อวิ๋นซีส่ายหน้า “ไม่แน่นอน เื่เหล่านี้พวกเราจะเขียนอธิบายให้ชัดเจนในสัญญา หากท่านยอมจ่ายเงินหมื่นตำลึงเพื่อแลกกับการได้เป็ตัวแทนจำหน่ายของโรงไม้ตระกูลฉินเรา ในระหว่างสองปีนี้ ราคาขายของท่านจำต้องเท่ากับราคาที่ข้าขาย อีกทั้ง ราคาที่ท่านซื้อไปจากข้าก็จำต้องปกปิดไว้เป็ความลับ จะให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องล่วงรู้มิได้”
เจียงเฉิงขบคิด จากนั้นก็มองเตียงสองชั้นและโต๊ะน้ำชาแล้วจึงตอบคำ “ได้ พวกเรามาเขียนสัญญากันเถอะ เพียงแต่ ท่านจำเป็ต้องให้สัญญาแก่ข้าข้อหนึ่ง สินค้าใดๆ ของตระกูลฉินจักต้องให้ตระกูลเจียงของข้าก่อนผู้อื่น”
อวิ๋นซีอืมเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง “เื่นั้นแน่นอนอยู่แล้ว” ต่อให้นางไม่ขายให้ลูกค้ารายอื่น แค่ราคาสามสิบเปอร์เซ็นต์จากเจียงเฉิงนี้ก็นับว่านางได้กำไรมากแล้ว อีกทั้ง เมื่อรวมกับการค้าปลีกในแต่ละเดือน นางก็ถือว่าทำเงินให้คนงานของตนได้แล้วหลายเดือนทีเดียว
ทว่าอย่างไรด้วยเื่นี้ อวิ๋นซีขบคิดดูแล้วก็คิดว่าจำเป็ที่จะต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย ดังนั้น นางจึงให้คนไปเชิญหลัวถงจือและหานอ๋องมาที่นี่ เดิมทีเจียงเฉิงเองก็รู้สึกประหลาดใจมากอยู่แล้ว ทว่าสตรีนางหนึ่งยังถึงกับสามารถเชิญหลัวถงจือและหานอ๋องมาได้อีกด้วย
อวิ๋นซีมองความประหลาดใจของเขา จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากับชายาหานอ๋องนั้นอาจเรียกได้ว่ารู้จักกัน ดังนั้น จะมากน้อยอย่างไรหานอ๋องก็ยังเห็นแก่พระชายา จึงช่วยเหลือบ้างเล็กน้อย”
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้เอง ภายใต้การเป็พยานบุคคลที่สาม อวิ๋นซีเป็ตัวแทนตระกูลฉินในการเขียนสัญญาร่วมกับเจียงเฉิง
เมื่อทำการค้าใหญ่เพียงนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยดี อวิ๋นซีจึงไม่รอช้า จัดงานเลี้ยงรับรองให้หานอ๋อง หลัวถงจือ และเจียงเฉิงเสียทีจวน จวินเหยียนมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองไปยังภรรยาตน สตรีผู้นี้เพียงครู่เดียวก็สามารถหาเงินได้ถึงหมื่นตำลึง หึหึ กาลก่อนโรงไม้ของเขาในหนึ่งฤดูกาลยังไม่สามารถทำรายได้ได้มากเท่านี้
ข้าวมื้อนี้เรียกได้ว่ายินดีปรีดากันทั้งหมด อีกทั้ง นางยังเป็เสมือนสะพานที่ทำให้จวินเหยียนและหลัวถงจือได้สนทนากัน
รอจนทุกคนกลับไปหมดแล้ว อวิ๋นซีจึงได้กลับไปยังสวนชิงเฟิงผ่านช่องทางลับ จากนั้นก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังเฝ้ารอยู่ในห้องมองตนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ฝ่ายชายนั้นราวกับคนบ้า เดินตรงเข้ามากอดนางไว้ทันที “อาซี ฮูหยินของข้าร้ายกาจจริงๆ ”
อวิ๋นซีผลักเขาออก พูดอย่างปลงๆ “สีหน้าท่านเหมือนมีเื่ใด พูดมาเถิด ทางเมืองหลวงเป็อย่างไรบ้างแล้ว”
หากนับย้อนกลับไป เื่ของโจวเวยที่ถูกคนชิงตัวออกไปนั้นก็ได้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว หากเดาไม่ผิด ยามนี้คนเ่าั้ก็น่าจะไปถึงเมืองหลวงแล้ว จึงได้แต่หวังว่าองค์ชายสี่จะไปถึงเร็วกว่าพวกเขา
จวินเหยียนส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวใด”
ในระหว่างที่สองสามีภรรยากำลังคาดเดาไปต่างๆ นานากันอยู่นั้น ในเมืองหลวงแห่งแคว้นหนานเย่าที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็เกิดบางสิ่งขึ้นเช่นกัน
ม้าสีน้ำตาลแดงรูปร่างกำยำปราดเปรียวกำลังพุ่งทะยานไปบนถนนที่มุ่งหน้าสู่ราชสำนัก บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินจากแพรพรรณชั้นดีกำลังสะบัดแส้ควบม้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูพระราชวังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ระหว่างทางที่ผ่านไป ประชาชนทุกคนต่างพากันหลบทางให้
เมื่อไปถึงยังหน้าประตูวัง โอวหยางเทียนหลานก็รีบลงจากหลังม้า ทันทีที่องครักษ์เฝ้าประตูพบเห็นเขา ต่างก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งเพื่อคารวะ ชายหนุ่มไม่มองใครทั้งนั้น และทำเพียงเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนด้านใน
หากว่าในวังสามารถควบม้าได้ละก็ เขาจักต้องขี่ม้าเข้าไปอย่างแน่นอน
เสี้ยวเหวินตี้ที่สวมชุดัสีทองสว่างกำลังพบปะกับบรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลายอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร ทว่า จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังลอดเข้ามา “เสด็จพ่อ ลูกมีเื่จะขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินเสียงก็แค่นเสียงเ็าไปทีหนึ่ง และแสร้งทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน เ้าเด็กบ้านี่ เขาพระราชทานสมรสให้ แต่คนกลับกล้าฝ่าฝืนและหนีงานแต่งไป ทำเอาเขาผู้เป็ทั้งบิดาและกษัตริย์เป็ต้องเสียหน้า มิคาดยามนี้เ้าเด็กเนรคุณจะยังกล้ามาะโเสียงดังอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรอีก ช่างเป็เด็กที่ไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ
โอวหยางเทียนหลานเห็นว่าเสี้ยวเหวินตี้มีท่าทีไม่แยแสตน จึงรีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าพระองค์ยังคงกริ้ว ทว่า ไม่ว่าลูกจะทำอันใดผิดไป แต่บุตรของพี่รองและพี่สะใภ้รอง หรือพระราชนัดดาของพระองค์นั้นมิได้ทำอันใดผิดพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้นยังมิทันได้เกิดออกมา ยังไม่ทันได้เรียกท่านว่าเสด็จปู่สักคำก็เป็ต้องสิ้นใจไปก่อน ด้วยเื่นี้ พระองค์จะยังทำทีเป็ไม่สนพระทัยได้อยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินก็ยืดตัวนั่งตรง “เข้ามาหาเจิ้น [1] ”
โอวหยางเทียนหลานเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษรทันที เขาคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะ “เสด็จพ่อ เื่ที่ลูกทำผิด ไม่ว่าพระองค์จะทรงลงโทษอย่างไร ลูกก็จะไม่พูดคำว่าไม่แม้แต่ครึ่งคำ ทว่าบุตรในครรภ์ของพี่สะใภ้รองนั้นเป็ผู้บริสุทธิ์ ขอเสด็จพ่อช่วยออกหน้าให้พวกเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เสี้ยวเหวินตี้มองดูเ้าสี่ จากนั้นจึงถลึงตาพูด “เื่อันใดกัน เล่าให้เจิ้นฟังทั้งหมด”
เมื่อขุนนางใหญ่ในห้องทรงพระอักษรเห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็มีท่าทีข้ามองท่าน ท่านมองข้าสลับกันไปมาอยู่เช่นนี้ครู่หนึ่งพลางคิดในใจว่า เพียงฮ่องเต้ได้ยินว่าเป็เื่ของหานอ๋องก็ทรงอนุญาตให้องค์ชายสี่เข้าพบทันที หรือว่าในพระทัยของฮ่องเต้ หานอ๋องจะยังคงมีความสำคัญมากอยู่?
“ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อมีพระบัญชาให้รองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์โจวเวยเดินทางไปจากเมืองหลวงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” โอวหยางเทียนหลานเงยหน้ามองพระบิดาของตน ถามเสียงขรึม
เสี้ยวเหวินตี้พยักหน้า “ถูกต้อง เจิ้นให้โจวเวยนำคนไปหานโจวเพื่อไปจับเ้าเด็กอกตัญญูเช่นเ้ากลับมาอย่างไรเล่า และให้พวกเขาคุ้มครองหยวนอวี่กลับเข้าเมืองหลวงมาด้วย ทว่า เื่นี้เกี่ยวข้องกับเด็กในครรภ์ของภรรยาเ้ารองได้อย่างไรกัน? ” ถึงแม้จะยังไม่เคยได้เจออวิ๋นซีคนนั้น แต่เขาก็ได้ให้คนไปสืบประวัติความเป็มาของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้คนจะมาจากตระกูลต่ำต้อย แต่ก็นับเป็สตรีที่มีจิตใจดี มีเมตตา เป็สตรีที่เรียกได้ว่าไม่เลวผู้หนึ่ง
โอวหยางเทียนหลานกล่าวต่อ “เสด็จพ่อ นับแต่ที่พี่รองไปยังหานโจว เขาก็มิใช่พระโอรสของเสด็จพ่ออีกต่อไป ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ผู้อื่นย่อมสามารถมาเหยียบย่ำครอบครัวของพี่รองได้ ใช่หรือไม่ เื่ที่เกิดขึ้นนี้เป็เพราะรองผู้บัญชาการโจวผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เมื่อได้เจอชายาหานอ๋อง คนไม่เพียงไม่คารวะ แต่ยังถึงขนาดชักกระบี่ออกมาพาดลำคอของพี่สะใภ้รอง หากไม่ใช่เพราะลูกและชิวิเข้าขวางได้ทัน ไม่แน่ว่าพี่สะใภ้รองอาจถูกรองผู้บัญชาการทหารองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่สังหารจนศพไม่ครบส่วนอยู่หน้าจวนตนไปแล้ว ทว่าหลังจากนั้น เมื่อได้รู้แจ้งแล้ว เขาก็ยังไม่สำนึกผิด คิดอยากจะสังหารพี่สะใภ้รองเสีย ถึงกระนั้นพี่สะใภ้รองก็ยังสามารถหลบเลี่ยงแบบแมวสามขาได้อยู่บ้าง จึงสามารถหลบกระบี่ที่ถึงชีวิตนั่นไปได้ แต่ก็ยังมิวายได้รับาเ็ที่แขนมาแผลหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น เพราะได้รับความใเข้า สุดท้ายพี่สะใภ้จึงได้แท้งบุตร เด็กคนนั้นเพิ่งจะมีอายุครรภ์ได้เดือนกว่า แต่จู่ๆ ก็สิ้นไปเช่นนี้ ในใจของพี่สะใภ้รองย่อมโศกเศร้าเป็อย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะบิดาของนางมีวิชาแพทย์สูงส่ง เกรงว่าตอนนี้พี่สะใภ้รองคงจะตามเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นไปแล้ว”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินก็กริ้วจนเผลอตบโต๊ะเสียงดัง เขากล่าวเสียงขรึม “มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? ”
“เสด็จพ่อ เื่นี้มิใช่เื่ที่ลูกจะโป้ปดได้ ชิวิซื่อจื่อเป็ประจักษ์พยานที่เห็นเื่นี้กับตาตน ทั้งยังมีประชาชนอีกหลายคนในหานโจวที่สามารถมาเป็พยานในเื่นี้ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเื่นั้นจบลง พี่รองได้มีคำสั่งให้จับโจวเวยขังคุกใต้ดินของจวนอ๋อง ด้วยเพราะเขาเห็นว่าโจวเวยเป็ถึงขุนนางของเสด็จพ่อ ตัวเขาย่อมไม่มีอำนาจที่จะจัดการในเื่นี้ เดิมจึงคิดว่า ยามที่ลูกกลับมาเมืองหลวงก็ให้คุมตัวโจวเวยกลับมาด้วยเพื่อให้เสด็จพ่อทรงตัดสินโทษด้วยพระองค์เอง แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า ในคืนนั้นเอง โจวเวยกลับถูกคนช่วยออกไปแล้ว ทั้งยังสังหารทหารในคุกของจวนอ๋องไปด้วยหลายชีวิต”
“ฝ่าา เื่เช่นนี้จำเป็ต้องสืบให้แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ ชายาหานอ๋องนั้นเป็พระชายาที่ได้สลักชื่อในอวี้เตี๋ยของราชวงศ์แล้ว พระนางได้รับการยอมรับจากฝ่าา ดังนั้น การกระทำเช่นนี้ของโจวเวยย่อมเท่ากับเป็การปองร้ายทายาทของราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสุดก้าวออกมาด้านหน้า เขากล่าวทวงความยุติธรรม
“ฝ่าา เฉินเก๋อเหล่า [2] พูดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ เื่นี้เราจำเป็ต้องสืบให้รู้แน่ชัด เพราะหากเป็เื่จริง นี่ย่อมหมายถึงการลอบทำร้ายทายาทของราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ” สิ่งที่ควรต้องรู้ก่อน ถึงแม้ฝ่าาจะมีองค์ชายห้าพระองค์ และพระราชนัดดาฝ่ายหญิงอีกไม่กี่พระองค์ ทว่าตอนนี้ยังไม่มีพระราชนัดดาฝ่ายชายเลยแม้แต่พระองค์เดียว ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๋ในราชสำนักต่างเป็กังวลกันมานาน เพราะสำหรับราชวงศ์แล้ว ทายาทนั้นจะสำคัญมากเพียงใด ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เจิ้น(朕)คำใช้เรียกแทนตนเองของฮ่องเต้ แปลว่า ตัวเราฮ่องเต้ผู้นี้
[2] เก๋อเหล่า(阁老)เป็คำเรียกแทนอย่างยกย่องต่อขุนนางตำแหน่งใหญ่ในราชสำนัก