เมื่อสิ้นเสียง สายฟ้าพลันประกายวาบห้วงอากาศตรงหน้าถูกสายฟ้าเหวี่ยงฟาดจนกลายเป็รอยฉีกขาดจากนั้นฉู่ซีฟงที่ประคองร่างของคนทั้งสองเอาไว้ก็ก้าวยาวๆเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
แสงสุริยันสาดส่องเข้ามา ซูฉางอันรู้สึกแสบตาเล็กน้อยสัญชาตญาณจึงสั่งให้ยกมือขึ้นไปบังแสงตะวันเบื้องบนเอาไว้แต่ความเ็ปอันแสนมหาศาลก็ปะทุขึ้นที่ท่อนแขนเสียก่อน เขาได้แต่หรี่ตาลงแล้วมองสำรวจไปรอบด้าน
ตลาด ศพ และน้ำที่ไหลนองอยู่เต็มพื้นดิน
ซูฉางอันกระจ่างแจ้งขึ้นในที่สุด...ที่นี่เป็เมืองหลานหลิงนั่นเอง
เมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แสนคุ้นเคย แม้จะจากที่นี่ไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแต่ซูฉางอันกลับรู้สึกราวไม่ได้มาที่นี่นานเป็ชาติแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็พบว่ามีร่างของใครบางคนยืนอยู่ในจุดที่ไม่ไกลออกไป
ดูเหมือนจะเป็ร่างของคนชราผู้หนึ่ง แผ่นหลังของเขาค้อมลงเล็กน้อยและในตอนนี้ เขากำลังหันหน้ามาทางนี้ ราวรอพวกเขาอยู่นานแล้ว
เพราะร่างนั้นยืนย้อนแสง ซูฉางอันจึงมองเห็นใบหน้าของผู้ชราได้เพียงเลือนรางเท่านั้นแต่เขากลับมีความรู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังยิ้มอยู่
ฉู่ซีฟงประคองทั้งสองเอาไว้ แล้วก้าวเร็วๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายชราจากนั้นโค้งทำความเคารพ พลางกล่าวขึ้น “ท่านอวี้เหิง”
ในที่สุดซูฉางอันก็เห็นหน้าของชายชราอย่างชัดๆ เสียทีจึงเรียกชื่อของคนตรงหน้าขึ้น “อาจารย์ปู่”
“อืม” ชายชราพยักหน้ากลับมาให้จากนั้นแสงอ่อนโยนสีขาวก็กระจายออกมาจากฝ่ามือของเขาแล้วแทรกซึมเข้าไปในร่างของซูฉางอันในเวลาต่อมา ซูฉางอันรับรู้ได้ว่ามีกระแสแห่งความอบอุ่นบางอย่างพุ่งไปที่ตันเถียนของตนจากนั้นก็กระจายไปที่แขน ขา รวมไปถึงเส้นชีพจรต่างๆ ภายในกาย จนเมื่อกระแสแห่งความอบอุ่นเ่าั้กระจายไปทั่วทุกอณูร่างแล้วาแทั้งในและนอกก็สมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว
ซูฉางอันะเิความดีใจขึ้นจากนั้นก็ชักแขนของตนที่พาดอยู่บนบ่าของฉู่ซีฟงกลับมาแม้จะยังรู้สึกอ่อนล้าอยู่มาก แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถยืนด้วยตัวเองได้แล้ว
“ขอบคุณขอรับอาจารย์ปู่” เขาบอกกับอวี้เหิงด้วยรอยยิ้ม
ทว่าอวี้เหิงกลับไม่มีท่าทีว่าจะตอบอะไรกลับมาเลยเขาเพียงมองไปที่ฉู่ซีฟงด้วยแววตาที่บอกไม่ถูก
แน่นอน ฉู่ซีฟงรับรู้ได้ถึงสายตาของอวี้เหิง หลังเงียบขรึมไปสักพักเขาก็ส่งร่างของกู่เซี่ยนจวินให้ซูฉางอัน จากนั้นพลันทรุดลงไปคุกเข่า
ซูฉางอันรับร่างของกู่เซี่ยนจวินมาจากฉู่ซีฟง แล้วประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขนเขาเตรียมจะพูดบางอย่างออกมา แต่ก็ถูกการกระทำของฉู่ซีฟงหยุดเอาไว้เสียก่อนเขาชะงักลงอย่างไม่เข้าใจ ได้แต่มองไปยังฉู่ซีฟงและอวี้เหิงอย่างอึ้งๆ เท่านั้น
ตุ้บ!ตุ้บ!ตุ้บ!
ฉู่ซีฟงกราบคารวะ และโขกศีรษะลงบนพื้นดินจนเกิดเสียงดังสามครั้งเขาทุ่มแรงโขกรุนแรง ทั้งยังไม่ใช้พลังิญญาปกป้องอีก เมื่อทำครบสามครั้งหน้าผากของเขาก็เขียวเป็จ้ำไปหมด
ดวงตาหรี่เล็กของอวี้เหิงราวจะเปล่งประกายไปด้วยของเหลวสีใสบางอย่างเขาก้าวไปข้างหน้าด้วยร่างที่สั่นเทาจากเหตุแห่งวัยจากนั้นก็ประคองร่างของฉู่ซีฟงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นดินขึ้นมา
อวี้เหิงมองสำรวจฉู่ซีฟงั้แ่หัวจรดเท้าจากนั้นจึงประกายรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น “ดี!ดีแล้ว! ดีมาก!”
อวี้เหิงพูดขึ้น ก่อนดวงตาอันแสนพร่ามัวจะประกายสว่างวาบเขาพูดต่อไป “เ้าเองก็พอจะมีความแข็งแกร่งแบบปู่ ฉู่เซียวหานอยู่บ้างเหมือนกันนี่!”
ฉู่ซีฟงไม่ได้ตอบอะไร กลับถอยไปยืนอยู่อีกด้านด้วยท่าทางนอบน้อมแล้วนิ่งเงียบไป
บรรยากาศจมเข้าสู่ความอึดอัดและสิ่งที่ซูฉางอันไม่ชอบมากที่สุดก็คือความอึดอัดเช่นนี้เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงได้แต่สงบปากสงบคำ แล้วมองคนทั้งสองต่อไป
หลังผ่านไปสักพัก ในที่สุดอวี้เหิงก็ถอนหายใจออกมาจากนั้นก็กล่าวขึ้นหลังทิ้ง่ไปนาน “ซีฟง เ้ากลับไปที่เมืองเจียงตง...”
เพิ่งพูดมาได้เพียงครึ่ง ฉู่ซีฟงก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน เขาส่งประกายความจริงจังออกมาทางสีหน้าพลางกล่าวขึ้น“ท่านอวี้เหิง เื่ความแค้นของตระกูลฉู่แห่งเจียงตง ซีฟงไม่อาจตัดสินใจหรือบงการเื่นี้ได้ ท่านอวี้เหิง โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
อวี้เหิงมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาและไม่ยอมกล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ฉู่ซีฟงรู้ดีว่าอวี้เหิงยอมแพ้ในเื่นี้แล้วจึงพยักหน้าไปให้อวี้เหิงเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปหาซูฉางอัน
“ผู้าุโฉู่?ท่านจะไปแล้วหรือขอรับ?” ซูฉางอันจับข้อมูลบางอย่างได้จากบทสนทนาของทั้งสองเขามองไปยังฉู่ซีฟงพลางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่ซีฟงก็ฉายประกายรอยยิ้มบางๆออกมาทางใบหน้าที่เย็นะเื จากนั้นก็ยื่นมือมาลูบหัวซูฉางอันพลางกล่าวตอบ“ฉางอัน ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันสิ้นสุด ทุกการพบปะย่อมมีการจากลา”
ซูฉางอันก้มหน้าลง สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาก็เบาลงเล็กน้อย “ข้ารู้แต่ท่านไม่ต้องรีบไปขนาดนี้ก็ได้นี่ขอรับ หากท่านไปแล้วใครจะสอนวิชาดาบให้ข้าล่ะ? ข้าโง่ขนาดนี้ ต้องหาอาจารย์คนที่สองที่ยอมสอนวิชาข้าไม่ได้แน่”
ฉู่ซีฟงยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นแสงสีม่วงจากพลังิญญาพลันกระจายออกมาจากร่างของเขาก่อนแสงเ่าั้จะลอยเข้าไปในร่างของซูฉางอันในเวลาต่อมา
“ฉางอัน เ้าฉลาดมาก เ้าจับแนวทางของวิชาดาบของข้าได้บ้างแล้วปราณดาราดวงนี้มีพลังแห่งดาบของข้าอยู่ เพียงเ้าขยันฝึกฝน ในอนาคตเ้าต้องประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งดาบไม่ด้อยไปกว่าข้าและมั่วทิงอวี่แน่นอน”
ซูฉางอันรับรู้ได้ว่ามีปราณดาราแทรกซึมเข้าไปในร่างของตนเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเขามาหลายครั้งหลายคราแล้วเขาจึงรู้ว่านั่นเป็การสืบดาราของฉู่ซีฟงนั่นเอง ซูฉางอันเบิกตากว้างดวงตาเมื่อมองไปยังฉู่ซีฟงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ผู้าุโฉู่ท่าน...?”
“อืม” ฉู่ซีฟงพยักหน้าเพื่อยืนยันข้อสันนิษฐานของซูฉางอัน
“แต่การสืบดารานี้...” ซูฉางอันพูดขึ้นอีกครั้ง ฉู่ซีฟงมอบสิ่งที่ล้ำค่ามากเหลือเกินให้ตนอย่างง่ายดายเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“ก็เ้าเรียกข้าว่าอาจารย์นี่ เพราะฉะนั้นของสิ่งนี้ข้าย่อมต้องมอบให้เ้าอยู่แล้ว” ฉู่ซีฟงพูดขึ้น
“...” ซูฉางอันคิดว่าที่ฉู่ซีฟงพูดก็มีเหตุผล จึงเลิกถามซักไซ้ต่อเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามขึ้นอีก “เช่นนั้น ผู้าุโฉู่เมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีกครั้งหรือขอรับ?”
ฉู่ซีฟงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง“ดูแลท่านอวี้เหิงให้ดีล่ะ”
หลังพูดจบฉู่ซีฟงก็หุบยิ้มลงแล้วหันไปประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อทำความเคารพต่ออวี้เหิง “ท่านอวี้เหิง!ซีฟงขอลาก่อน!ท่านต้องดูแลตัวเองด้วย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง สายฟ้าสีม่วงก็ประกายออกมาจากร่างของเขาจากนั้นร่างแกร่งก็กลายเป็ลำแสงแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่อึดใจแสงนั้นก็พุ่งไปลับตาเสียแล้ว
ซูฉางอันมองลำแสงสีม่วงพุ่งหายไปต่อหน้าต่อตาด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจราวกับเสียของรักไปจากนั้นก็หันไปมองอวี้เหิง เขาอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่อาจเป็เพราะใบหน้าของอวี้เหิงในตอนนี้แลดูจริงจังเป็อย่างมากเขาจึงอ้าปากขึ้น แล้วปิดปากลงอีกครั้งในที่สุด
“เ้าอยากถามสิ่งใดรึ?” ทว่าอวี้เหิงกลับปรายตามาที่เขาแล้วถามขึ้น
ซูฉางอันมองไปยังอวี้เหิงที่มีท่าทีง่วงซึมเมื่อรู้ว่าปิดไม่อยู่จึงเกาหัวตัวเอง แล้วถามออกไปในที่สุด“ผู้าุโฉู่กลายเป็นักรบแห่งดาราจักรได้อย่างไรหรือขอรับ?”
อวี้เหิงปรายตามองเขาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้น“เขามีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพขั้นสูงสุดมาตั้งนานแล้ว สำหรับเขาการเลื่อนพลังนับเป็เื่ง่ายดายยิ่งนัก แต่เพราะเขามีปราณดาราอยู่ในตัวทั้งยังไม่ได้บรรลุในเส้นทางแห่งพลังของตัวเอง เช่นนั้นทันทีที่เลื่อนพลังขึ้นไปดาวนภาหมองบนฟ้าต้องรับรู้ได้ถึงพลังของเขาและบังคับให้เขาเชื่อมชีพดาราเข้ากับมันเป็แน่เพราะเขาไม่พอใจให้เื่เป็เช่นนั้นจึงข่มให้พลังของตนอยู่ในระดับคุมพิภพมาโดยตลอดด้วยหวังว่าสักวันจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรได้ด้วยเส้นทางแห่งพลังของตน”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไป จู่ๆ เขาก็หวนนึกถึงคำพูดที่ฉู่ซีฟงเคยกล่าวไว้
“เมื่อไม่มีชีพดาราเป็ของตัวเองแล้วจะไปที่ทะเลแห่งหมู่ดาวนั่นได้เยี่ยงไร”
เขารู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นอย่างกะทันหันจึงถามขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “แล้วทำไมเขาถึงไม่รอต่ออีกสักหน่อยเล่าขอรับ?”
“รออย่างนั้นรึ? หากรอต่อไปอีกเ้าคงตายในเมืองเฟิงตูไปแล้ว!” อวี้เหิงพูดขึ้นแต่พอเห็นว่าซูฉางอันมีท่าทางเศร้าซึมเพราะเื่นี้ จึงรู้สึกใจอ่อน และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง“หากแม้ไม่เกิดเื่ในวันนี้ เขาก็หาได้มีเวลาศึกษาเื่เส้นทางแห่งพลังของตนอีกต่อไปอย่างมากก็สามเดือน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลายเป็นักรบแห่งดาราจักรให้ได้”
“หืม? ทำไมหรือขอรับ?” ซูฉางอันไม่เข้าใจ เขาหวนนึกถึงคำพูดที่ฉู่ซีฟงเคยบอกเมื่อครู่พลางถามขึ้นอย่างเป็กังวล “เป็เพราะศัตรูอะไรนั่นของตระกูลฉู่ใช่ไหมขอรับ? พวกเขาจะเริ่มลงมือกับผู้าุโฉู่แล้วใช่ไหมขอรับ?”
“ตระกูลฉู่และศัตรูของพวกเขาเคยทำสัญญาต่อกันเอาไว้พวกเขาตกลงกันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือระรานกันเป็เวลาหนึ่งร้อยปีแต่สามเดือนข้างหน้าก็ครบกำหนดหนึ่งร้อยปี ซึ่งเป็จุดสิ้นสุดของสัญญานี้แล้ว”
“เช่นนั้นผู้าุโฉู่ก็ตกอยู่ในอันตรายสิขอรับให้ข้าไปช่วยเขานะขอรับ!” ซูฉางอันพูดขึ้น
“ช่วยงั้นรึ? หากแม้แต่ฉู่ซีฟงที่เป็นักรบแห่งดาราจักรก็ยังจัดการไม่ได้ต่อให้เ้าจะไปก็รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มเสียเปล่าๆ”
ซูฉางอันเห็นว่าอวี้เหิงพูดมีเหตุผล เพราะตนวู่วามลงมือโจมตีศัตรูโดยพลการ ฉู่ซีฟงจึงต้องตกอยู่ในอันตรายซูฉางอันจับจมูกตัวเองอย่างเขินอาย แต่ก็ยังไม่อยากยอมแพ้จึงถามขึ้นอีกครั้ง“เช่นนั้น ศัตรูของตระกูลฉู่เป็ใครหรือขอรับ?”
ครั้งนี้ อวี้เหิงไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแต่แตะมือลงบนไหล่ของซูฉางอันจากนั้นก็มีแสงสีขาวประกายวาบขึ้น เพียงเท่านั้น คนทั้งสามก็หายไปจากเมืองหลานหลิงที่เต็มไปด้วยความตายเสียแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้