สายตาของโจวตงและโจวซีมองตามร่างของหลี่หรูอี้ที่กำลังเดินไปหาโจวโม่เสวียนทีละก้าวๆ พวกเขาตกตะลึงจนดวงตาแทบจะหลุดออกมา
มีผู้ใดบอกพวกเขาได้บ้างว่า เด็กชายหน้าเปื้อนดินที่ไม่รู้ว่ามาจากหมู่บ้านยากจนแห่งใดผู้นี้ก็คือ หมอเทวดาหรือ!?
หลี่หรูอี้ปรายตามองผ้าปูเตียงที่ทำด้วยผ้าไหมสีม่วงปักลายเมฆมงคลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงที่ม้านั่งทรงกลมข้างเตียง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านมาช่วยข้าที จับมือของผู้ป่วยออกมาให้ข้าจับชีพจร”
เจียงชิงอวิ๋นเดินเข้ามาทำตามที่นางบอก เขาจับมือซ้ายของโจวโม่เสวียนให้ยื่นออกมาจากผ้าห่ม
โจวตงและโจวซีเห็นเจียงชิงอวิ๋นทำในสิ่งที่พวกเขาสมควรกระทำก็มีสีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมา แต่จะทำเช่นไรได้ แม้ว่าผู้ที่เป็หมอเทวดาน้อยยังอายุน้อยมาก อีกทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าสกปรกเช่นนั้นอีกเล่า
เมื่อหลี่หรูอี้จับชีพจรแล้วก็จับมือโจวโม่เสวียนมาวางลงตรงหน้าเพื่อตรวจดู จากนั้นก็ให้เจียงชิงอวิ๋นเข้ามาดูด้วย “ในเล็บของผู้ป่วยมีจุดขาวอยู่”
เจียงชิงอวิ๋นมองดูจุดขาวบนเล็บทั้งห้าของมือที่เต็มไปด้วยรอยด้านของโจวโม่เสวียน จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “เกี่ยวข้องอันใดกับอาการป่วยหรือ”
“เกี่ยวข้องแน่นอน ท่านช่วยไปหยิบเทียนมาหน่อยเถิด” หลี่หรูอี้ลุกขึ้นยืน ยื่นหน้าไปที่เตียง จากนั้นก็ก้มตัวลงอาศัยแสงเทียนตรวจสอบเปลือกตาของโจวโม่เสวียน “ท่านดู ใต้ตาของเขาก็มีจุดขาวอยู่ด้วย”
โจวตงและโจวซีสบตากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขาปรนนิบัติโจวโม่เสวียนมานานไม่ใช่เพียงแค่วันสองวัน และไม่ใช่เพียงครึ่งปี แต่ทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ย่อมเห็นทุกอย่างที่ร่างกายของโจวโม่เสวียนอย่างชัดเจน และรู้เพียงว่ามีจุดขาวอยู่ที่เล็บของโจวโม่เสวียนด้วย
ก่อนหน้านี้หมอหลวงและหมอเลื่องชื่อหลายคนก็เคยตรวจให้โจวโม่เสวียนแล้ว ทว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล่าวว่า มีจุดขาวอยู่ที่บริเวณเปลือกตาและเล็บของโจวโม่เสวียน
เหตุใดหมอเทวดาน้อยมอมแมมผู้นี้จึงค้นพบได้ในการตรวจเพียงไม่นานเล่า
ดูท่าทางหมอเทวดาน้อยที่เจียงชิงอวิ๋นพามาจะมีความสามารถอยู่บ้าง
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หมอเทวดาน้อย หลานข้าป่วยเป็โรคอะไรหรือ”
สายตาของหลี่หรูอี้ไม่ได้หยุดมองใบหน้าหล่อเหลาสุดเปรียบของโจวโม่เสวียนนานนัก นางมองไปทางโจวตงและโจวซีก่อนพูดขึ้นว่า “อีกสักครู่ ข้าจะถามพวกเขาเกี่ยวกับเื่บางอย่างของผู้ป่วย”
เจียงชิงอวิ๋นถามขึ้นว่า “ให้ข้าปลุกโม่เสวียนขึ้นมาจะดีกว่าหรือไม่”
“ไม่ต้อง” แววตาของหลี่หรูอี้เจือไปด้วยประกายลึกลับบางอย่าง นางกล่าวเสียงแ่ว่า “โรคที่ผู้ป่วยเป็ค่อนข้างพิเศษ ต้องวินิจฉัยตอนหลับ อย่าเพิ่งปลุกเขาขึ้นมา”
ลุงฝูกล่าวถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ดูท่าทางหมอเทวดาน้อยจะรู้แล้วว่าท่านชายป่วยเป็อะไร”
หลี่หรูอี้พยักหน้าให้ลุงฝู จากนั้นจึงถามโจวตงและโจวซีท่ามกลางสายตาตื่นใของพวกเขา
“ระยะนี้ผู้ป่วยอาเจียนหรือไม่”
“วันนี้ท่านชายอาเจียนไปด้วยขอรับ อาเจียนเอาอาหารเย็นออกมาทั้งหมด” เฮ้อ... อาการปวดท้องของโจวโม่เสวียนกำเริบ หลังจากกินอาหารเย็นไปแล้วจึงอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปได้ไม่นานออกมาจนหมด ที่ผ่านมาเขารักความสะอาดเป็อย่างยิ่ง ทนกลิ่นเหม็นเปรี้ยวบนร่างไม่ไหวจึงต้องไปแช่น้ำถึงเจ็ดถัง ทรมานเช่นนี้จนกระทั่งต้นยามจื่อค่อยหลับไป
“ระยะนี้ผู้ป่วยอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นหรือไม่”
“คือ… ก่อนหน้านี้ท่านชายของพวกเราอารมณ์ดี แต่ระยะนี้ดูไม่ดีนัก อาละวาดทำลายดอกไม้ใบหญ้าในลานจนหมดเลยขอรับ”
โจวตงและโจวซีคิดในใจว่า ทำลายต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้นที่ไหนกัน กระทั่งทุบทำลายสิ่งของ ทุบของเก่า ฉีกหนังสือ ด่าคนด้วยซ้ำ ยังดีที่ไม่ได้ตีคน
“ยามหลับตอนกลางคืนขบฟันหรือไม่”
“ขบฟันด้วยขอรับ” โจวตงและโจวซีคิดในใจว่า แปลกประหลาดยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงทราบเื่ที่ท่านชายนอนขบฟันได้
“ตอนกลางคืนมีสะดุ้งตื่นกลางดึกหรือไม่”
“มีขอรับ มีสะดุ้งตื่นด้วย”
จากนั้นหลี่หรูอี้ก็ถามอีกสิบกว่าคำถาม ในใจวินิจฉัยได้แล้วว่า โจวโม่เสวียนป่วยเป็โรคอะไร ด้วยทักษะทางการแพทย์ในปัจจุบันของแคว้นต้าโจวย่อมไม่อาจรักษาโรคนี้ได้ กระทั่งวินิจฉัยก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เจียงชิงอวิ๋นเห็นหลี่หรูอี้เงียบไปก็หวาดกลัวจนหัวใจเต้นระรัว เขากลัวว่าโจวโม่เสวียนจะเจ็บป่วยระยะสุดท้าย จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า “หมอเทวดาน้อย หลานชายข้าป่วยเป็โรคอะไร เ้าบอกมาตามตรงเถิด”
“หากข้าบอกไปแล้วพวกท่านจะต้องไม่เชื่อแน่นอน เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะให้พวกท่านได้เห็นกับตา”
หากไม่ใช่จวนเยี่ยนอ๋อง หากผู้ป่วยที่นอนอยู่ไม่ใช่ท่านชายผู้กินบรรดาศักดิ์ของราชวงศ์ หลี่หรูอี้คงบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
เจียงชิงอวิ๋นรู้สึกสงสัยจึงถามไปว่า “เ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ตอนนี้เขายังหลับสนิท ท่านต้องทำโดยไม่ให้เขาตื่น จับปากเขาให้อ้าออกแล้วนำเทียนมาส่องดู” หลี่หรูอี้ดึงมือข้างที่ถือเทียนของเจียงชิงอวิ๋นเบาๆ ค่อยๆ เลื่อนเทียนเข้าไปใกล้ใบหน้าของโจวโม่เสวียน
โจวตงและโจวซียื่นหน้าเข้ามาด้วยความเคร่งเครียดสุดเปรียบ กลัวว่าน้ำตาเทียนจะหยดลงบนใบหน้าของโจวโม่เสวียน
หลี่หรูอี้พูดกับโจวตงที่ยื่นหน้าเข้ามาจนแทบจะติดกับเจียงชิงอวิ๋นว่า “เช่นนั้นเ้ามาถือเทียนดีหรือไม่”
“นายท่านเจียง ขออภัยจริงๆ ขอรับ เมื่อครู่ผู้น้อยสะเพร่าไปแล้ว ท่านรีบส่งมาให้ผู้น้อยเถิด” โจวตงรับเทียนมาด้วยท่าทีนอบน้อม
ไหนเลยจะรู้ว่า ดวงตาทั้งสองของหลี่หรูอี้กลับเปล่งประกายเย็นะเื นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อีกสักครู่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เ้าต้องถือเทียนไว้ให้ดี อย่าได้ปล่อยมือจนเทียนตกเป็อันขาด!”
โจวตงหัวใจหดเกร็ง ถึงกับถูกคำพูดของเด็กน้อยทำเอาใจสั่น รีบตอบว่า “ขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นพอจะคาดเดาได้แล้วว่า จะต้องเกิดเื่น่ากลัวอันใดขึ้นเป็แน่ เขารีบทำใจให้สงบแล้วยื่นมือออกไปง้างปากของโจวโม่เสวียน
หลี่หรูอี้กระซิบข้างหูเจียงชิงอวิ๋นว่า “ไม่พอ กว้างอีกหน่อย ต้องกว้างให้เห็นเพดานปากจึงจะใช้ได้”
เจียงชิงอวิ๋นถามว่า “เพดานปากคืออะไร” แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้หยุด เขายังคงง้างปากของโจวโม่เสวียนให้กว้างขึ้นอีก
“ก็คือตรงนี้” หลี่หรูอี้ยื่นศีรษะเข้าไปอีก จากนั้นก็ชี้ไปที่บริเวณเพดานปากของโจวโม่เสวียน
เจียงชิงอวิ๋นคิดในใจว่า ที่แท้ตรงนี้ก็คือเพดานปากนี่เอง หนังสือแพทย์ที่เขาเคยอ่านก่อนหน้านี้ไม่มีบันทึกไว้เลย
หลี่หรูอี้กล่าวกำชับข้างหูเจียงชิงอวิ๋นต่อไป “ท่านจับตาดูที่ใต้เพดานปากของเขาให้ดี อย่าได้ขยับเชียว ใช้เวลาไม่นานก็จะเห็นสิ่งนั้นแล้ว ถึงตอนนั้นท่านจะต้องใเป็แน่”
เจียงชิงอวิ๋นทั้งตื่นเต้นทั้งแปลกใจ คิดในใจว่า ใต้เพดานปากก็คือหลอดลม หลอดลมของโม่เสวียนจะมีเื่น่าหวาดกลัวอะไรได้เล่า
“เทียนเล่มเดียวไม่พอ” หลี่หรูอี้ชี้ไปที่โจวตง “เ้าไปหยิบเชิงเทียนนั้นมาแล้วมานั่งที่ข้างเตียงผู้ป่วย”
โจวตงไปหยิบเชิงเทียนที่สลักลายเป็รูปสัตว์ตัวเล็กๆ ซึ่งมีเทียนอยู่บนนั้นสามเล่ม จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่ข้างเตียงโจวโม่เสวียน เทียนสีขาวสามเล่มกำลังลุกโชน ส่องสว่างจนเห็นใบหน้าของโจวโม่เสวียนและเจียงชิงอวิ๋นได้อย่างชัดเจน เห็นกระทั่งขนบนใบหน้าด้วยซ้ำ
ขณะนี้เองหลี่หรูอี้จึงมีเวลาพยักหน้าให้บิดาและพี่ชาย เป็สัญญาณไม่ให้รบกวนนาง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เป็เวลาเพียงเค่อเดียวแต่รู้สึกราวกับผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ดวงตาของเจียงชิงอวิ๋นจับจ้องอยู่เช่นนั้น แต่ตอนนี้นอกจากเห็นว่าโจวโม่เสวียนหุบปากไปสองครั้งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
หลี่หรูอี้ให้โจวซีมาถือเทียนแทนโจวตง อีกทั้งยังกล่าวกับโจวซีด้วยคำพูดเช่นเดียวกันว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เ้าอย่าได้ปล่อยเทียนให้ตกเป็อันขาด!”
โจวซีใจเต้นตึกตัก แต่ก็ยังตอบไปว่า “ขอรับ”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เป็เวลาสองสามเค่อแล้ว ในขณะที่เจียงชิงอวิ๋นรู้สึกคอเริ่มชาแล้วนั้น จู่ๆ ก็เห็นจุดสีขาวเหมือนเมล็ดงาปรากฏขึ้นในลำคอของโจวโม่เสวียน
จุดสีขาวเหล่านี้ขยับได้ แต่ละจุดขยับเขยื้อนจากล่างขึ้นบน ค่อยๆ ขยายจากเล็กเป็ใหญ่
เจียงชิงอวิ๋นตื่นตะลึงสุดเปรียบ คิดในใจว่าจุดขาวๆ เหล่านี้ก็คือสิ่งที่หลี่หรูอี้กล่าวถึงกระมัง พวกมันคืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงปีนออกมาจากคอของโจวโม่เสวียนได้เล่า!?
เขาจำคำพูดของหลี่หรูอี้ได้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ตกตะลึงจนตื่นตระหนกเป็อันขาด
ในขณะที่จุดสีขาวใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเขียว เจียงชิงอวิ๋นก็เห็นลักษณะของจุดสีขาวได้อย่างชัดเจน ต่อให้เผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติและภัยจากมนุษย์จนครอบครัวตายไปเก้าชั่วโคตรแล้ว ก็ยังถูกจุดสีขาวเช่นนี้ทำเอาใจนขนลุกได้อีก
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้