สันนิษฐานว่านี่เป็ครั้งแรกที่นางต้องทนทุกข์จากการถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ยังเป็เื่ที่น่าเหลือทนที่สุดอีกด้วย หากเื่นี้กระจายออกไป ใบหน้าของไทเฮาผู้สง่างามของนางจะเป็เช่นไร?
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือ ไทเฮาผู้เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจผู้นี้ ไม่อาจทำสิ่งใดกับคนที่ไม่กตัญญูต่อนางได้ ซึ่งมันช่างไร้สาระ
นางถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้กังวลเกี่ยวกับแว่นแคว้นและประชาชน ในวันนี้ ในที่สุดไทเฮาก็สามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้นได้
อกตัญญูต่อองค์ไทเฮา ฮ่องเต้เหวินอิ้นย่อมพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธ
สำหรับความขุ่นเคืองและความโกรธของไทเฮา ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยล้า “เสด็จแม่ เมื่อไม่นานมานี้ลูกยุ่งกับกิจการบ้านเมือง ่นี้จึงไม่ได้ไปพบเสด็จแม่ มันเป็ความผิดของลูกใช่หรือไม่”
ยุ่งกับกิจการบ้านเมือง? คิดว่านางโง่หรือ? ดวงตาโกรธเคืองของไทเฮาเต็มไปด้วยแววเหน็บแนม
นางเคยมาที่นี่หลายครั้งและถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ฮ่องเต้กล้าบอกนางว่างานราชการยุ่งวุ่นวาย เพื่อหลอกลวงนางจริงๆ เช่นนั้นหรือ?
หลงเหวินอิ้นวางนางผู้เป็ไทเฮาผู้สง่างามไว้ตรงจุดไหน?
ไทเฮาพ่นลมอย่างเ็า หันหน้ามาอย่างเ็าและหยิ่งยโส โดยไม่กล่าวสิ่งใด
ฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่สนใจท่าทีที่เ็าของไทเฮา
เขาถอนหายใจและพูดต่อ “บางทีเสด็จแม่ก็ทรงทราบเช่นกันว่า ในยามนี้เกิดโรคระบาดในเมืองหลงอัน ซึ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนก ไม่ต้องพูดถึงว่าเมืองหลงอันเป็เมืองที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองหลวง โรคระบาดกำลังโหมกระหน่ำ หากไม่มีวิธีควบคุมภัยพิบัติ ผลที่ตามมาจะเหนือจินตนาการ!”
หากให้กล่าวว่าคนในใต้หล้านี้หวาดกลัวสิ่งใดมากที่สุด?
ไม่ต้องสงสัย เว้นเสียแต่หนอนกู่ที่เคยมีข่าวลือหนาหูที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว มันคือโรคระบาดที่น่าหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง
แม้ว่าหนอนกู่จะน่ากลัว แต่อย่างน้อยพวกมันก็ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมืุ์ แต่โรคระบาดนั้นร้ายแรง จากหนึ่งลามไปสิบ จากสิบลามไปร้อย ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาความเร็วของมันได้ ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำลายหมู่บ้าน ทำลายเมือง ทำลายได้แม้กระทั่งแคว้น...
ความหมายของคำพูดของฮ่องเต้เหวินอิ้นนั้นชัดเจนมาก เมื่อเทียบกับโรคระบาดแล้ว เื่เล็กน้อยของไทเฮาจะนับเป็อะไรได้เล่า? ไม่ต้องพูดถึงว่ามันยากสำหรับผู้รับใช้แผ่นดินที่เที่ยงธรรมยากที่จะตัดสินเื่ครอบครัว [1] เพราะเขาไม่้าดูแลเกี่ยวกับสิ่งนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
อีกทั้งครั้งนี้ยังเกิดเื่ใหญ่ขึ้นในเมืองหลงอันแห่งแคว้นเจียหลัวอีกด้วย เพียงแค่คิดเกี่ยวกับการที่มีโรคระบาดกำลังระบาดอย่างหนัก ในยามนี้การต่อต้านการแพร่ระบาด บรรเทาภัยพิบัติเป็สิ่งสำคัญที่สุด
ดังนั้นหากไทเฮาทรงมีพระประสงค์ที่จะทวงถามความยุติธรรมให้แก่องค์หญิงอันหย่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จริงๆ ก็ช่างไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง
เดิมทีเื่ที่ตำหนักโซ่วอันของไทเฮาถูกสาปแช่ง ก็ส่งผลให้บรรยากาศเลวร้ายจนมีข่าวลือแพร่กระจายออกไปและกำลังเป็ที่กล่าวถึง
หากไทเฮาเอาเื่ครอบครัวเข้าไปพัวพันกับฮ่องเต้ในยามที่พระองค์ทรงห่วงใยบ้านเมืองและประชาชนเช่นยามนี้ มันจะยิ่งกระจายออกไป เกรงว่าไทเฮาจะต้องอับอายขายหน้าจากการถูกผู้คนเหยียดหยาม
ยิ่งไปกว่านั้น หากจะบอกว่าไทเฮาที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงปูนนี้ หวาดกลัวสิ่งใดมากที่สุด? แน่นอนว่าพระนางกลัวความตาย กลัวโรคภัยไข้เจ็บ หรือการติดโรคบางอย่างที่รักษาไม่หาย
ยามนี้หลังจากฟังคำของฮ่องเต้เหวินอิ้น มันไม่ต่างจากการโดนตบหน้า ฟาดลงกลางศีรษะไทเฮา โรคระบาดนั้นน่ากลัวจริงๆ หากมันลามมาถึงเมืองหลวงดังที่ฮ่องเต้กล่าว ผลที่ตามมาก็เกินจินตนาการ
แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาจะยินยอมได้อย่างไร ความโกรธแค้นในใจของนางจะดับไปได้อย่างไร?
ในเวลานี้ ไทเฮาทรงคิดที่จะรอให้โรคระบาดผ่านพ้นไปก่อน หลังจากนั้นค่อยให้ฮ่องเต้จัดการกับมู่จื่อหลิง
ดังนั้น ในยามนี้ไทเฮาซึ่งหมดหนทางจึงทำได้เพียงตรัสกับฮ่องเต้เหวินอิ้นอย่างเ็าว่า “มู่จื่อหลิงทำให้หย่าเอ๋อร์อับอายขายหน้าเป็อย่างมาก ทั้งยังไม่คิดที่จะเชื่อฟังความประสงค์ของอายเจีย เมื่อภัยพิบัติสิ้นสุดลง หวังว่าฮ่องเต้จะสามารถมอบคำอธิบายให้อายเจียได้”
เกี่ยวกับการกำจัดมู่จื่อหลิง แม้ว่าไทเฮาจะทนรอไม่ไหวแล้ว แต่ยามนี้นางจำต้องรอ
แต่ใครจะไปรู้ ในครั้งนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นได้ให้คำตอบที่ชัดเจนมากต่อพระนาง
ฮ่องเต้เหวินอิ้นโบกพระหัตถ์อย่างน่าเกรงขาม กล่าวโดยชอบธรรมว่า “เสด็จแม่ ประเด็นของฉีหวางเฟยนี้ถือเป็เื่ของวังหลัง อย่างไรก็ตาม ใน่ที่ผ่านมา พระวรกายของเสด็จแม่ไม่สู้ดีนัก ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ ส่วนเื่นี้ปล่อยให้เป็หน้าที่ของฮองเฮาเถิด”
สิ่งใดคือคำตอบที่ชัดเจน? กล่าวตามตรงก็คือ เกี่ยวกับเื่นี้ พระองค์ไม่ขอยุ่ง
เนื่องจากไทเฮาไม่ได้้าสิ่งใดมากไปกว่าการลงโทษฉีหวางเฟย แต่ในพระราชดำรัสของฮ่องเต้เหวินอิ้น ตราบใดที่มันเป็เื่ของผู้หญิง ก็ยังถือว่าเป็เื่ของวังหลัง
เื่วังหลังต้องให้ฮองเฮาเป็ผู้จัดการ
แต่ก่อนที่ไทเฮาจะทันได้โต้ตอบ ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ได้ขอตัวลาจากไปก่อนแล้ว
จนกระทั่งร่างของฮ่องเต้เหวินอิ้นหายไปจากประตู ทันใดนั้น ไทเฮาก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
อะไรคือการต้องไปหาฮองเฮา? ไทเฮามองไปที่ประตูที่ว่างเปล่า นางกำหมัดแน่น แทบจะหงายหลังด้วยความโมโห
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้หมายถึงสิ่งใด? เป็ไปได้ไหมที่ไทเฮาอย่างนางผู้ซึ่งอยู่เหนือคนนับหมื่นจะไม่อาจเทียบกับฮองเฮาได้? ช่างเป็เื่ตลกที่ยิ่งใหญ่เสียจริง!
แต่เื่ตลกก็คือเื่ตลก ความหมายของฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่ต่างจากการปลุกคนช่างฝันด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
ดังนั้นไทเฮาผู้อยู่ท่ามกลางเพลิงพิโรธในเวลานี้จึงทรงตระหนักได้ทันใด
ในแง่ของสถานะ ฮองเฮาไม่อาจเทียบไทเฮาอย่างนางได้ แต่ในแง่ของอุบาย การวางแผน...ในใจของไทเฮา ไม่มีผู้หญิงคนใดในวังหลังที่สามารถเทียบได้กับฮองเฮา
ต้องทราบว่า ในยามปกติฮองเฮานั้นไม่ต่างไปจากแขนซ้ายแขนขวา [2] ของนาง มักจะคอยเอ่ยเตือนอยู่ข้างกายนาง ทั้งยังมีแผนการที่ชาญฉลาดไม่มีสิ้นสุด
กล่าวได้ว่าครั้งล่าสุดที่มู่จื่อหลิงเข้ามาในวัง นางถูกรุมประชาทัณฑ์ในตำหนักโซ่วอันนั้นก็เป็เพราะฮองเฮาที่เอ่ยถึงเื่ของนาง แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะไม่ได้ถูกสังหารโดยตรงในครั้งนั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้มู่จื่อหลิงต้องทนทุกข์ทรมานเป็อย่างมาก
และในครั้งนี้? จุดประสงค์ของไทเฮาไม่เพียงแต่จะทำให้มู่จื่อหลิงต้องทนทุกข์อย่างไม่มีสิ้นสุด แต่ยังต้องทำให้นางสิ้นชีพอย่างน่าสังเวชอีกด้วย
เป็ความคิดที่ดีที่จะขอให้ฮองเฮาช่วยเหลือ
ครั้นไทเฮาทรงใคร่ครวญด้วยความกระตือรือร้นแล้ว พระนางจึงส่งคนไปที่ตำหนักคุนหนิงในทันที เพื่อขอให้ฮองเฮาเสด็จมาช่วยนางวางแผน
แต่ผู้ใดจะไปรู้ ในขณะที่ไทเฮากำลังรอฮองเฮาอยู่ในตำหนักโซ่วอัน นางกลับได้รับอีกข่าวหนึ่งที่ทำให้นางทั้งเวียนหัวและใ
นั่นคือ ฮองเฮาทรงเป็ไข้หวัดอย่างรุนแรงและประชวรนอนติดเตียงมาเป็เวลาหลายวันแล้ว
เมื่อพูดถึงการทำให้มู่จื่อหลิงตายอย่างน่าเวทนา ์รู้ดีว่าอาจไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่้าฆ่ามู่จื่อหลิงมากกว่าฮองเฮา อีกทั้งนางยัง้าฉีกมู่จื่อหลิงออกเป็ชิ้นๆ สับกระดูกของนางจนแหลก
น่าเสียดาย แม้ว่าฮองเฮาจะเกลียดนางมากเพียงใด ก็ไม่อาจทำอะไรได้ นางแตะต้องมู่จื่อหลิงไม่ได้ และนางก็ไม่กล้าต่อกรกับมู่จื่อหลิงอีกต่อไป
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าจู่ๆ การที่ฮองเฮาล้มประชวรไปนั้น มันเกิดจากการถูกกระตุ้นโดยคำพูดที่บีบคั้นหัวใจของมู่จื่อหลิงในวันนั้น
ดังนั้น ความโหดร้ายที่มีเพียงความมุ่งมั่นเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ สิ่งนี้มันน่าระคายเคืองใจมากที่สุด
อยู่ดีๆ อยากบอกว่าป่วยก็คือป่วย มันบังเอิญเกินไป
หากนางไม่เข้าใจอุปนิสัยของฮองเฮา ไทเฮาคงจะเชื่อ นางจึงคิดว่าฮองเฮากล้าขัดขืนนางเหมือนดังฮ่องเต้เหวินอิ้น
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าฮองเฮาทรงประทับอยู่บนเตียงด้วยอาการประชวรจริงๆ หากเป็เมื่อก่อนแม้ว่าฮองเฮาจะประชวรเกินกว่าจะลุกจากเตียง ไทเฮาก็จะไปหาฮองเฮาเพื่อให้นางช่วยแก้ปัญหาเื่ของมู่จื่อหลิง
เพียงแค่ป่วยไม่ได้หมายความว่าพูดไม่ได้ แต่บัดนี้โรคระบาดกำลังระบาดในเมืองข้างเคียง ภัยพิบัติไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม มันอาจแพร่กระจายมายังเมืองหลวงแล้ว และอาจจะแพร่กระจายมายังวังหลวงได้ตลอดเวลา
ดังนั้นการเจ็บป่วยอย่างกะทันหันของฮองเฮาจึงทำให้ทั้งตำหนักคุนหนิงตื่นตระหนก ถึงกับะเืทั้งวัง เหตุการณ์นี้ทำให้ไทเฮารู้สึกใจสั่นจริงๆ อย่าพูดถึงการไปหาฮองเฮา มันอาจทำให้สายเกินไปที่นางจะหลีกเลี่ยง
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ใน่ไม่กี่วันมานี้ไทเฮาทรงมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า อารมณ์ของนางก็แย่ลงและหงุดหงิดขึ้นทุกวัน กระดูกเก่า [3] เช่นนางได้รับผลกระทบพบสมควร
หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงอันหย่าหลานสาวผู้แสนดีอยู่เคียงข้างนาง ไทเฮาคงเหนื่อยจนหมดแรงไปนานแล้ว พระนางโกรธมากจนล้มหมอนนอนเสื่อไม่สามารถลุกขึ้นได้
แต่ว่ากันว่าหลังจากที่องค์หญิงอันหย่าได้รับการช่วยเหลือกลับมาจากประตูนรกด้วยหมอหลวงหลายคน หลังจากพักฟื้นสองสามวัน ร่างกายของนางก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไทเฮาได้ออกคำสั่งมาอีกหลายฉบับ ทุกฉบับล้วนถูกสกัดกั้นกลางทางไปยังจวนฉีอ๋อง ไทเฮาทรงเสด็จไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่พบว่าถูกปฏิเสธ องค์หญิงอันหย่าย่อมเห็นทุกอย่าง
เพียงแต่ว่าองค์หญิงอันหย่าไม่เคยคิดว่า แม้แต่ไทเฮาก็ไม่อาจจัดการกับมู่จื่อหลิงได้
ไม่ ไม่ใช่ว่าไทเฮาไม่อาจจัดการกับมู่จื่อหลิง แต่ไทเฮาไม่อาจจัดการกับหลงเซี่ยวอวี่ ผู้ซึ่งกำลังปกป้องมู่จื่อหลิงอยู่เื้ัได้ต่างหาก
หากถามว่าการที่หลงเซี่ยวอวี่ทำร้ายนางในครั้งล่าสุดนี้ องค์หญิงอันหย่าทรงรู้สึกเกลียดมันไหม? นางย่อมเกลียด แต่สิ่งที่นางเกลียดไม่ใช่หลงเซี่ยวอวี่ แต่เป็มู่จื่อหลิง
ด้วยโรคร้ายแรงนี้ องค์หญิงอันหย่าที่ออกมาจากประตูแห่งชีวิตและความตาย ราวกับได้รับการเกิดใหม่ เต็มไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้
ความรักทำให้คนตาบอด แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะทำร้ายนางมากเพียงใด แต่เมื่อองค์หญิงอันหย่าสืบหาต้นเหตุเื่ราว นางก็ยัง้าสร้างาแเหล่านี้ให้กับมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิง นางจะไม่ปล่อยมันไปแน่ องค์หญิงอันหย่าแอบสบถในใจ
ครั้งนี้เนื่องด้วยอุบัติเหตุขององค์หญิงอันหย่า นางเกือบสิ้นพระชนม์ ไทเฮาทรงดูแลองค์หญิงอันหย่าอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดเวลาเต็มไปด้วยความกังวลที่น่าเบื่อหน่าย
ด้วยเหตุนี้ ไม่นานหลังจากนั้น องค์หญิงอันหย่าทรงใช้โอกาสที่ไทเฮาทรงดูแลเป็อย่างดี ประกอบกับพระพิโรธของไทเฮาไม่สามารถระงับได้ นางตรัสบางอย่างกับไทเฮา
-
กล่าวถึงมู่อี๋เสวี่ย
หลังจากพักฟื้นมาระยะหนึ่ง าแขนาดใหญ่และเล็กบนร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยเกือบจะหายแล้ว แต่าแที่ริมฝีปากของนางทำให้นางเสียโฉมไปอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าอันวิจิตรงดงามที่ดึงดูดสรรพชีวิตทั้งหลาย แต่กลับมีริมฝีปากที่น่ากลัวเกินกว่าจะมองได้ เนื่องด้วยไม่มีริมฝีปากสักเพียงนิดเดียว
พูดกันตามตรงว่าผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง [4]
เื่ที่เสียโฉม ไม่ว่าอย่างไรมู่อี๋เสวี่ยผู้ภูมิใจในความงามของตนเองก็ไม่สามารถยอมรับได้
ไม่ ทุกวันใน่นี้ที่ผ่านพ้นไป ในจวนจงอี้โหวที่หดหู่และสงบมาโดยตลอดมักจะได้ยินเสียงร้องไห้เสียงกรีดร้องของมู่อี๋เสวี่ยเป็ครั้งคราว
ไป๋ซู่ซู่กังวลและอึดอัดใจเกี่ยวกับการเสียโฉมของมู่อี๋เสวี่ย แต่นางก็ยังเพิกเฉยต่อมัน
เพื่อป้องกันไม่ให้มู่อี๋เสวี่ยออกไปข้างนอกอีก ไป๋ซู่ซู่ถึงกับขังมู่อี๋เสวี่ยไว้ในสวนเสวี่ยโดยไม่อนุญาตให้ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น มู่อี๋เสวี่ยก็ยังไม่หยุด นางไม่พอใจอย่างมาก เคียดแค้นชิงชังอย่างยิ่ง
ในวันนี้มู่อี๋เสวี่ยแอบหนีจากจวนจงอี้โหว
มู่อี๋เสวี่ยรู้ดีว่า หากนางไปหามู่จื่อหลิงในสภาพเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางกำลังทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าอีกครั้ง ด้วยในยามนี้นางไม่สามารถเข้าใกล้จวนฉีอ๋องได้
ยามนี้ไป๋ซู่ซู่ไม่สนใจนาง ดังนั้นคนเดียวที่มู่อี๋เสวี่ยไปหาได้ คนที่นางต้องไปหาย่อมเป็การไปพบมู่เจิ้นกั๋วที่อาศัยอยู่ในสวนจิ้งซินเพื่อฟ้องร้อง
แต่เมื่อมู่อี๋เสวี่ยเดินทางเพียงลำพังในระยะทางไกลหลายพันลี้ ด้วยปากที่น่าเกลียด เพื่อไปยังสวนจิ้งซิน นางก็ต้องพบกับความเฉยเมยที่โเี้ยิ่งกว่าไป๋ซู่ซู่
มู่อี๋เสวี่ยเปิดเผยใบหน้าน่าเกลียดของนางที่ปกคลุมด้วยผ้าพันแผลต่อหน้ามู่เจิ้นกั๋ว...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ผู้รับใช้แผ่นดินที่เที่ยงธรรมยากที่จะตัดสินเื่ครอบครัว (清官难断家务事) เป็วลี มีความหมายว่า เื่ครอบครัวเป็เื่ซับซ้อน และยากที่เ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมจะตัดสินถูกผิด ด้วยกฎหมายไม่ได้มีอำนาจทุกอย่าง และมันก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน
[2] แขนซ้ายแขนขวา (左膀右臂) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ผู้ช่วย คนใกล้ชิดที่คอยช่วยเหลือ
[3] กระดูกเก่า (老身子骨) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ร่างกายที่เริ่มแก่ชรา หรือคนแก่
[4] ผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง (人不人鬼不鬼) เป็วลี มีความหมายว่า หน้าตาอัปลักษณ์หรือมีอุปนิสัยไม่ดี นอกจากนี้ยังเป็คำอุปมาสำหรับสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกด้วย ส่วนมากจะเขียนว่า 人不像人,鬼不知鬼