ไม่มีผู้ใดที่รั้งเย่เฟิงได้อีกแล้ว แน่นอนว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ครั้งนี้ฉวนเถี่ยจู้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในยามวิกฤตที่เลวร้ายที่สุด มิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคนจึงเริ่มแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภายภาคหน้าต้องมีโอกาสได้พบกันอีกแน่นอน
“เ้าทำลายหอการค้าเทียนจี๋เช่นนี้ ไม่กลัวอีกฝ่ายมาเอาคืนหรือ?”
หลังจากฉวนเถี่ยจู้แยกตัวไป จึงหลงเหลือเพียงเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ แต่จู่ ๆ กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถามขึ้นมาเช่นนั้น
“ต่อให้ข้าไม่ทำลายหอการค้าเทียนจี๋ เ้าคิดว่าพวกเขาจะปล่อยข้าไปหรือ?” เย่เฟิงย้อนถามกงซุนหลิงเอ๋อร์พลางยิ้มจาง ๆ
เมืองลอยฟ้าคือดินแดนแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในเมื่อพวกเขาคิดร้ายต่อเย่เฟิง เช่นนั้นแม้เย่เฟิงหนีรอดมาได้ แต่พวกเขาต้องคิดหาวิธีตามหาเย่เฟิงและลงมือสังหารอย่างแน่นอน
ดังนั้นเย่เฟิงจึงจัดการอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งความปรานีใด ๆ และทำให้ดีที่สุดในคราเดียว
“มันก็จริงของเ้า ด้วยนิสัยของคนพวกนี้ ต่อให้เ้าไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็หาวิธีฆ่าเ้าอยู่ดี แต่การที่เ้าทำลายหอการค้าเทียนจี๋ก็ยิ่งทำให้ความคิดของพวกเขาแน่วแน่ขึ้นไปอีก” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าว
“พวกเรารีบเดินทางเถอะ ข้ากล้ารับประกันเลยว่าคนของเมืองลอยฟ้าจะมาเยือนอาณาจักรจ้าวในอีกสามวัน” เย่เฟิงกล่าว แม้การเดินทางไปยังเมืองลอยฟ้าในครั้งนี้จะอันตราย แต่เป้าหมายของเขาที่ตามหาหญ้าหนวดัก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี
นอกจากหญ้าหนวดัแล้ว เย่เฟิงยังได้เกราะทองคำกิเลนและจูกั่วหมื่นปีมาด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่เฟิงยังขโมยเรือรบอินทนิลทองคำของตระกูลอู๋มาอีก ซึ่งเป็อาวุธสังหารที่ทรงอานุภาพอย่างมาก
เมื่อมีเรือรบอินทนิลทองคำ แม้ต้องเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด เย่เฟิงก็มั่นใจว่าจะต้องจัดการอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
หากอู๋เจ๋อไม่ยุ่งเื่ที่ไม่ควรยุ่ง ไม่คิดร้ายต่อเย่เฟิง ก็คงจะไม่มีทางเกิดการเข่นฆ่าในเทือกเขาลอยฟ้าขึ้นอย่างแน่นอน
หากหวงเหยียนิไม่ละโมบโลภมากและไม่คิดลอบสังหารเย่เฟิง หอการค้าเทียนจี๋ก็คงไม่มีทางถูกทำลายเช่นนี้ ทุกคนต่างเคียดแค้นเย่เฟิง แต่ก็ทำได้เพียงตำหนิคนเ่าั้ที่เป็ฝ่ายยั่วยุเย่เฟิงก่อน
หนึ่งวันผ่านไป ชายหญิงสองคนปรากฏตัวที่นอกประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนแห่งเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว สองคนนี้คือเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์
“ศิษย์พี่เย่กลับมาแล้ว!”
เมื่อศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเห็นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์กลับมาก็เผยสีหน้าดีใจ ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
ตอนที่เย่เฟิงคว้าอันดับที่หนึ่งในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เขาก็กลายเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งผู้เลื่องชื่อของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนไปแล้ว ต่อมาเย่เฟิงยังคว้าอันดับที่หนึ่งในงานชุมนุมหวงปั่งแห่งอาณาจักรจ้าว จนยืนอยู่จุดสูงสุดของคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีของอาณาจักรจ้าว ทุกเื่ราวทำให้ผู้คนตะลึงงัน ดังนั้นเย่เฟิงจึงกลายเป็บุคคลที่เหล่าศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างเรียกเขาว่า ศิษย์พี่เย่
“ศิษย์พี่เย่กลับจากเมืองลอยฟ้าแล้ว เขาต้องมาพร้อมกับยารักษาท่านเ้าสำนักเป็แน่ เขาต้องรักษาท่านเ้าสำนักได้อย่างแน่นอน”
บัดนี้เฒ่าจิงาเ็สาหัส บรรยากาศอึมครึมจึงปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทุกคนต่างฝากความหวังที่จะรักษาเฒ่าจิงให้หายไว้กับเย่เฟิง
เย่เฟิงพยักหน้าพลางยิ้มให้กับศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเ่าั้ที่มองตนด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา จากนั้นเขาและกงซุนหลิงเอ๋อร์มุ่งไปหาเฒ่าจิงทันที
ไม่นานข่าวที่พวกเย่เฟิงกลับมาก็แพร่ไปถึงหูของฉินเจิ้นถิงและบุคคลระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ตอนที่พวกเย่เฟิงมาถึงห้องที่เฒ่าจิงอยู่ ฉินเจิ้นถิงและคนอื่น ๆ ก็มาถึงก่อนแล้ว
“เย่เฟิง ตามหาหญ้าหนวดัเจอหรือไม่?” ฉินเจิ้นถิงเห็นเย่เฟิงกลับมาอย่างปลอดภัยก็ระบายยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ สถานการณ์ของเฒ่าจิงร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ จำต้องรักษาโดยเร็ว
“ข้าได้มาแล้ว ตอนนี้เฒ่าจิงเป็อย่างไรบ้าง?” เย่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วงเฒ่าจิง แต่หัวหน้าพรรคเทียนจีที่อยู่ข้าง ๆ ฉินเจิ้นถิงเหยียดยิ้มดูถูก เขารอคอยว่าเย่เฟิงจะต้องรักษาเฒ่าจิงผิดพลาด เวลานั้นเขาจะได้มีข้ออ้างลงโทษเย่เฟิง
“เหมือนเดิม แต่เส้นลมปราณได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงไม่มีสมุนไพรใดรักษาได้ เืในกายถูกผลาญไปกว่าครึ่ง หากรักษาไม่ทันเวลา เกรงว่าตบะต้องถูกทำลายสิ้นเป็แน่”
ฉินเจิ้นถิงได้ยินเย่เฟิงซักถามสถานการณ์ของเฒ่าจิง เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยความกังวลเช่นนั้น
“พาข้าไปหาเขา” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ตามเหล่าบุคคลระดับสูงเข้าไปในห้องของเฒ่าจิง
ภายในห้อง เฒ่าจิงยังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเืและหายใจรวยริน คล้ายเจ็บป่วยจนเกินเยียวยา
หลังจากเย่เฟิงตรวจสอบอาการของเฒ่าจิง เขาพบว่าอาการของเฒ่าจิงรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แม้ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือหลายคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะผนึกเส้นลมปราณแล้ว ทว่าเมื่อไม่ได้รักษาให้ทันท่วงที อาการจึงแย่ลง เส้นลมปราณเสียหายรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาในเร็ววัน เฒ่าจิงอาจจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีก
“เย่เฟิง เขาเป็อย่างไรบ้าง? เ้าแน่ใจว่าจะรักษาเฒ่าจิงได้?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ หัวหน้าพรรคคนอื่น ๆ นอกจากหัวหน้าพรรคเทียนจีก็เผยสีหน้ารอคอยเช่นกัน
“พูดยาก ข้า้าห้องที่สงบเงียบ ห้ามให้ใครรบกวนเด็ดขาด จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ภายในสามวันนี้แหละ” เย่เฟิงกล่าวกับฉินเจิ้นถิง
“สามวัน เ้าหนูไม่ใช่ว่าถ่วงเวลาหรอกหรือ ถ้ารักษาท่านเ้าสำนักไม่ทันกาล ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!” หัวหน้าพรรคเทียนจีกล่าวพลางเหยียดยิ้มเ็า
“ท่านไม่จำเป็ต้องห่วงเื่นี้ แต่ก็ตามที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ หากท่านมีวิธีที่ดีกว่านี้ ข้าจะถอยให้ท่านรักษาเฒ่าจิงแทน!” เย่เฟิงกล่าว ขณะมองหัวหน้าพรรคเทียนจีพลางขมวดคิ้ว
“หึ!” หัวหน้าพรรคเทียนจีแค่นเสียงเ็า “ข้าไม่อยากเถียงกับเ้า แต่ข้ารอดูเลยว่าเ้าจะรักษาท่านเ้าสำนักได้หรือไม่”
เมื่อกล่าวจบ หัวหน้าพรรคเทียนจีก็เงียบไม่พูดอะไรต่อ เพียงยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ก็เท่านั้น
“ในสำนักไม่มีห้องไหนที่สงบเงียบไปกว่าห้องของอาจารย์ เย่เฟิง เ้าอยู่ที่นี่แหละ อีกสามวันพวกเราจะรอข่าวดีจากเ้า” ฉินเจิ้นถิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“ได้!” เย่เฟิงพยักหน้า ในความเป็จริงหลังจากเย่เฟิงได้รับหญ้าหนวดั เขาก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะรักษาเฒ่าจิงได้ แต่พออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขากลับไม่แสดงท่าทีผ่อนคลายเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นสงสัย
จากนั้นฉินเจิ้นถิงและคนอื่น ๆ ออกจากห้องของเฒ่าจิงไป กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ออกไปเช่นกัน ภายในห้องจึงเหลือเพียงเย่เฟิงและเฒ่าจิงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
ไม่นานฉินเจิ้นถิงก็วานคนไปส่งวัตถุดิบเพื่อให้เย่เฟิงเตรียมยารักษา
“ตาเฒ่า ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปข้าควรทำเช่นไรดี?”
วัตถุดิบรวบรวมไว้เรียบร้อย เย่เฟิงจึงเอ่ยถามราชันมารชื่อเทียนไปเช่นนั้น ถึงอย่างไรเขาตัวเดียวก็ไม่สามารถรักษาเฒ่าจิงได้
“ตามสูตรนี้ ใช้เวลาแค่ 49 ชั่วยาม เขาก็ฟื้นแล้ว” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว ก่อนจะเงียบไป
“เฮ้อ!” เย่เฟิงถอนหายใจยาว เขาพบว่าตอนนี้ราชันมารชื่อเทียนปล่อยให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว บางทีอาจ้าฝึกให้เขาเป็คนมากความสามารถ
เย่เฟิงอ่านความทรงจำที่ราชันมารชื่อเทียนเคยถ่ายทอดให้ ซึ่งเขาใช้เวลาเรียนรู้ถึงครึ่งชั่วยาม จากนั้นเย่เฟิงเริ่มปรุงยาด้วยประสบการณ์คราวก่อนที่ปรุงยารักษาให้กับองค์าาจ้าว เมื่อเทียบกับการสร้างลวดลายเทวะ การปรุงยานั้นย่อมง่ายกว่ามาก
สิ่งสำคัญคือทำความเข้าใจสูตรปรุงยา ตราบใดที่เข้าใจสูตรทั้งหมด เช่นนั้นการปรุงยาก็ไม่ใช่เื่ยากแล้ว
อันดับแรกเย่เฟิงคัดเลือกวัตถุดิบแต่ละชนิด จากนั้นบดให้เป็ผงและกลั่นด้วยวิธีการบางอย่างเพื่อให้พวกมันบริสุทธิ์
หลังจากกลั่นให้บริสุทธิ์ วัตถุดิบเ่าั้ก็เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียม ก่อนจะนำไปผสม จากนั้นเย่เฟิงเริ่มผสมตามปริมาณในสูตร แม้การปรุงยาจะง่าย แต่ก็มิอาจประมาทในขั้นตอนการผสมได้ เพราะเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เช่นนั้นจะนำไปสู่ความล้มเหลว
หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ประสิทธิภาพของตัวยาจะเปลี่ยนไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดพิษและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับผู้ใช้
เย่เฟิงใช้เวลาไปกับขั้นตอนการผสมเกือบสองชั่วยาม เขาปรุงยาออกมาได้สี่ส่วนไว้ใช้รักษาเฒ่าจิงสำหรับ 49 ชั่วยาม จากนั้นเย่เฟิงป้อนยาให้เฒ่าจิง จู่ ๆ พลังยาแผ่ซ่านไปทั่วท้องของเฒ่าจิง ก่อนจะกระจายไปทั่วเส้นลมปราณและไหลเวียนทั่วสายเื เพื่อหล่อเลี้ยงทุกองค์ประกอบของร่างกายเฒ่าจิง
เมื่อดูจากภายนอก ร่างเฒ่าจิงถูกแสงสีเขียวอ่อนปกคลุมหนึ่งชั้น นั่นก็คือผลพวงมาจากประสิทธิภาพของยาที่ทรงพลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังยาสามารถรักษาอาการาเ็ของเฒ่าจิงได้แล้ว
“ประสิทธิภาพของยานี้ทรงพลังตามคาด!” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองใบหน้าของเฒ่าจิงที่กลับมามีสีเืให้เห็นอีกครั้ง
แม้หญ้าหนวดัจะเป็ยาศักดิ์สิทธิ์และมีสรรพคุณในการฟื้นคืนชีพ แต่ที่กล่าวมานั้นก็เพื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้เท่านั้น ส่วนเฒ่าจิงอยู่ขั้นยุทธ์เทวะ ซ้ำยังถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสามคนโจมตีจนเส้นลมปราณได้รับความเสียหายหลายจุด เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของหญ้าหนวดัจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลกับอาการาเ็ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ
แต่ราชันมารชื่อเทียนก็เตรียมสูตรยานี้ไว้เพื่อช่วยเฒ่าจิง เพราะว่าสารสกัดจากหญ้าหนวดัมีประสิทธิภาพมากกว่าสมุนไพรทั่วไป
เมื่อเย่เฟิงเห็นประสิทธิภาพยารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ใช้โอกาสนี้โคจรเก้าวัชรหุนหยวน ก่อนจะใช้พลังหุนหยวนช่วยเฒ่าจิงดูดซับพลังยา
ผ่านไปสองวัน เย่เฟิงเฝ้าอยู่ข้างกายเฒ่าจิงไม่ห่างหาย ทุกวันจะคอยป้อนยาสองเวลา เพื่อให้เฒ่าจิงดูดซับพลังยาได้ดียิ่งขึ้น และทุกครั้งหลังจากยาออกฤทธิ์ เย่เฟิงจะใช้เคล็ดวิชาของตนเข้าช่วยเหลือการดูดซับพลังยา
