ในค่ายทหาร คำสั่งทหารดุจขุนเขา อวี๋เจิ้นซีหายตัวไป ตราอาญาสิทธิ์จึงหายไปด้วยเช่นกัน ให้ตายสิ... “สถานการณ์คับขัน ทั้งหมดมีเปิ่นหวางรับผิดชอบ เคลื่อนไหวได้...”
“แต่ว่า...” ยังมีรองแม่ทัพท่านหนึ่งลังเลใจ ไม่กล้าปฏิบัติตาม
“ผู้ที่สงสัยรออยู่ที่นี่ ผู้ที่ไร้ข้อกังขาแล้วให้ติดตามหลี่จงิไป” กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้น “ไปเนินเขาสูง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
รองแม่ทัพทั้งห้า มีสองคนเหลืออยู่ที่นั่น ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ อีกสามคนไปกับหลี่จงิ หลี่จงิแบ่งกำลังออกเป็สามทาง ทางแรกคืออ้อมค่ายทหารซีเป่ยไปยังูเาด้านหลัง ป้องกันการโจมตีของศัตรูจากทางด้านหลัง ทางที่สองคือไปแนวหน้า ยังมีทหารอีกหน่วยหนึ่งอยู่ด้านหลังเป็กองหนุน และที่เหลืออยู่ในค่ายทหาร สองท่านนี้ถือเสียว่าเป็ผู้เฝ้าคุ้มกันค่ายทหาร
บนเนินเขาสูง กู้จวิ้นเฉินถือกล้องส่องทางไกลเพื่อสังเกตการณ์รบ หลี่จงิ จวิ้นอี และเมิ่งเต๋อหลางล้วนอยู่ข้างกายเขา ด้านหลังเป็ทหารรักษาพระองค์ที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ส่งมา
“แคว้นฝูชิวมีกำลังทหารทั้งหมดเท่าใด?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“แคว้นฝูชิวเป็ชนเผ่าเร่ร่อน กำลังทหารรวมแล้วอยู่ที่ราวๆ ห้าหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ แต่สูงสุดมีถึงสิบหมื่นนาย ด้วยมีชนเผ่าต่างๆ มาเข้าร่วม” หลี่จงิกล่าว
“เช่นนั้นในยามปกติที่พวกเขาโจมตีพวกเรา มีกำลังทหารถึงสิบหมื่นหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ โดยพื้นฐานแล้วล้วนอยู่ที่ห้าหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ” หลี่จงิไม่รู้ความหมายที่กู้จวิ้นเฉินถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านตาของข้าและหลี่โหวล้วนเป็แม่ทัพระดับแนวหน้า รวมไปถึงเสด็จอาของข้าด้วย เหตุใดกำลังพลสิบหมื่นของแคว้นเราจึงไม่สามารถเอาชนะกำลังพลห้าหมื่นของแคว้นฝูชิวได้เล่า?” จุดนี้ กู้จวิ้นเฉินไม่กระจ่างแจ้งยิ่งนัก กำลังพลแตกต่างกันกว่าครึ่ง กล่าวได้ว่าแคว้นจีนย่อมเป็ฝ่ายได้เปรียบ และผู้ที่ทำหน้าที่นำทัพล้วนไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป
“มีความเป็ไปได้สองประการพ่ะย่ะค่ะ” หลี่จงิวิเคราะห์ “ประการแรก ทหารม้าของแคว้นฝูชิวค่อนข้างร้ายกาจ และกำลังทหารราบของแคว้นเรานั้นมีกำลังพลมากกว่าสองในสามของทั้งหมด ประการที่สองคือสภาพภูมิประเทศ พวกเราไม่สามารถเข้าไปในสนามรบของฝูชิวได้ สภาพภูมิประเทศของพวกเขามีลักษณะง่ายต่อการป้องกันแต่ทว่ายากต่อการโจมตีพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารราบมีอยู่สองในสามของกำลังพล นั่นกล่าวได้ว่าทหารม้าคือหนึ่งในสาม มีประมาณสามหมื่นคน และแม้แคว้นฝูชิวจะมีกำลังพลเพียงห้าหมื่นคน แต่ทว่าทหารม้าของพวกเขามีมากกว่าสามหมื่นคน ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ หากทหารม้าปะทะกัน ทหารม้าของแคว้นจีนเก่งกล้าไม่สู้ทหารม้าของแคว้นฝูชิว
ดังนั้นทุกครั้งที่แคว้นฝูชิวเข้าโจมตี แม้แคว้นจีนจะชนะการศึก ทว่าความเสียหายและาเ็นั้นสาหัสยิ่งนัก
หากเปรียบเทียบกันแล้ว เท่ากับแคว้นฝูชิวเป็ฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นแคว้นฝูชิวจึงชมชอบที่จะมาโจมตีแคว้นจีน ทำให้แคว้นจีนโกรธเกรี้ยวแต่ไม่สามารถทำอันใดพวกเขาได้
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ลากตัวพวกเขาลงจากหลังม้ามาสู้กัน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“แต่ปัญหาอยู่ที่จะลากลงมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่จงิถาม ผู้อื่นไม่อยากลงจากหลังม้า พวกเขาก็ไร้สิ้นหนทาง และการเคลื่อนไหวของม้านั้นรวดเร็วนัก ลำบากต่อการลากดึง ั้แ่แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋มาถึงจ้าวหนิงฮ่องเต้มาถึงหลี่ซวี่ จนกระทั่งมาถึงอวี๋เจิ้นซี ใครๆ ก็ล้วนคิดจะลากคนของแคว้นฝูชิวลงมาจากหลังม้ามาต่อสู่กัน และแคว้นฝูชิวจะมาโจมตีเมื่อใดไม่มีผู้ใดรู้
“ปัญหานี้ต้องไปไตร่ตรองหาวิธีให้ดี” กู้จวิ้นเฉินหันกายกลับไปพูดกับจวิ้นอี “ไปสืบเื่รองแม่ทัพทั้งสามที่ยินยอมออกรบทั้งที่ไม่มีตราอาญาสิทธิ์ให้ดี”
“เหตุไฉนจึงตรวจสอบพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่ตรวจสอบสองคนที่เหลือหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่จงิไม่เข้าใจ นี่เป็เหตุผลที่ว่าเหตุใดหลี่จงิจึงเหมาะสมเพียงตำแหน่งรองแม่ทัพ เขาอยู่ในประเภทคิดอะไรง่ายดาย ทว่าเขามีใจที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีซึ่งเป็สิ่งที่หาได้ยากนัก
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่เหลืออยู่ต่างหากที่ทำให้เกิดข้อสงสัย ทว่าพวกเขากลับเลือกที่จะอยู่ที่นี่ อาจเป็เพราะไม่กลัวจะถูกสงสัย” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “แต่แน่นอนว่าเป็เพียงความสงสัยของข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะติดต่อกับหน่วยสืบราชการลับพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีออกไปแล้ว
“ช้าก่อน” กู้จวิ้นเฉินเรียกเขาเอาไว้ จากนั้นพูดข้างหูเขาหลายประโยค “ไปเถิด”
จวิ้นอีรีบออกไปทันที
การโจมตีของแคว้นฝูชิวไม่ได้เนิ่นนานนัก พวกเขาในเวลานี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสู้รบกันจริงๆ การโจมตีทุกครั้งล้วน้าทดสอบความอดทนของแคว้นจีน ครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า อีกทั้งยังไม่เหมือนแคว้นเล็กอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับแคว้นจีน
“แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ...ท่านอ๋อง” มีคนวิ่งขึ้นมาบนเนินสูง เนินสูงแห่งนี้สร้างด้วยไม้เพื่อนำมาใช้ในการสอดส่องสถานการณ์การศึก ด้านล่างท่อนไม้เหล่านี้เต็มไปด้วยกระสอบทราย เนินสูงนี้ได้ก่อสร้างอยู่หน้าค่ายทหารของแคว้นจีน มีองครักษ์คุ้มกันอยู่ที่นี่
“เกิดเื่อันใดขึ้น?” กู้จวิ้นเฉินส่งกล้องส่องทางไกลให้องครักษ์ ลงมาจากเนินสูงแล้วเอ่ยถาม
“มีผู้บุกรุกลอบโจมตีค่ายทหารพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กล่าว
“ด้านหลังไม่ใช่มีคนป้องกันอยู่หรอกหรือ? ไม่พบเห็นก่อนหรือไร?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ไม่ได้มาจากด้านหลังพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ จนทำให้คนที่อยู่แนวหลังรู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์ตอบ
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็เช่นใดบ้าง? ทั้งหมดบุกโจมตีเข้ามากี่คน?”
“ประมาณหนึ่งร้อยคนพ่ะย่ะค่ะ มือสังหารที่ลอบสังหารท่านถูกชิงตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คนในค่ายทหารทั้งค่ายไม่สามารถรับมือกับการบุกโจมตีของคนเพียงร้อยคนได้รึ?” ความโกรธแค้นในอกของกู้จวิ้นเฉินลุกท่วมราวกับเปลวไฟ “พวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่? กำลังเล่นสนุกกันใช่หรือไม่?”
องครักษ์เงียบงัน ไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของกู้จวิ้นเฉิน
“เวลานี้นอกจากมือสังหารถูกชิงตัวไปแล้วยังมีเื่ใดอีก ฝ่ายเรายังมีความเสียหายอะไรบ้าง?” กู้จวิ้นเฉินถาม “รองแม่ทัพเคอและรองแม่ทัพเฉียนกำลังทำอันใด?” ครั้งนี้ผู้ที่เหลืออยู่ในค่ายทหารคือเขาทั้งสองคน
“รองแม่ทัพเคอได้รับาเ็พ่ะย่ะค่ะ รองแม่ทัพเฉียนได้นำกำลังพลไปไล่ล่า เวลานี้ยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กล่าว
“หลี่จงิ เ้ารออยู่ที่นี่ หมอเทวดาเมิ่ง พวกเราไปดูกัน”
สถานการณ์ในเวลานี้ของค่ายทหารชุลมุนวุ่นวายอยู่บ้าง กู้จวิ้นเฉินจินตนาการไม่ออกว่านี่เป็สภาพที่ถูกกำลังทหารเพียงหลักร้อยเข้าโจมตี กำลังพลที่เหลืออยู่ในค่ายทหารเพื่อเฝ้าระวังมีถึงสองหมื่นคน ยังทำให้เื่ราวกลายเป็เช่นนี้ได้? กฎเกณฑ์ในค่ายทหารเล่า มาตรการฉุกเฉินเล่า หรือเป็เพราะพี่ชายหายตัวไป พวกเขาจึงไม่เหลือแม้กระทั่งกลยุทธ์ศึกในการรบ? ค่ายทหารซีเป่ยเป็ค่ายทหารของทหารนับสิบหมื่น ไม่ใช่แม่ทัพเพียงคนเดียว
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไร้ความสามารถ” รองแม่ทัพเคอที่ได้รับาเ็มีสีหน้าผิดหวังและละอายใจ
“ลุกขึ้นมาพูดถึงสถานการณ์โดยรวมเสีย เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมากล่าวโทษ” กู้จวิ้นเฉินมาตรวจสอบที่คุมขังมือสังหาร “เ้าบอกข้ามาซิว่าคนหนึ่งร้อยคนโจมตีเข้ามาในวงล้อมของพวกเราได้อย่างไรกัน พวกเขามีความสามารถในการเหินฟ้าดำดินได้หรืออย่างไร?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ เป็อาวุธลับชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ” แม่ทัพเคอกล่าว “พวกเขาใช้อาวุธลับชนิดนึ่งโยนเข้ามามาในค่ายทหาร จากนั้นอาวุธลับชนิดนี้ก็มีควันสีขาว ทำให้ประสาทการมองเห็นแย่ลง ท่ามกลางควันสีขาวเหล่านี้ พวกเราไม่รู้ว่าผู้ใดเป็ศัตรูหรือคนกันเอง ดังนั้นจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับาเ็พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็อาวุธลับชนิดหนึ่งที่มีควันรึ? ยังมีเบาะแสอื่นทิ้งร่องรอยไว้หรือไม่” กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว หากมีอาวุธลับชนิดนี้ เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามเข้ามาบุกรุกได้อย่างไร ย่อมต้องมีเบาะแสแน่นอน
“มีพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นควันสีขาวหมดไป พวกเขาจากไปแล้ว แต่อาวุธลับไม่ได้เอาไปด้วย เพราะอาวุธลับไม่ก่อให้เกิดควันสีขาวแล้ว” รองแม่ทัพเคอเรียกให้คนเก็บอาวุธลับกลับมามอบให้กับกู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินรับอาวุธลับไป การออกแบบของอาวุธลับชนิดนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก มีรูปร่างเหมือนขวดเหล้า ปากขวดเล็กยิ่งนัก ด้านล่างมีลักษะกลม ๆ และยังมีกลิ่นแปลกประหลาดอยู่ด้วย “หมอเทวดาเมิ่ง ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ผู้ที่ออกแบบอาวุธลับชนิดนี้ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก” เมิ่งเต๋อหลางกล่าว “นี่เป็ควันธรรมดาทั่วไป เป็ควันที่เกิดจากการเผาหญ้าสมุนไพรต่างๆ”
“ใช้หลักการเผาหญ้าสมุนไพรรึ?” กู้จวิ้นเฉินตกตะลึงอย่างยิ่งยวด “เป็การออกแบบที่เหลือเชื่อยิ่งนัก หากสมุนไพรที่ใช้เผามีพิษละก็...”
“หากพืชสมุนไพรมีพิษมีสรรพคุณเช่นนี้พวกเขาย่อมทำแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่ตามที่ข้ารู้มานั้น ยังไม่มีสมุนไพรที่มีพิษเช่นนี้อยู่ อีกทั้ง หากมีอยู่จริงก็เป็อันตรายยิ่งนัก เช่นวันนี้ที่มีคนอยู่มากมาย พวกเขายังต้องเตรียมยาถอนพิษให้คนของตนเอง ยาพิษหาง่าย ยาถอนพิษหายาก” เมิ่งเต๋อหลางกล่าว
“ท่านหมอเทวดาเมิ่งมีวิธีการที่จะทำอาวุธลับชนิดนี้หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ตัวสมุนไพรนั้นข้ารู้ หญ้าสมุนไพรชนิดต่างๆ ข้าย่อมหาได้เช่นกัน แต่การออกแบบเปลือกด้านนอกนี้ข้าทำไม่ได้ ทว่าสมุนไพรชนิดนี้มีอยู่อย่างจำกัด คิดดูแล้วปริมาณที่ฝ่ายตรงข้ามมีนั้นไม่มากนัก” เมิ่งเต๋อหลางกล่าว
“อืม” จุดนี้กู้จวิ้นเฉินเห็นด้วย “ด้านนอกให้กรมโยธาธิการ[1]รับหน้าที่ไปออกแบบ ข้าจะนำตัวอย่างนี้ส่งไปเมืองหลวงให้เสด็จอา ขณะเดียวกันจะได้นำเื่ราวในวันนี้ทูลเสด็จอาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกู้จวิ้นเฉินกลับถึงกระโจมก็เริ่มเขียนสาร เขาเขียนสารสองฉบับ ฉบับหนึ่งให้จ้าวหนิงฮ่องเต้ อีกฉบับหนึ่งให้หลี่ลั่ว
แต่สารเพิ่งจะถูกส่งออกไปไม่กี่วัน ฉุนหยางอ๋องและอ๋าวเหลียวก็ได้มาถึงแล้ว “มีพระราชโองการ ฉีอ๋องกู้จวิ้นเฉินรับราชโองการ”
กู้จวิ้นเฉินคุกเข่าต่อหน้าคนทั้งหมดในค่ายทหารซีเป่ยเพื่อรับราชโองการ ฉุนหยางอ๋องนำพระราชโองการมานั้นเป็เื่ที่เหนือคาดอย่างยิ่งยวด สำหรับกู้จวิ้นเฉินแล้วนั้น นี่เป็ข่าวดียิ่งกว่าฟ้าเลยทีเดียว แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไป กู้จวิ้นเฉินไม่มีตราอาญาสิทธิ์ของค่ายทหารซีเป่ย และพระราชโองการของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นให้เขารับ่ต่อค่ายทหารซีเป่ย เท่ากับเป็ตราอาญาสิทธิ์อีกคำสั่งหนึ่ง จะไม่ตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร
“ต้องลำบากท่านอ๋องเดินทางมาแล้ว” กู้จวิ้นเฉินต้อนรับฉุนหยางอ๋องเข้ามาในกระโจม หากว่ากันตามลำดับาุโแล้ว ฉุนหยางอ๋องและไท่จื่อเยี่ยนนับเป็รุ่นเดียวกัน และยังเป็แม่ทัพที่มีชื่อเสียง เหตุการณ์ก่อฏเมื่อหกปีก่อนเขามีความดีความชอบใหญ่หลวง ดังนั้นกู้จวิ้นเฉินจึงเคารพนับถือฉุนหยางอ๋องยิ่งนัก
“เมื่อสักครู่ที่พวกเราเดินทางมานั้น พบว่าตลอดเส้นทางได้มีการระมัดระวังเข้มงวดกวดขันเป็พิเศษ” ฉุนหยางอ๋องกล่าว ฉุนหยางอ๋องและกู้จวิ้นเฉินในยามปกติน้อยนักที่จะได้พูดคุยกัน และในขณะที่ฉุนหยางอ๋องรบทัพจับศึกอยู่ในสนามรบนั้นกู้จวิ้นเฉินยังไม่เกิด อายุของทั้งสองคนต่างกันมากเกินไป
“หลายวันก่อนมีนักฆ่า” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“นักฆ่ารึ?” ฉุนหยางอ๋องตกตะลึง “พุ่งเป้ามาที่เ้าหรือ?”
“อืม ท่านอ๋องเชิญนั่ง ข้าจะค่อยๆ อธิบายสถานการณ์” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “ขอแนะนำ หลี่จงิ ผู้รั้งตำแหน่งขั้นสี่แนวหน้าท่านนี้”
“หลี่จงิถวายบังคมฉุนหยางอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ช่วยข้างกายอันดับหนึ่งของหลี่ซวี่หลี่โหวเหยฺ เปิ่นหวางเคยได้ยิน หกปีก่อนได้เคยพบกันแล้ว”
“ความจำของท่านอ๋องดียิ่ง” หลี่จงิหัวเราะ หกปีก่อนแม้หลี่ซวี่จะมีความชอบครั้งใหญ่ ทว่าตัวคนเ่าั้ที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เขาเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างความชอบครั้งใหญ่ได้
ณ เมืองหลวง
ปัง...จ้าวหนิงฮ่องเต้ได้รับสารจากกู้จวิ้นเฉิน สีพระพักตร์ดำคล้ำลงทันที
“ฝ่าา?” ไห่กงกงใจนสะดุ้ง
“เ้ามาดูเอง” จ้าวหนิงฮ่องเต้โยนสารนั้นให้เขา ไห่กงกงเห็นสารแล้วก็ใจนสะดุ้งเช่นกัน “มีคน...มีคนลอบสังหารฉีอ๋อง ผู้ใดช่างขวัญกล้ายิ่งนัก ไม่้าชีวิตแล้วหรือไร?”
“ไม่้าชีวิตรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “เกรงว่าจะเป็การ้าชีวิตมากเกินไป จึงไปสังหารกู้จวิ้นเฉิน”
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะ”
“แต่ละคนล้วนจดจ้องบัลลังก์ัของเจิ้น ไฉนพวกเขาจึงมีความทะเยอทะยานเช่นนี้?” จ้าวหนิงฮ่องเต้โมโหแล้วจริงๆ บัลลังก์ัสำคัญกว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องที่เปรียบเสมือนแขนขากระนั้นหรือ? ไม่จำเป็ต้องตอบคำถาม ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีเหตุการณ์ก่อฏเมื่อหกปีก่อนได้อย่างไร
[1] กงปู้ (工部) หรือ กรมโยธาธิการ เป็หนึ่งในหกกรมย่อยภายใต้ฝ่ายบริหารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างและการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างรวมไปถึงสาธารณูปโภคต่างๆ เป็กรมที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในหกกรม
