ร้านวัสดุก่อสร้างเพิ่งเปิดกิจการอย่างเป็ทางการเมื่อวันชาติจีนที่ผ่านมา
ทว่าก่อนเปิดกิจการ วัสดุก่อสร้างที่หลิวหย่งต้องใช้งานล้วนเป็สินค้าจากที่ร้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้่นั้นหลิวเทียนเฉวียน้าตีสนิทหลิวหย่งจึงช่วยอุดหนุนกิจการของร้านอยู่เสมอ... ถ้าหลิวเทียนเฉวียนผู้นี้ไม่แนะนำเด็กนั่งดริงก์ให้กับหลิวหย่ง ไม่ทำเื่ตุกติกบนสัญญา ในฐานะคู่ค้าถือว่าเขาเป็คนใจกว้างคนหนึ่ง
และเพราะสองสาเหตุนี้ทำให้ร้านวัสดุก่อสร้างมีรายได้ั้แ่เปิดกิจการ เดิมทีธุรกิจนี้้าการผลักดัน ่ต้นปี 1985 หาก้าหาร้านวัสดุก่อสร้างที่มีสินค้าครบครันนั้นไม่ใช่เื่ง่าย ทว่า ‘อันเจียวัสดุ’ เปิดกิจการขนาดใหญ่ มีตัวอย่างสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือกสรร ้าสินค้าแบบไหนสามารถเลือกดูตัวอย่างได้ก่อน หลังยืนยันจำนวนที่้าซื้อและจ่ายเงินมัดจำก็จะจัดส่งสินค้าให้อย่างรวดเร็ว
เหล่าพนักงานที่ร้านวัสดุก่อสร้างจ้างมาล้วนมีทักษะการพูดที่ดี รวมถึงไป๋เจินจูและคังเหว่ย อย่าสนใจว่าเมื่อก่อนทั้งคู่เคยทำงานอะไร ฝึกฝนเกี่ยวกับงานมานานเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมรู้จักวัสดุก่อสร้างดีกว่าคนทั่วไปมาก... ขอเพียงบอกขนาดพื้นที่บ้าน ้าใช้กระเบื้องมากน้อยแค่ไหน พวกเขาทั้งสองสามารถคำนวณตัวเลขได้ทันที และยังสามารถนับจำนวนเผื่อความผิดพลาดระหว่างการติดตั้งได้อีกด้วย
คนที่มาซื้อวัสดุก่อสร้างสุดท้ายอาจจะขอให้ ‘หย่วนฮุย’ ของหลิวหย่งช่วยทำการตกแต่งให้ แน่นอนว่าหลิวหย่งไม่รังเกียจงานเล็กๆ แม้โครงการหลักล้านเขาจะเคยทำมาแล้ว แต่งานมูลค่าไม่กี่พันหยวนหรือกระทั่งไม่กี่ร้อยหยวนเขาก็ยินดีรับ ต่อให้จะเป็งานเล็กแค่ไหน ขอแค่ตั้งใจทำย่อมถูกบอกปากต่อปาก
สรุปคือเหมือนอย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไว้ ร้านวัสดุก่อสร้างกับธุรกิจของ ‘หย่วนฮุย’ ช่วยผลักดันกันและกัน อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจเื่การพัฒนาของเผิงเฉิงในยุคสมัยนี้จากการบอกเล่าทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงประเมินความ้าสินค้าของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่พัฒนาอย่างรวดเร็วต่ำเกินไป ร้านวัสดุก่อสร้างทำเงินได้ดีเหลือเกิน เพราะมันไม่ใช่ของว่างริมทางที่ต่อให้ลูกค้ากินเก่งแค่ไหนก็กินได้แค่ไม่กี่ชิ้น และไม่มีใครมาเพื่อซื้อกระเบื้องเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้น
เจอลูกค้าหนึ่งคนเท่ากับได้ยอดขายหนึ่งงาน
เซี่ยเสี่ยวหลานพลิกอ่านรายการบัญชี “พวกเราห้าคนร่วมลงทุนกันทั้งหมด 200,000 หยวน จนถึงตอนนี้ผลประกอบการของร้านอยู่ที่ 600,000 กว่าหยวนอย่างนั้นหรือ?”
เงิน 600,000 กว่าหยวน ใน่ปี 2017 คือเงินค่าตกแต่งภายในของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมืองเอกเท่านั้น
แต่ใน่ต้นปี 1985 ร้านวัสดุก่อสร้างที่สามารถทำผลประกอบการได้ถึง 600,000 กว่าหยวนภายในระยะเวลาสี่เดือนช่างเป็เื่น่าใยิ่งนัก
หนึ่งเดือนเฉลี่ยแล้วขายสินค้าได้แสนกว่าหยวน ผลประกอบการในแต่ละวันคือหลายพันหยวนนั่นเอง
ทำธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างได้กำไรสูงมาก บางร้านสามารถทำกำไรได้ถึง 60% ด้วยซ้ำ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตลาดวัสดุก่อสร้างชั้นสูงในปัจจุบันยังใหญ่ไม่พอจึงตั้งกำไรเอาไว้ค่อนข้างต่ำ โดยอัตรากำไรที่เซี่ยเสี่ยวหลานกำหนดไว้ตอนแรกคือ 30-40% เท่านั้น
หากคิดด้วยอัตรากำไร 30% จากยอดขายทั้งหมด 645,000 หยวน ก็เท่ากับ ‘อันเจียวัสดุ’ ทำกำไรได้ 190,000 หยวน
เงินก้อนนี้ยังไม่ได้หักค่าเช่าร้านและค่าจ้างพนักงาน... อย่างไรก็ตามหลังหักแล้วก็ยังคงเป็จำนวนเงินที่สูงจนน่ากลัว ใครใช้ให้อาคารหลังนี้อยู่หน้าทางเข้าตลาดสะพานเหรินหมิน สิ่งปลูกสร้างขนาดพื้นที่รวม 1,200 ตารางเมตรแห่งนี้ ค่าเช่าต่อปีจ่ายแค่ 3,500 หยวนเท่านั้น
ร้านจ้างพนักงานขายมาทั้งหมด 7 คน แม้ฐานเงินเดือนจะไม่สูง รวมแล้วได้เงินเดือนไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น แต่พวกเขาจะได้เงินส่วนแบ่งยอดขาย หากนำเงินเดือนของคังเหว่ยและไป๋เจินจูมาคิดด้วย รายจ่ายของร้านวัสดุก่อสร้างในแต่ละเดือนคือประมาณ 5,000 หยวน
“หักค่าแรงพนักงาน ค่าเช่า และค่าน้ำค่าไฟ ก็หมายความว่าพวกเราเปิดร้านได้สามเดือน ก็สามารถทำกำไรได้แล้ว 165,000 หยวน?”
นี่ช่างเป็เื่ที่น่าตื่นใครั้งใหญ่ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็คาดไม่ถึง ตลาดวัสดุก่อสร้างของเผิงเฉิง่ปลายปี 1984 ถึงต้นปี 1985 ร้อนแรงถึงขั้นนี้เลยหรือ! แน่นอนว่าคนทั่วไปเปิดร้านวัสดุก่อสร้างเล็กๆ เท่านั้น และหากไม่มีเงินทุนเปิดกิจการถึงสองแสนหยวน ก็คงไม่ได้ผลกำไรมากมายขนาดนี้
การร่วมหุ้นของหลิวหย่งคือสิ่งที่ทำให้กิจการ่แรกของร้านดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การร่วมหุ้นของเส้ากวงหรงคือการมอบแหล่งสินค้าคุณภาพเยี่ยมให้กับร้าน
ความขยันขันแข็งของไป๋เจินจูและคังเหว่ยเองก็มีส่วนช่วยมากเช่นกัน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจผลักดันธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง นี่คือสาเหตุที่ทำให้สามารถทำกำไรได้มากภายในระยะเวลาอันสั้น
“ใช่น่ะสิ ตอนเพิ่งคิดบัญชีเสร็จฉันเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ตอนนี้พวกเราชำระเงินค่าสินค้ากับผู้ขายหมดแล้ว ปีหน้าเราคงสั่งสินค้าเข้าร้านได้ง่ายขึ้น”
จะให้เอากำไรมาแบ่งปันผลทั้งหมดคงเป็ไปไม่ได้ เพราะอย่างไรก็ต้องนำเงินส่วนนั้นไปชำระค่าสินค้าด้วย แต่จากขนาดธุรกิจในปัจจุบัน ร้านวัสดุแห่งนี้สามารถทำกำไรสุทธิได้ประมาณ 600,000 หยวนต่อปีนั่นเอง
ไป๋เจินจูถือหุ้น 25% หนึ่งปีจะได้เงินปันผล 150,000 หยวน!
เธอต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับร้านวัสดุอย่างแน่นอน การเปิดแผงขายของมีข้อจำกัด แต่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างขณะนี้ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจะเกิดการชะลอตัวลง
สิ่งปลูกสร้างที่เผิงเฉิงกำลังเร่งมือพัฒนา ไป๋เจินจูบอกได้เลยว่า การที่เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกทำธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็การตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริงๆ
ความปลื้มปีติเขียนอยู่เต็มใบหน้าของไป๋เจินจูกับคังเหว่ย แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ดีใจมากเช่นกัน
“ฉันคิดว่าหลังผ่านตรุษจีนไปธุรกิจคงดีขึ้นไปอีก เก็บเงินเอาไว้ในบัญชีสักก้อนหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเราก็สามารถแบ่งเงินปันผลย่อยกันได้ พวกเธอสองคนคิดว่าอย่างไร”
ไป๋เจินจูกับคังเหว่ยไม่ขาดเงินปันผลก้อนนี้ คังเหว่ยยังมีเงินเก็บจากธุรกิจขายบุหรี่ ไป๋เจินจูเองก็มีรายได้จากการเปิดแผงขายของหลายร้าน แต่การดูแลร้านวัสดุก่อสร้างจนได้กำไรมากขนาดนี้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกภาคภูมิใจเป็อย่างยิ่ง พวกเขาจึงตอบเป็เสียงเดียวกันว่า “แล้วแต่เลย!”
เชื่อฟังเซี่ยเสี่ยวหลานย่อมประสบความสำเร็จ จุดนี้ทั้งสองคนเห็นตรงกัน
แต่สำหรับเส้ากวงหรง เงินปันผลก้อนนี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก
สหายเส้ากวงหรง นับจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 1985 เขาติดหนี้คังเหว่ยรวมทั้งสิ้นสามหมื่นกว่าหยวน
ั้แ่ค่าตกแต่งบ้าน จนถึงเงินลงทุนในร้านวัสดุอีกสองหมื่นหยวน ล้วนเป็เงินที่เขายืมคังเหว่ยมาทั้งสิ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าควรแบ่งเงินจำนวนเต็มออกมาเพื่อปันผล ซึ่งก็คือ 100,000 หยวน สหายเสี่ยวเส้าถือหุ้น 12% ครั้งนี้จะได้รับเงิน 12,000 หยวน นั่นทำให้เขาสามารถคืนเงินให้กับคังเหว่ยได้ก่อนก้อนหนึ่ง
เส้ากวงหรงที่อยู่ปลายสายรู้สึกดีใจมาก “ฉันจะคืนให้คังจื่อก่อนหนึ่งหมื่นหยวน และเก็บไว้ใช้่ตรุษจีนอีกสองพันหยวน พี่สะใภ้ ขอบคุณพวกเธอมากที่ยอมให้ฉันร่วมหุ้นด้วย!”
เงินที่ใช้ร่วมหุ้นเป็เงินจากการหยิบยืมคังเหว่ย อย่างไรก็ตามเขากับคังเหว่ยเป็เพื่อนกันมาั้แ่เด็ก ทั้งสองคนไม่จำเป็ต้องพูดคำว่าขอบคุณให้กัน แต่สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานนั้น ถ้าไม่ได้โจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานจะให้เขาร่วมหุ้นด้วยอย่างนั้นหรือ
หากแบ่งกำไรทั้งหมดของปีนี้ เส้ากวงหรงจะได้เงินสองหมื่นหยวน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่านี่เป็แค่เงินส่วนหนึ่งเท่านั้น เส้ากวงหรงเองก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรเื่ทำธุรกิจเขาก็สู้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ แม้แต่คังเหว่ยเขาก็สู้ไม่ไหว ดังนั้นเขาย่อมเลือกเชื่อฟังคนฉลาด
ปลายปีเช่นนี้ ทุกหน่วยงานต่างก็ยุ่งวุ่นวายด้วยกันทั้งสิ้น คนที่ทำงานเหมือนวัยเกษียณอย่างคังเหว่ยนั้นไม่นับ แต่เส้ากวงหรงไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้ ทว่าเขาไม่ต้องมาถึงเผิงเฉิง เพราะอย่างไรก็คงได้เห็นเงินสดแค่ 2,000 หยวนเท่านั้น เนื่องจากที่เหลือต้องคืนให้คังเหว่ย
เส้ากวงหรงครุ่นคิด ดูจากความรวดเร็วในการทำกำไรของร้านวัสดุก่อสร้าง เงินที่เขาติดหนี้คังเหว่ยใช้เวลาอีกเพียงครึ่งปีก็คงสามารถจ่ายคืนได้หมด
เซี่ยเสี่ยวหลานคาดไม่ถึงว่าร้านวัสดุจะทำเงินปันผลได้เร็วขนาดนี้ อีกทั้งเงินปันผลคราวนี้ทำให้เธอถอนทุนกลับคืนมาถึงครึ่งหนึ่ง เท่ากับได้เงินทุนมาอยู่ในมือเพิ่มอีก 25,000 หยวน
จะเอาไปใช้ปรับปรุงบ้านที่สือช่าไห่ หรือจะนำไปลงทุนขยายธุรกิจดี?
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังใช้ความคิดของตน ขณะเดียวกันไป๋เจินจูที่อยู่ข้างๆ ก็ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง
“พี่ไป๋ พี่มีอะไรอยากพูดหรือ?”
ไป๋เจินจูถือแผนที่มาสองใบ ใบหนึ่งคือแบบภาพพิมพ์ ส่วนอีกใบเป็แผนที่วาดมือ
แผนที่แบบภาพพิมพ์คือแผนที่เมืองเผิงเฉิงใน่ปี 1980 ส่วนแบบวาดมือคือเผิงเฉิงในปี 1985 เมื่อนำแผนที่สองแผ่นนี้มาเปรียบเทียบกันสามารถเห็นความแตกต่างของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เปลี่ยนแปลงไปมากได้อย่างชัดเจน
“เสี่ยวหลาน ดูภาพพวกนี้สิ สิ่งที่พวกเราอยู่เป็แค่ตลาดส่วนหนึ่งของเผิงเฉิงเท่านั้น ยังมีพื้นที่ว่างเปล่าอีกมากมายที่กำลังรอการพัฒนาอยู่ เงินพวกนี้ทิ้งเอาไว้คนอื่นก็คงมาคว้าเอาไป สู้พวกเราคว้าไว้เองไม่ดีกว่าหรือ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจทันที ไป๋เจินจูอยากเปิดร้านสาขา!