มหาสมุทรวันสิ้นโลกตั้งอยู่บนชายขอบแผ่นดินใหญ่ ไม่มีใครรู้ได้ว่าอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรวันสิ้นโลกคือสถานที่ใด เคยมีคนกล่าวว่ามหาสมุทรวันสิ้นโลกกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ในยุคสมัยโบราณนานมาแล้ว มหาสมุทรวันสิ้นโลกสามารถเดินทางไปสู่แผ่นดินอื่น สามารถซื้อขายทำการค้ากันในมหาสมุทร เมืองวันสิ้นโลกก็คือโบราณสถานที่หลงเหลือตกทอดมาจากยุคสมัยนั้น น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีวิธีใดสามารถพิสูจน์เื่นี้แล้ว
การมีอยู่ของอีกแผ่นดินหนึ่งไม่ใช่ความลับอันใด เพียงแต่ว่าตอนนี้แผ่นดินนี้ได้กลายเป็ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่สามารถรับรู้ถึงการเรียกขานของเอกภพคู่ขนาน โลกนี้ไม่สามารถดูดซับพลังปราณของอาณาเขตดินแดนปฐมภูมิได้อีกต่อไป และเส้นทางการเข้าถึงแผ่นดินอื่นก็ถูกปิดผนึกลงแล้วเช่นกัน การเริ่มต้นเดินทางจากมหาสมุทรวันสิ้นโลกก็ไม่สามารถบรรลุที่จะไปถึงแผ่นดินอื่นได้
ตำนานเล่าขาน คุนเผิง สัตว์ดุร้ายาเคยไปยังชายแดนของพรมแดนอีกแผ่นดินหนึ่ง ที่นั่นมีสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นไว้ คุนเผิงพึ่งพาร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลังและพลังเหนือธรรมชาติอันเป็พร์ฉีกกระชากสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่นั้น แต่กลับถูกปิดล้อมโจมตีโดยบรรดายอดฝีมือระดับสูงระดับพระกาฬของแผ่นดินนั้น ภายใต้อาการาเ็สาหัส คุนเผิงฉีกกระชากสิ่งกีดขวางอีกครั้งแล้วหนีกลับมามหาสมุทรวันสิ้นโลก ผลสุดท้ายเสียชีวิตลงเพราะอาการาเ็สาหัส ทุกคนล้วนเชื่อกันว่าภายในสถานที่พักขนาดใหญ่ของคุนเผิงจะต้องมีแผนที่เส้นทางไปยังอีกแผ่นดินหนึ่งอย่างแน่นอน สิ่งนั้นเป็สิ่งที่กลุ่มอำนาจหลักต่างๆ ้าแย่งชิงมาให้ได้
ดังนั้น ทันทีที่สถานที่พักของคุนเผิงปรากฏขึ้น กลุ่มอำนาจหลักต่างๆ ก็พากันแห่แหนเข้ามาเพื่อการแย่งชิงทันที
……
จ้านอู๋มิ่งเพิ่งมาถึง บรรยากาศในเมืองวันสิ้นโลกก็ผิดปกติทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาและคนของตระกูลหนานกงที่มองเห็นจ้านอู๋มิ่ง แต่ละคนดวงตาแข็งกร้าวราวกับจะพ่นไฟ แค้นที่ไม่สามารถเข้าไปใช้มีดสับไม่ยั้งจนอีกฝ่ายเสียชีวิต แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งมิได้อยู่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ข้างกายเขายังมีคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานอีกกลุ่มใหญ่ อีกทั้งยังมีตัวประหลาดเฒ่าของสำนักบริบาลเดรัจฉานนั่งบัญชาการอยู่ ก่อนที่แต่ละสำนักใหญ่จะเผชิญหน้ากันอย่างเป็ทางการ คนพวกนี้ทำได้แค่กลอกตามองขวางเท่านั้น แอบลอบวางแผนคิดร้าย เมื่อเข้าสู่มหาสมุทรวันสิ้นโลกแล้วจะกำจัดไอ้หนูที่หยิ่งยโสไร้ยางอายผู้นี้อย่างไร
“ศิษย์น้องเล็ก ดูเหมือนเ้าจะไม่ค่อยได้รับการต้อนรับที่ดีเลยนะ!” ศิษย์พี่คนหนึ่งล้อจ้านอู๋มิ่งเล่น
“ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเดินเหินไม่ระวังให้ดี ไปเหยียบเอาหางเล็กๆ ของพวกมันเข้า พวกมันเลยแค้นมาตลอดน่ะ!” จ้านอู๋มิ่งยักไหล่ ยกนิ้วกลางใส่สำนักกระบี่ิญญาและคนของตระกูลหนานกงครั้งหนึ่ง ะโยียวนขึ้นว่า “พวกเด็กน้อย ข้าพี่ชายมาแล้ว พวกเ้ายินดีต้อนรับหรือไม่?”
“ข้าจะรอคอยเ้าที่มหาสมุทรวันสิ้นโลก!” ชายหนุ่มคนหนึ่งของตระกูลหนานกงมองจ้านอู๋มิ่งอย่างเ็าครั้งหนึ่ง ทำท่าทางปาดคอคราหนึ่ง แค่นเสียงเ็าพูดขึ้น
“ว้าว…ข้ากลัวแทบตายแล้ว เ้าเป็คนของตระกูลหนานกงจริงๆ หรือ? เ้าจะล้างก้นจนสะอาดรอข้าจริงๆ หรือ? ถ้าเช่นนั้นพี่ชายก็จะไม่ทำให้เ้าผิดหวังแล้ว” จ้านอู๋มิ่งส่ายก้นอย่างไร้ยางอายคราหนึ่ง เสแสร้งทำสีหน้าท่าทางหวาดกลัวคราหนึ่ง
“ชิงเอ๋อ มิอาจเสียมารยาท รีบมาพบท่านผู้าุโเยว่หลิงซานก่อน” ชายหนุ่มจากตระกูลหนานกงโกรธจัด กำลังจะก่นด่าตอบโต้ กลับถูกชายชราเคราขาวผู้หนึ่งะโเรียกไว้ และชี้ไปที่ชายชราร่างผอมของสำนักบริบาลเดรัจฉานซึ่งอยู่ไม่ไกลทางด้านหลังจ้านอู๋มิ่ง
“ผู้เยาว์ หนานกงจี้ฉางน้อมพบท่านผู้าุโเยว่ นามของท่านผู้าุโ ผู้เยาว์ได้ยินั้แ่เด็กดุจเสียงอสนีบาตกึกก้องฟาดกรอกหู คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านผู้เฒ่ากลับเป็ผู้นำคณะเดินทางมาด้วยตนเอง ผู้เยาว์โชคดีอย่างยิ่งที่สามารถพบท่านผู้าุโในที่นี้” ชายชราเคราขาวตระกูลหนานกงผู้นั้นมาถึงเบื้องหน้าชายชราร่างผอมของสำนักบริบาลเดรัจฉาน คำนับแสดงการคารวะด้วยความเคารพนับถือยิ่งนัก
จ้านอู๋มิ่งประหลาดใจอย่างยิ่ง ตระกูลหนานกงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ความอาฆาตแค้นของตนกับตระกูลหนานกงไม่ใช่น้อยๆ เลย คนหนุ่มของตระกูลหนานกงล้วนมีท่าทีการแสดงออกเช่นนี้แล้ว แต่ว่าผู้เฒ่าของตระกูลหนานกงกลับสามารถเสแสร้งแกล้งแสดงความจริงใจออกมาได้มากถึงขนาดนี้ มิอาจไม่พูดว่าวิทยายุทธ์บนใบหน้าของตระกูลหนานกงไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าร่างเลยจริงเชียว!
“โอ้ หนานกงจู ปีศาจเฒ่านั่นสุขภาพยังแข็งแรงดีอยู่หรือ?” เยว่หลิงซานไม่ใส่ใจความคิดของตระกูลหนานกง ถามกลับอย่างสุภาพคำหนึ่ง
“ท่านผู้เฒ่ายังคงสบายดี”
“ฝากคำทักทายเขาแทนเราผู้ชราสักคำ ไม่ได้พบกันหลายร้อยปีแล้ว ไม่ออกมาเที่ยวเล่นเสียบ้าง” น้ำเสียงเยว่หลิงซานเรียบง่ายยิ่ง สีหน้าฉายแววหวนคำนึงถึงอดีตขึ้นมาคราหนึ่ง
สีหน้าหนานกงชิงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ฟังจากคำสนทนาโต้ตอบของหนานกงจี้ฉางและเยว่หลิงซาน ชายชราผู้นี้และท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตนกลับเป็คนรุ่นเดียวกัน เมื่อหลายร้อยปีก่อนก็มีสายสัมพันธ์เก่าแก่กับท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตนแล้ว ไยมิใช่บรรลุขั้นจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แล้ว? การแสดงออกแปรเปลี่ยนเป็เคารพนับถือขึ้นมาทันใด รีบแสดงการคารวะทันที
“เ้าก็มิต้องเคารพเกรงกลัวและวิตกกังวล เราผู้ชราไม่สนใจเื่บาดหมางระหว่างผู้เยาว์เสมอมา แน่นอน หากมีผู้ใดละเลยมิสนใจศักดิ์ฐานะของตน เราผู้ชราก็จะไม่สนทนาด้วยเหตุผลแล้ว” เยว่หลิงซานพูดอย่างเฉยชาคำหนึ่ง มิรอให้หนานกงจี้ฉางได้พูดจา ก็เดินตามจ้านอู๋มิ่งและคนอื่นจากไปอย่างสบายๆ แล้ว
คนของสำนักกระบี่ิญญามิได้เข้ามาทักทายเยว่หลิงซาน แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกด้วยการมองอย่างเป็ศัตรูมากเกินไป คำพูดของเยว่หลิงซานเมื่อครู่ พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ครั้งนี้สาเหตุที่สำนักบริบาลเดรัจฉานเชิญท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่หลิงซานนำคณะเดินทางด้วยตนเอง ก็เพราะว่าจ้านอู๋มิ่งก็มามหาสมุทรวันสิ้นโลกด้วยเช่นกัน ทั้งคนระดับบนและล่างของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนเห็นจ้านอู๋มิ่งเป็สมบัติวิเศษหัวแก้วหัวแหวน เกรงกลัวจะเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย สำหรับสำนักที่มีพื้นฐานมาจากสัตว์อสูรจิติญญาสำนักหนึ่ง พลันปรากฏลูกอ่อนสัตว์อสูรเทพศักดิ์สิทธิ์ อสูรจิ้งจอกจิติญญาเก้าหางขึ้นมาตัวหนึ่งอย่างกะทันหัน แม้แต่ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีก็ยังไม่เคยสัตว์อสูรเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อน จ้านอู๋มิ่งถึงกับสามารถค้นคว้าเป็ผลสำเร็จออกมา จากมุมมองด้านคุณค่าแล้ว คุณค่าของจ้านอู๋มิ่งเหนือกว่าจิ้งจอกจิติญญาเก้าหางตัวนั้นไปแล้ว สำนักบริบาลเดรัจฉานไหนเลยจะสามารถละเลยความสำคัญของจ้านอู๋มิ่งได้
ถึงแม้สำนักบริบาลเดรัจฉานจะไม่ใช่กลุ่มอำนาจในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนพวกเขาเข้าใจกระจ่างยิ่ง พฤติการณ์หลังจากการคัดเลือกใหญ่ของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง พวกเขาก็ทราบกระจ่างยิ่งเช่นกัน แต่ว่าไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ต่อตระกูลจ้าน พวกเขาจึงได้ลืมตาข้างหลับตาข้าง แสร้งทำเป็มิเห็น
สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง้าสังหารจ้านอู๋มิ่ง ถ้าพวกมันกระทำเื่ไร้ยางอายขึ้นมาจริงๆ ระดมใช้กำลังฆ่าจ้านอู๋มิ่งจนเสียชีวิต ต่อให้ใช้เืล้างตระกูลหนานกงแล้วจะมีประโยชน์อันใด ดังนั้นครั้งนี้ สำนักบริบาลเดรัจฉานจึงเชิญเยว่หลิงซานเป็ผู้นำคณะเดินทางด้วยตนเอง เพื่อทำให้สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามหวั่นเกรง
จ้านอู๋มิ่งเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในคณะเดินทางท่านหนึ่ง เขาคิดว่าอย่างมากที่สุดก็คือมหาจักรพรรดิา เยว่หลิงซานมิได้แสดงูเาบรรพต มิเปิดเผยสายธารา[1] เหมือนคนแก่ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง วันธรรมดาตนเองเกลือกกลั้วเที่ยวเล่นอยู่บนยอดเขาแต่ละลูก กลับไม่เคยเห็นชายชราผู้นี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าชายชราผู้นี้ศักดิ์ฐานะสูงส่งมากถึงเพียงนี้ เขาเข้าใจความอุตสาหะและเพียรพยายามของสำนัก ในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
เมื่อตอนที่เขาได้ยินเยว่หลิงซานพูดว่าเื่ของผู้เยาว์เขาจะไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว พลันความภาคภูมิใจก็เพิ่มขึ้นทันใด ในขอบเขตระดับเดียวกัน ผู้ใดสามารถเป็คู่ต่อสู้ของตน แม้ว่าตระกูลหนานกงจะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะเหมือนกับครั้งก่อนตอนเจอกับหนานกงฉู่ ตอนนั้นตนแทบจะไม่มีพลังตอบโต้กลับเลย ถ้ามิใช่ให้อีกฝ่ายชะล่าใจเสแสร้งแกล้งทำจนเลยเถิดมากเกินไป คนที่เสียชีวิตต้องเป็ตนอย่างแน่นอน ่ระยะเวลานี้พลังธาตุชีวิตของตนได้รับการปรับปรุงขึ้นอย่างมากมาย สามารถควบคุมธาตุวายุได้อย่างอิสรเสรีมากขึ้น รับมือกับความเร็วของตระกูลหนานกง เขายังมีความเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้อยู่
“ศิษย์น้องเล็ก คนของตระกูลหนานกงไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย ไปถึงมหาสมุทรวันสิ้นโลกแล้ว จะทำสิ่งใดเ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี”
“วางใจเถอะ ศิษย์พี่ ศิษย์น้องเช่นข้ายังไม่เคยเสียเปรียบผู้ใดมาก่อน ขอเพียงพวกมันกล้า ข้ารับรองว่าจะเล่นงานจนพวกมันแต่ละคนได้เห็นปลาปีศาจ!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างมั่นใจ
……
“งานเลี้ยงอาหารค่ำขององค์หญิงเชียนเชียน?” จ้านอู๋มิ่งถือเทียบเชิญสีทองม่วงใบหนึ่งอย่างงุนงงยิ่ง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์หญิงเชียนเชียนอันใดมาก่อน จ้านอู๋มิ่งถามขึ้น “เป็องค์หญิงของอาณาจักรใด หรือว่าเป็องค์หญิงของราชวงศ์?”
“ศิษย์น้องเล็ก แม้กระทั่งองค์หญิงเชียนเชียนเ้าก็ไม่รู้จักหรือ?” ต้วนหลิวฉางแสดงลักษณะท่าทางของคุณชายสูงศักดิ์ที่ทำตัวสบายๆ โบกพัดขนนกเดินเข้ามา กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“มีชื่อเสียงมากหรือ?” จ้านอู๋มิ่งใเล็กน้อย ศิษย์พี่ต้วนหลิวฉางนิสัยค่อนข้างถือตัว คนส่วนใหญ่เขาคร้านที่จะพูดจายืดเยื้อด้วย มีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยในสำนัก ติดสามอันดับแรกในรายชื่อบนป้ายทองการคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกายครั้งก่อน รู้จักคนมากมาย เป็ผู้กว้างขวางอย่างยิ่งคนหนึ่ง นับได้ว่ารอบรู้กว้างขวางเป็พหูสูตคนหนึ่งเลยทีเดียว
“องค์หญิงเชียนเชียนกอปรด้วยสติปัญญาและสิริโฉมงดงาม ยิ่งเป็ที่หลงใหลคลั่งไคล้ของชายหนุ่มเปี่ยมพร์นับไม่ถ้วนในโลกหล้า นางเป็บุตรสาวของเ้าเมืองวันสิ้นโลกอีกด้วย ศักดิ์ฐานะสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีศิษย์อัจฉริยะมากมายจากสำนักใหญ่ต่างๆ ที่มาอาศัยอยู่ในเมืองวันสิ้นโลกระยะยาวเพื่อ้าพบองค์หญิงเชียนเชียนสักครั้ง ไม่พบไม่กลับสำนัก…องค์หญิงเชียนเชียนชอบสนทนากับผู้คน รวบรวมเกร็ดพงศาวดารเื่ราวยอดเยี่ยมและเื่น่าตื่นเต้น จัดระเบียบเื่ต่างๆ เพื่อพยายามตรวจสอบเสียงแห่งมรรคาใหญ่…” ต้วนหลิวฉางพลันเริ่มพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าอันเคลิบเคลิ้มหลงใหล
“เหอะ พยายามตรวจสอบเสียงแห่งมรรคาใหญ่หรือ ไม่ใช่เสียงดนตรีที่นุ่มนวลและซาบซึ้งของเพลงลามกหรอกหรือ สนทนาเื่ไร้สาระกับชายหนุ่มเปี่ยมพร์มากมายเพียงนั้น…” คำพูดคำเดียวของจ้านอู๋มิ่ง พลันทำให้ต้วนหลิวฉางจ้องเขม็งอย่างโกรธเคืองขึ้นมาทันใดเหมือนงูที่โดนเหยียบหางเข้าก็มิปาน
“เ้าหยาบคายเกินไปแล้ว อันใดเรียกว่าคุยเื่ไร้สาระด้วยกัน ผู้อื่น้าไข่ยังมิใช่ส่งไปเป็กองๆ ถึงหน้าบ้านหรอกหรือ…ขากถุย…ข้าศิษย์พี่ถูกเ้าพาเสียคนแล้ว อันใดเรียกว่าคุยเื่ไร้สาระ องค์หญิงเชียนเชียนจะเป็คนเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า นางช่างบริสุทธิ์สง่างามและสูงส่ง สิริโฉมงดงามและสติปัญญาล้ำเลิศยิ่ง อีกทั้งยัง…”
“หยุดเถอะ ศิษย์พี่ เ้าโดนของเข้าแล้ว เ้าดู มีคนส่งเทียบเชิญใบหนึ่งบอกว่าเป็งานเลี้ยงอาหารค่ำขององค์หญิงเชียนเชียน สำหรับสตรีแล้ว ข้าพี่ชายสามารถควบคุมตัวเองได้ดี หรือไม่ให้เ้าไปแทนข้าก็แล้วกัน” จ้านอู๋มิ่งยื่นเทียบเชิญสีทองม่วงนั้นถึงเบื้องหน้าสายตาต้วนหลิวฉาง เขาไม่้าฟังศิษย์พี่ผู้งมงายพร่ำเพ้อต่ออีก ขืนฟังเขาพูดจาพร่ำเพ้อต่อ เขาจะอาเจียนแล้ว
“อา จริงหรือ?” ต้วนหลิวฉางรีบรับเทียบเชิญไปทันที เปิดออกมาดู จู่ๆ ก็สวมกอดไหล่จ้านอู๋มิ่งด้วยความปีติยินดี พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ว้าว เป็ลายมือขององค์หญิงเชียนเชียนจริงๆ ด้วย เ้าดู ลายมือนี้สวยงามเพียงใด เปี่ยมเสน่ห์เหมือนกล้วยไม้ในหุบเขาอันว่างเปล่า ศิษย์น้อง เ้าคือผู้มีพระคุณของข้า เ้าคือเทพเ้าของข้า เ้าคือดาวนำโชคในชีวิตข้า…”
จ้านอู๋มิ่งเอียงหน้าไปทางอื่น เหลือบตาเฉียงๆ แล้วฟาดศีรษะของต้วนหลิวฉางคราหนึ่ง เช็ดน้ำลายที่ติดอยู่บนใบหน้า พูดอย่างละเหี่ยใจว่า “เ้าพูดพร่ำเพ้อตามอำเภอใจจนน้ำลายแตกฟองมากไปแล้ว ขืนเ้าเป็เช่นนี้ต่อไป ครู่เดียวเท่านั้น ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่จะถือว่าเ้าฆ่าคนโดยเจตนาแล้ว เข่นฆ่าศิษย์เล็กผู้มีพลังแฝงมากที่สุด ถึงกับคิดใช้น้ำลายท่วมเขาจนเสียชีวิต”
ต้วนหลิวฉางสีหน้าเคอะเขิน กล่าวแก้ตัวว่า “มันเป็อุบัติเหตุ มันเป็อุบัติเหตุ ตื่นเต้นเกินไปแล้ว ตื่นเต้นเกินไปแล้ว อย่าถือสา อย่าถือสา…”
พูดพลาง ต้วนหลิวฉางสีหน้าแปรเปลี่ยน นำเทียบมามอบคืนให้จ้านอู๋มิ่ง ฝืนหัวเราะกล่าวว่า “เทียบเชิญขององค์หญิงเชียนเชียน หากคนที่ถูกเชิญไม่ไปด้วยตนเอง ผู้อื่นถือไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากถูกผู้รับเชิญจะพาเข้าไป หรือไม่ก็ศิษย์น้อง เ้าพาข้าเข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
“เคร่งครัดขนาดนี้เชียวหรือ แต่ข้าไม่มีเวลาหรอก” จ้านอู๋มิ่งยักๆ ไหล่
“ศิษย์น้องผู้ประเสริฐ เ้ามีเื่ใดที่เร่งด่วนเป็พิเศษหรือ ศิษย์พี่สามารถทำแทนเ้าได้ เ้าหาเวลาไปสักครั้งเถิดนะ ใช้เวลาไม่มากนักหรอก” สีหน้าต้วนหลิวฉางอ้อนวอนยิ่ง เหยียนอี้ที่อยู่ด้านข้างมองจนขัดตา ในฐานะผู้รับใช้ของจ้านอู๋มิ่ง เขาไม่เคยกล่าววาจาสอดแทรก สองคนล้วนเป็ศิษย์อัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เป็ศิษย์สายหลัก ศักดิ์ฐานะแตกต่างกับตน ถึงแม้จะเป็ราชันาระดับต้นเหมือนกัน แต่เขาก็กระจ่างแจ้ง หากต่อสู้กันขึ้นมา ต้วนหลิวฉางสามารถเอาชนะตนได้ถึงสองคน นี่คือความแตกต่างระหว่างศิษย์อัจฉริยะของสำนักกับคนทั่วไป
“เื่ของข้าไม่ยุ่งยากมาก เพียงแต่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างยิ่ง ต้องใช้หินอัคคีิญญาถึงห้าก้อน ่นี้ข้ายากจนแทบตายแล้ว ต้องไปคิดวิธีหาหินอัคคีิญญา” จ้านอู๋มิ่งเสแสร้งทำสีหน้าอับจนปัญญา
สีหน้าของต้วนหลิวฉางช่างวิเศษนัก จ้องจ้านอู๋มิ่งเขม็งคิดกล่าววาจาแล้วหยุดไว้ ดิ้นรนอยู่นาน เหมือนไก่ชนที่แพ้แล้วมิมีผิด กล่าวอย่างอับจนปัญญา “ศิษย์น้อง เ้าอย่าได้กังวล ศิษย์พี่่นี้นับว่าไม่ฝืดเคืองนัก มีหินอัคคีิญญาอยู่ห้าก้อนพอดี หรือไม่ก็ให้เ้ายืมก่อน?”
“ยืม?” จ้านอู๋มิ่งมองดูต้วนหลิวฉางที่ท่าทางเ็ปอยู่ครึ่งค่อนวัน ถามด้วยความแปลกใจ
“เื่นี้...เอาเถอะ เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกันและก็เป็เื่ด่วนในยุทธภพ เื่ของศิษย์น้องก็คือเื่ของสำนักบริบาลเดรัจฉานของพวกเรา และก็คือเื่ของศิษย์พี่น้องพวกเรา หินอัคคีิญญานี้ถือว่าข้ามอบให้เ้าก็แล้วกัน มิต้องใช้คืนแล้ว ต่อไปศิษย์พี่ประสบปัญหายุ่งยาก เ้าอย่าลืมยื่นมือเข้าช่วยเหลือบ้างก็ใช้ได้แล้ว” ต้วนหลิวฉางถูกจ้านอู๋มิ่งมองจนขนหัวลุก สุดท้ายนำหินอัคคีิญญาออกมาห้าก้อนอย่างปวดใจ เหมือนกำลังส่งมอบบุตรชายก็ปาน ยัดใส่ในมือจ้านอู๋มิ่งอย่างมิอาจตัดใจ
“ข้าได้ยินบ่อยๆ ว่าพี่ต้วนเป็คนประหยัดยิ่งนัก วันธรรมดามิอาจตัดใจจับจ่ายซื้อของ หินอัคคีิญญาห้าก้อนนี้เป็รายรับถึงหนึ่งเดือนทีเดียว นี่เอามาให้ข้า ไยมิใช่ทำให้ข้าต้องลำบากใจ?” จ้านอู๋มิ่งถามขึ้นอีกคำหนึ่ง
“เื่นี้มิต้องลำบากใจ ศิษย์พี่ประหยัดอย่างยิ่งเฉพาะตนเอง แต่สำหรับศิษย์พี่น้องและสหายแล้วใจดีมีเมตตาธรรมและเป็ห่วงเป็ใยยิ่ง หากศิษย์พี่รัดเข็มขัดสักหน่อย หนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไปแล้ว” ต้วนหลิวฉางเห็นน้ำเสียงจ้านอู๋มิ่งมิค่อยถูกต้อง รีบพูดอย่างจิตใจกว้างขวางขึ้นมาทันที
“เมื่อเป็เช่นนี้ ศิษย์น้องก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว ขอรับมาแล้วกัน พวกเราไปดูกันเถิดว่าองค์หญิงเชียนเชียนผู้นี้จะประเสริฐมากอย่างที่เ้าพูดมาหรือไม่” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะเสียงดังคราหนึ่ง รวบรวมหินอัคคีิญญาใส่กระเป๋าข้างเอว
“ศิษย์น้องคอยสักครู่ ข้าไปแต่งตัวเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว” พูดจบก็หันกายจากไป ไม่ได้สังเกตเห็นจ้านอู๋มิ่งหลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้วทำท่าสั่นสะท้านขึ้นมา
[1] สำนวนถึง ซ่อนเร้น ปกปิดตัวตนที่แท้จริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้