ในขณะที่กำลังเดินทางผ่านหมู่บ้านเสี่ยวหลี่เด็กหนุ่มทั้งสองก็หยุดลง พวกเขานำเหรียญตำลึงทองบางส่วนที่ได้รับมาไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน
แน่นอนว่าในจำนวนเงินทั้งหมดนี้ย่อมมีเงินที่หม่าลี่ปล้นชิงมาจากคนภายในหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้วย
หลังจากชาวบ้านได้ทราบว่ากองโจรูเาหม่าซานถูกมู่เฟิงกับไป๋จื่อเยว่กวาดล้างไปจนหมดแล้ว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณเด็กหนุ่มทั้งสองเป็อย่างมาก
พวกเขาใช้เวลาในหมู่บ้านเสี่ยวหลี่ไม่นานนัก หลังจากอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ขี่สัตว์อสูรมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักศึกษาเทียนอวิ่นต่อในทันที
ระหว่างทาง มู่เฟิงที่นั่งอยู่บนหลังเสือดาวหางอสรพิษก็ทำการศึกษาม้วนตำราในมืออย่างละเอียดไปด้วย
ลายเส้นในม้วนตำรานี้มีความลึกลับเป็อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เ้าไปเอาม้วนตำรานี้มาจากที่ใดกัน?”
ทันใดนั้นเสียงของซีเยว่ก็ดังขึ้นในห้วงความคิดของเด็กหนุ่ม
“เยว่เอ๋อร์ ในที่สุดเ้าก็ตื่นแล้ว เ้าลองดูนี่เร็วเข้า นี่เป็ลายเส้นแบบใดอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของนาง เขาไม่รอช้ารีบเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
หยกเทพชูร่าพลันส่องแสงสว่างวาบ ประกายแสงสีโลหิตกวาดผ่านไปทั่วม้วนตำรา จากนั้นม้วนตำราก็ถูกดึงเข้าไปในหยกเทพชูร่าอย่างรวดเร็ว
ภายในพื้นที่ของหยกเทพชูร่า หญิงงามในชุดคลุมสีขาวกำลังเปิดม้วนตำราและเริ่มศึกษาเนื้อหาของมันด้วยท่าทางจริงจัง
ระหว่างที่รอคำตอบจากซีเยว่ มู่เฟิงก็มุ่งหน้าเดินทางกลับสำนักศึกษาต่อ
หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยามหยกเทพชูร่าก็เปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นานม้วนตำราก็ปรากฏขึ้นในมือของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ เป็อย่างไรบ้าง? ม้วนตำรานี้มีที่มาอย่างไร?”
มู่เฟิงถามขึ้น
“นี่เป็ลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ที่หาได้ยาก”
เสียงของซีเยว่ตอบกลับมา
“ลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้?”
มู่เฟิงผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของประโยคนี้นัก
“อืม นักสลักลายเส้นก็ถือเป็อาชีพประเภทหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนคิดว่านักสลักลายเส้นนั้นไร้พลังในการโจมตี พวกเขาสามารถทำได้เพียงแค่หลอมโอสถ หลอมอาวุธ สร้างค่ายกลและสร้างเครื่องรางเท่านั้น เ้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ซีเยว่ย้อนถาม
“อืม ทำไมหรือ หรือว่ามันไม่ถูกต้องกัน? ยกเว้นนักสลักลายเส้นเครื่องราง นักสลักลายเส้นประเภทอื่นก็ไม่มีวิธีการในการโจมตีศัตรูแล้วไม่ใช่หรือ”
มู่เฟิงเอ่ยตอบ
“ผิดแล้ว ในบรรดาประเภทของลายเส้น มีลายเส้นพิเศษที่ใช้สำหรับการโจมตีโดยเฉพาะอยู่ เราเรียกมันว่าลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ แต่ลายเส้นประเภทนี้เป็สิ่งที่หาได้ยาก กระทั่งเผ่าชูร่าก็ยังไม่มีความชำนาญในลายเส้นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีการรวบรวมลายเส้นนี้ไว้ให้ศึกษา มีเพียงตระกูลของนักสลักลายเส้นที่อยู่มาอย่างยาวนานเท่านั้นที่จะมีมันได้”
“ส่วนม้วนตำราที่เ้าได้รับมานี้ เป็รูปแบบลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ประเภทหนึ่ง เรียกว่าร้อยกระบี่หวนคืน เป็ลายเส้นขั้นจิติญญา”
ซีเยว่อธิบายอย่างใจเย็น
สำหรับรูปแบบของลายเส้นนั้นแบ่งเป็สามขั้นเก้าระดับ โดยระดับหนึ่งถึงสามคือขั้นปราณ ระดับสี่ถึงหกคือขั้นจิติญญา ระดับเจ็ดถึงเก้าคือขั้นเทวฤทธิ์ ส่วนลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ในม้วนตำรานี้คือระดับสี่ นั่นหมายถึงขั้นจิติญญา
“ลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ ร้อยกระบี่หวนคืน...”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเองอย่างเข้าใจในที่สุด เขาได้รับความรู้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“หากกล่าวกันตามเหตุผล ในสถานที่ขนาดเล็กเช่นนี้ไม่น่าจะมีลายเส้นประเภทนี้ปรากฏขึ้นมาได้ เ้าได้รับมันมาได้อย่างไร?”
ซีเยว่เอ่ยถามขึ้น
จากนั้นมู่เฟิงก็บอกเล่าเื่ราวทั้งหมดให้นางฟัง หลังจากทราบที่มาที่ไปซีเยว่ก็ได้แต่ทอดถอนใจในความโชคดีของมู่เฟิง บางทีนี่อาจจะเป็สิ่งของที่ผู้วิเศษสักคนทำหล่นหายในอาณาจักรแห่งนี้ และตกไปอยู่ในเงื้อมมือของโจรูเาด้วยความบังเอิญ
“จริงสิ นอกจากนี้ข้ายังได้รับของสิ่งนี้มาด้วย เ้าดูให้ข้าหน่อยว่ามันคืออะไรกันแน่?”
มู่เฟิงนำชิ้นส่วนของหยกดำออกมา ก่อนจะส่งมันเข้าไปในหยกเทพชูร่า เพื่อให้ซีเยว่ตรวจสอบ
“นี่มัน...หยกเทวะทมิฬ!”
หลังจากซีเยว่ได้รับชิ้นส่วนของหยกดำ นางก็จดจำมันได้ในทันที
“หยกเทวะทมิฬ หยกเทวะทมิฬคือสิ่งใดกัน?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หยกเทวะทมิฬเป็หินหยกขั้นเทวฤทธิ์ชนิดหนึ่ง อย่างแก่นแท้ของหยกเทพชูร่านั่นก็กลั่นมาจากหยกเทพโลหิตชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหยกเทวะทมิฬจะใช้ในการบันทึกลายเส้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวฤทธิ์ คาดว่านี่คงเป็ชิ้นส่วนที่แตกหักของแท่นหยกเทวะทมิฬ การที่พื้นผิวของมันมีลายเส้นสลักเอาไว้ก็คงจะเป็ส่วนหนึ่งของลายเส้นศักดิ์สิทธิ์”
ซีเยว่อธิบาย
“ของทั้งสองสิ่งที่ได้รับมาล้วนเป็ของนักสลักลายเส้นทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าจะเป็สิ่งของของคนคนเดียวกันอีกด้วย”
มู่เฟิงคาดเดา
“อืม มีความเป็ไปได้มาก การจะทำลายหยกเทวะทมิฬได้จำเป็ต้องใช้พละกำลังที่ทรงพลังเป็อย่างยิ่ง และพลังระดับนี้ คาดว่าคงสามารถกวาดล้างอาณาจักรหนานหลิงได้ในชั่วพริบตา”
ซีเยว่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หลังจากได้ยินดังนั้นภายในใจของมู่เฟิงก็ราวกับมีคลื่นโหมกระหน่ำอย่างบ้างคลั่ง
“เยว่เอ๋อร์ ข้าจะสามารถทำความเข้าใจลายเส้นศักดิ์สิทธิ์ที่สลักอยู่บนหยกเทวะทมิฬได้หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แน่นอนว่าสามารถทำได้ แต่ลายเส้นศักดิ์สิทธิ์นี้เป็เพียงแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น ดังนั้นข้าเกรงว่าเ้าอาจจะไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากมันได้ แต่เ้ายังสามารถเรียนรู้ลายเส้นร้อยกระบี่หวนคืนในม้วนตำรานั้นได้ หากว่าเ้าสามารถบรรลุมัน เ้าก็จะมีรูปแบบการโจมตีที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรูปแบบ คาดว่าอานุภาพพลังของมันคงไม่ด้อยไปกว่าทักษะวิชาระดับโลกาขั้นต่ำเลยทีเดียว"
ซีเยว่กล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็ก้มมองม้วนตำราในมือ จากนั้นเขาก็ส่งพลังิญญาของเขาเข้าไปในม้วนตำรา
ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพจำนวนหนึ่งขึ้นในหัวของเขาพร้อมกับกระบี่นับร้อยเล่มที่ดังกู่ก้อง และแฝงด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอันน่าตื่นตะลึงที่แผ่ออกมา
ลำแสงกระบี่นับร้อยเคลื่อนผ่านฟ้าดินไปทั่วทุกสารทิศ โดยลำแสงแสงกระบี่แต่ละเล่มนั้นก็ทรงพลังมากพอที่จะทำลายูเาและหินผาได้อย่างง่ายดาย
กระบี่นับร้อยปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า กลิ่นอายสังหารของมันะเืไปจนถึง์ และทั้งหมดนี้ก็คือภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม!
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจของมู่เฟิง หนึ่งกระบี่ตัดผ่านภูผา์ หนึ่งดาบทลายท้องนภา!
ลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้! สิ่งนี้คือวิธีการป้องกันศัตรูของนักสลักลายเส้น
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจึงรีบถอนพลังิญญากลับคืนมาในทันที
ในปัจจุบันเขาเป็เพียงนักสลักลายเส้นขั้นสองเท่านั้น และการจะทำความเข้าใจลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้ขั้นจิติญญาก็จำเป็ต้องใช้พลังิญญาเป็อย่างมาก
“รูปแบบลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้นั้นแตกต่างจากรูปแบบลายเส้นทั่วไป ไม่จำเป็ต้องใช้แก่นหมึกเป็สื่อกลาง และไม่จำเป็ต้องใช้มีดแกะสลักลายเทวะ เพียงใช้พลังชีวิตเป็ดั่งหมึกและใช้พลังิญญาเป็ดั่งพู่กัน จากนั้นก็ผสานพลังปราณเข้าไปและแสดงมันออกมา”
“การจะศึกษาลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้นั้นไม่เพียงแค่ต้องมีพลังิญญาที่แข็งแกร่งเท่านั้น ความสามารถในการควบคุมพลังปราณก็จะต้องอยู่ในระดับที่ละเอียดอ่อนมากพอ ซึ่งการฝึกของมันจะยากยิ่งกว่าการฝึกลายเส้นทั่วไปมาก หากเ้า้าเรียนรู้มันต้องเริ่มจากพื้นฐาน นั่นคือการฝึกควบคุมพลังปราณจนถึงระดับละเอียดอ่อน”
ซีเยว่อธิบายอีกครั้ง
“ระดับละเอียดอ่อน? มันคืออะไรกัน?”
มู่เฟิงถามอย่างสงสัย
“มันคือการกำหนดขอบเขตความสามารถในการควบคุมพลังปราณของผู้ฝึกยุทธ์ โดยมีทั้งหมดสามรูปแบบคือ ละเอียดอ่อน การเปลี่ยนหนักเป็เบาและการเปลี่ยนเบาเป็หนัก สำหรับระดับละเอียดอ่อนนั้นคือการใช้พลังปราณได้อย่างประณีตราวกับเส้นไหม สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก
“สำหรับการเปลี่ยนหนักเป็เบา คือการเปลี่ยนน้ำหนักนับพันจินให้มีน้ำหนักเท่าขนนกในฝ่ามือ ถ่ายถอนน้ำหนักได้ตามใจ
“ส่วนการเปลี่ยนเบาเป็หนักนั้น จากเม็ดทรายหนึ่งเม็ดก็อาจหนักเท่าูเาไท่ซาน จากน้ำหนักของหยดน้ำหนึ่งหยดอาจหนักเทียบเท่าห้วงมหาสมุทรขนาดใหญ่”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของซีเยว่ มู่เฟิงก็พลันตกตะลึงไปในทันที
เม็ดทรายหนักเท่าูเาไท่ซานได้หรือ? นี่มันวิธีอันใดกัน?
“สำหรับความสามารถทั้งสามรูปแบบนี้ แม้บางคนจะมีวรยุทธ์เหนือล้ำมากเพียงใดก็ไม่สามารถฝึกฝนให้สำเร็จได้ แต่หากว่าเ้า้าเรียนรู้ลายเส้นโบราณสำหรับการต่อสู้นี้ละก็ ความสามารถในการควบคุมพลังปราณของเ้าจะต้องบรรลุถึงระดับละเอียดอ่อนให้ได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้คิดจะฝึกลายเส้นนี้อีกเลย”
ซีเยว่กล่าวเสียงเรียบ
มู่เฟิงมุมปากกระตุก จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “เยว่เอ๋อร์ เ้าเป็คนบอกข้าเองว่าคนที่มีวรยุทธ์เหนือล้ำก็ยังไม่สามารถไปถึงระดับนั้นได้ แล้วข้าจะสามารถไปถึงระดับนั้นได้อย่างไร?”
“ฮึ่ม หากเ้าไม่ฝึกฝนแล้วเ้าจะสามารถไปถึงระดับนั้นได้อย่างไรกันเล่า หากเ้า้าควบคุมพลังปราณจนถึงระดับละเอียดอ่อนได้ ข้าก็สามารถช่วยกำหนดรูปแบบการฝึกฝนให้กับเ้าได้ แต่เ้าจะต้องเตรียมใจที่จะทนทุกข์ทรมานกับการฝึกนี้เอาไว้ให้ดีด้วย”
ซีเยว่ตวาดอย่างฉุนเฉียว แต่ไม่นานรอยยิ้มขี้เล่นก็ผุดขึ้นที่มุมปากของนาง
ได้ยินดังนั้นแล้ว ภายในใจของมู่เฟิงก็รู้สึกเย็นะเืขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้