หัวใจที่สั่นไหว
อุณหภูมิในเดือนกันยายนของเมืองอวิ๋นเฉิงยังคงไม่ลดลง แม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ก็ยังร้อนเสียจนแทบทนไม่ได้ “เสิ่นอันอัน” ยืนอยู่บนโพเดียมงานเฉลิมฉลองของมหาวิทยาลัยและถือสคริปต์สุนทรพจน์ไว้ในมือฟ “เรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน…”
แสงสปอตไลต์สาดลงมากระทบดวงตาและคิ้วของเธอ ทำให้ใบหน้าเล็กๆ นั้นดูอ่อนโยนเป็พิเศษ
วันนี้เป็วันเฉลิมฉลองประจำปีของมหาวิทยาลัยอวิ๋นต้า เธอบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้อวิ๋นต้าทุกปีในนามของ “จิ่งเซิ่งกรุ๊ป” ทั้งด้านการบำรุงรักษาไปจนถึงการขยายมหาวิทยาลัย เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้อำนวยการจึงส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองให้เธอเป็การส่วนตัว
งานเฉลิมฉลองของมหาวิทยาลัยนั้นค่อนข้างยิ่งใหญ่ มีนักข่าวท้องถิ่นมาทำข่าวมากมาย แถมที่นี่ยังเป็มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนจบอีกด้วย เธอทำใจหักหน้าผู้อำนวยการไม่ได้จึงยอมตกลง
เธอกล่าวสุนทรพจน์ไปได้เพียงครึ่งทาง ก็สบตาเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ลำดับที่หกของแถวที่สอง ซึ่งกำลังดันแว่นกรอบทองที่ตั้งรับกับจมูกของเขาอยู่
เขามีคิ้วโก่งคมเข้ม ดวงตาเปล่งประกาย ดั้งจมูกสูงโด่ง และโครงหน้างดงามราวกับงานศิลปะที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีต
เพียงแต่สายตาที่มองออกมาค่อนข้างอ่อนโยน ดวงตายาวรีคู่นั้นถูกแว่นตาขอบทองบดบัง ซึ่งสื่อความหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบว่าเขาเป็ “หนอนหนังสือ”
บทสุนทรพจน์ใช้เวลาไม่นาน หลังจากพูดเสร็จ เสิ่นอันอันก็ก้าวลงจากเวทีอย่างสงบ
ชายคนนั้นหลบสายตาแล้วถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ ว่า “เธอคือ...?”
เมื่อได้ฟังดังนั้น เพื่อนของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีทางน่าศาสตราจารย์ฮั่ว นายไม่รู้จักเธองั้นหรือ?”
“ฮั่วเฉิงโจว” ไม่รู้จักเธอจริงๆ
เขาถูกย้ายมาที่อวิ๋นต้าได้ไม่ถึงหนึ่งปี ทั้งยังไม่เคยได้ยินใครพูดถึงคนคนนี้
อีกฝ่ายดื่มน้ำอึกหนึ่งแล้วแนะนำ “เธอคือเสิ่นอันอัน ประธานจิ่งเซิ่งกรุ๊ป นายคงรู้จักใช่ไหม? บริษัทอันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นเฉิง เธอจบจากมหาวิทยาลัยอวิ๋นต้า พวกห้องสมุดกับโรงยิมของมหาวิทยาลัย จิ่งเซิ่งก็เป็ผู้บริจาคทั้งนั้น เธอจึงมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของมหาวิทยาลัยทุกปีในฐานะแขกพิเศษ”
ประธานกลุ่มบริษัทจิ่งเซิ่ง
เสิ่นอันอัน
คนด้านข้างพูดมาเยอะเสียขนาดนั้น แต่ฮั่วเฉิงโจวจำได้เพียงสองประเด็น
ไม่สิ เขายังจำใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดของเธอได้อีกด้วย หากเธอเกิดในสมัยโบราณก็คงได้เป็หญิงงามล่มเมือง[1]
เพื่อนของเขาก็เป็ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยอวิ๋นต้าชื่อ ฉินเซ่อ เขาทำงานที่นี่มาหกปีแล้ว และเสิ่นอันอันก็เคยเข้าเรียนกับเขาด้วย
เสิ่นอันอันลงจากเวทีแล้วกลับไปนั่งตรงที่นั่งของตัวเอง
ฮั่วเฉิงโจวมองตามเธอไปตลอดทาง และหยุดลงตรงกลางของแถวแรก
ไม่นาน ฉินเซ่อก็สังเกตเห็นความผิดปกติ “เฉิงโจว?”
ฮั่วเฉิงโจวเหมือนจะไม่ได้ยิน
“เฉิงโจว!” ฉินเซ่อยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าเขา “ทำไมฉันรู้สึกว่านาย...ไม่ค่อยปกติกันนะ?”
ฮั่วเฉิงโจวถอนสายตากลับมาและพูดพลางยิ้ม “อะไรเหรอ?”
รอยยิ้มของเขาชัดเจนว่าเป็มิตร แต่ฉินเซ่อกลับรู้สึกว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกรอบทองคู่นั้นดูคล้ายสายตาของสุนัขจิ้งจอก
“คงไม่ใช่ว่านายชอบเธอเข้าแล้วหรอกนะ” ฉินเซ่อทำลายความคิดของเขาด้วยคำพูดเพียงคำเดียว “ฉันจะบอกให้นะว่าอวิ๋นต้ามีสาวโสดเยอะแยะไป นายจะตกหลุมรักใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เธอ!”
ฮั่วเฉิงโจวยกคิ้วขึ้นสูง คล้ายกับกำลังถามเหตุผลอย่างเงียบๆ
ฉินเซ่อเห็นอย่างนั้นก็คิดว่าตัวเองทายถูกแล้ว
เขาตีหน้าผากฮั่วเฉิงโจวและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เสิ่นอันอันแต่งงานมาสองปีแล้ว นายควรออกจากภาพฝันที่มีเธอซะ มันเป็ไปไม่ได้ ไม่มีทางแน่นอน”
ฮั่วเฉิงโจวหยิบขวดน้ำขึ้นมาคลายเกลียวออก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้น ข้อมือเปลือยเปล่าขาวซีดราวกับไร้เื
ฉินเซ่อไม่รู้ว่าเขาได้ฟังที่พูดไปหรือไม่ แต่ไม่ว่าเขาจะฟังหรือไม่ฟัง ตนเองก็ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้
อย่างไรเสีย ศาสตราจารย์ผู้สง่างามแห่งอวิ๋นต้า คงไม่ทำสิ่งที่เรียกว่าแยกคู่ออกจากกันหรอกใช่ไหม?
....................................................................................................................................
จับได้คาเตียง
ถ้าเื่พวกนี้แพร่ออกไป น่าอายจะตาย
“เฉิงโจว สามีของเสิ่นอันอันเป็เ้าของป๋อถงมีเดีย หากนายคิดจะทำอะไรเธอละก็ การที่สามีเธอจะทำลายชื่อเสียงของนายให้ย่อยยับก็เป็เื่ง่ายเลยไม่ใช่หรือไง? ไม่ควรไปทำเื่โง่ๆ แบบนั้นหรอก”
ฮั่วเฉิงโจวไม่พูดอะไร เพียงหัวเราะไร้เสียงออกมา
หัวเราะอย่างเ็าและสามานย์ จนทำให้หัวใจของฉินเซ่อสั่นสะท้าน
“ประธานของป๋อถงมีเดีย เจียงอี้เฉิน?”
ฉินเซ่อประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน “นายรู้จัก?”
ฮั่วเฉิงโจวจิบน้ำและตอบอย่างค่อยๆ “เคยได้ยินมาบ้าง”
ตระกูลฮั่วเองก็กลุ่มบริหารบริษัทสื่อเช่นกัน และอยู่ในระดับเดียวกับป๋อถง ทั้งสองตระกูลมีสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งในอุตสาหกรรมสื่อ ดังนั้นเขาจึงเคยได้ยินชื่อ “เจียงอี้เฉิน” มาบ้าง
แต่ใครจะรู้ว่าความสัมพันธ์สามีภรรยาของทั้งคู่เป็เื่หลอกลวง
“นายรู้จักเขาก็ดีแล้ว” ฉินเซ่อถอนหายใจ “คนในวงการน่ะไปหาเื่ด้วยไม่ได้หรอก ประทุษวาจา[2]จากสื่อสังคมฆ่ามนุษย์ได้ พวกเขาสามารถทำลายคนคนหนึ่งได้ตามใจชอบ”
ฮั่วเฉิงโจวปิดฝาขวดให้แน่น “ฉันบอกว่าฉันรู้จักเขา แต่ไม่ได้บอกว่าฉันกลัวเขา”
ฉินเซ่อ “...”
รู้สึกว่าที่เขาพูดไปทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์
“เฉิงโจว…”
เขาไม่ยอมแพ้และอยากเกลี้ยกล่อมอีกสักหน่อย
แต่ฮั่วเฉิงโจวก็โบกมือส่งสัญญาณให้เขาหยุด ไม่จำเป็ต้องพูดต่อ
...
หลังจบงานเฉลิมฉลอง ผู้อำนวยการก็เชิญเสิ่นอันอันเข้ามานั่งในห้องทำงาน
ในห้องทำงานมีคนอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็ฝ่ายบริหารและอาจารย์หัวกะทิของมหาวิทยาลัย
บังเอิญเหลือเกินที่ฮั่วเฉิงโจวก็เป็หนึ่งในนั้น
“อันอันมานี่สิ ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก” ผู้อำนวยการพาเธอมาแนะนำตัวกับฮั่วเฉิงโจวเป็คนแรก “นี่คือศาสตราจารย์ที่เพิ่งย้ายมาในปีนี้ ศาสตราจารย์ฮั่วเฉิงโจว จบปริญญาโทสองใบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา สาขาวรรณคดีและจิตวิทยา ตอนนี้เขาเป็ศาสตราจารย์ที่โด่งดังมากในมหาวิทยาลัยเรา”
เสิ่นอันอันยื่นมือไปทักทายอย่างใจเย็น “สวัสดีค่ะศาสตราจารย์ฮั่ว”
ฮั่วเฉิงโจวจับมือตอบกลับ “สวัสดีครับคุณหนูเสิ่น”
เขาเรียกเธอว่าคุณหนูเสิ่น ไม่ใช่คุณนายเจียง
ผู้อำนวยการหัวเราะแล้วพูดกับฮั่วเฉิงโจว “เฉิงโจว อันอันเป็ประธานของจิ่งเซิ่งกรุ๊ป นอกจากความงามล่มเมืองของเธอแล้ว ความสามารถก็อย่าได้ดูถูกเชียว”
เสิ่นอันอันก้มหัวลง ยิ้มบางๆ ตามมารยาท “ที่ไหนกัน ผู้อำนวยการพูดเกินไปแล้วค่ะ”
ระยะห่างตอนนี้ใกล้กว่าตอนอยู่ในสนามกีฬา ฮั่วเฉิงโจวจึงสามารถมองเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบหน้ารูปไข่ขนาดเท่าฝ่ามือ ดวงตาสีอัลมอนด์มีเสน่ห์และดูเฉลียวฉลาด มุมตางุ้มลงเล็กน้อย รูม่านตาใหญ่ ผิวพรรณสวยสะอาด และริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงอ่อน
เธอแต่งหน้าบางๆ มีปอยผมสองสามปอยห้อยลงมาจากหน้าผาก มองแวบแรกจึงสะดุดตาอย่างมาก
จากนั้น เสิ่นอันอันก็ทักทายฝ่ายบริหารอีกหลายท่าน
เธอไม่ได้ถามอะไรต่อจึงไร้ความประทับใจลึกซึ้งต่อฮั่วเฉิงโจว เธอจำได้เพียงว่าเขาหน้าตาดีมาก
หลังจากแลกเปลี่ยนความยินดีแล้ว เธอก็ออกจากมหาวิทยาลัยและกลับบ้าน
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเสียจนมืดสนิท
เสิ่นอันอันขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนและเปิดประตูกำลังเข้าไปข้างใน แต่เธอกลับได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งครางหอบดังมาจากห้องนอน
“อืม... ประ...ประธานเจียง เบาๆ อา...”
“ไม่อยากให้ทำแรงๆ เหรอ? เบาๆ มันดีกว่ายังไง”
“น่าเกลียดจริง อา... มันทำให้ฉัน... เกือบจะ... ฉี่... อ๊า...”
[1] งามหยาดเยิ้ม แต่ก็แฝงด้วยความหมายดูิ่ เพราะความงามของสตรีที่มากเกินไปมักนำหายนะมาให้
[2] ถ้อยคำโจมตีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือรสนิยมทางเพศ เป็ต้น