เหอตังกุยเช็ดน้ำตาพลางส่ายศีรษะกล่าว “ข้าไม่รู้เ้าค่ะ เพียงได้ยินว่าเรือนซู่เหม่ยเคยเป็ของภรรยาคนแรกของท่านลุงสาม หลังนางตายจากไป ท่านลุงสามก็ปิดตายเรือนซู่เหม่ย คิดจะมอบเป็ห้องหนังสือให้พี่ชายรองตอนเขาโต เพียงแต่สองปีก่อนท่านลุงสามไปทำการค้าขายที่ทางเหนือ เรือนซู่เหม่ยจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งพี่หญิงรองเข้าไปอยู่ ตอนไหนข้าก็ไม่อาจทราบได้ ได้ยินสาวใช้ที่เหลือในจวนพูดกันว่าสาวใช้เกือบสิบคนล้วนไปทำงานที่เรือนซู่เหม่ย ทั้งยังได้ยินอีกว่าพี่หญิงรองชอบสวนดอกไม้ในเรือนซู่เหม่ย จึงขอให้ท่านป้ารองมอบกุญแจเรือนให้แก่นาง”
หยางมามาได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบทันที ก่อนถอนหายใจพลางเอ่ย “เฮ้อ นายหญิงรองตามใจคุณหนูรองเกินไป ข้าเชื่อว่าแม้คุณหนูรองจะยังเด็กและไม่เข้าใจ แต่นายหญิงรองเป็ผู้ดูแลจวนจะต้องแยกแยะเื่ส่วนตัวกับเื่ส่วนรวมได้ชัดเจน อะไรแตะต้องได้ อะไรเป็สิ่งต้องห้าม นายหญิงรองล้วนรู้ดี ไม่มีทางเรือนของครอบครัวสาขาสามโดยพลการแน่นอน นางน่าจะแจ้งครอบครัวสาขาสองและสาขาสามแล้ว อาจจะยืมอาศัยก่อนสองสามเดือน เมื่อคุณหนูรองย้ายของออกจากเรือนซู่เหม่ย นายท่านสามและพวกก็น่าจะกลับจากทางเหนือพอดี เื่นี้จึงไม่มีผลกระทบ”
เหอตังกุยพยักหน้าอย่างมั่นใจก่อนเอ่ย “หยางมามาพูดมีเหตุผล ต้องเป็เช่นนี้แน่ นายหญิงรองแยกแยะเื่ส่วนตัวและเื่ส่วนรวมได้ชัดเจน ทั้งยังเป็คนรักญาติพี่น้อง”
หยางมามาหันกลับไปเอ่ยปลอบใจนาง “คุณหนูสาม ท่านอย่าได้ใส่ใจพวกคนใช้เ่าั้เลย แม้คุณหนูรองจะเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็เด็กดีมีน้ำใจคนหนึ่ง ปฏิบัติต่อคนอื่นดียิ่ง นางคงไม่รู้ว่าคนเ่าั้เป็คนรับใช้เรือนท่านจึงรับพวกนางเข้ามา เมื่อข้ากลับไปจะรีบบอกคุณหนูรองให้ส่งตัวบ่าวรับใช้ทั้งหมดที่เคยทำงานในเรือนซีคั่วคืนให้ท่าน และขอเหล่าไท่ไท่ทำความสะอาดเรือนซีคั่วอีกรอบเพื่อคืนเรือนที่เหมือนใหม่ให้แก่ท่าน ดีหรือไม่?”
สายตาของเหอตังกุยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนโบกมือปฏิเสธ “ไม่เ้าค่ะ มามาอย่าบอกพี่หญิงรองเลยเ้าค่ะ”
“ทำไมหรือ?” หยางมามาเลิกคิ้วถาม “คุณหนูรองพูดด้วยง่ายอยู่แล้ว คุณหนูสามไม่ต้องกังวล”
เหอตังกุยก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ดังที่สาวใช้ในเรือนพูด เรือนซู่เหม่ยไม่เพียงมีอาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้น อีกทั้งเ้านายยังกินน้อย ไม่เหมือนข้า...กับข้าวสองอย่างและข้าวหนึ่งถ้วยที่ถูกส่งมาในยามดึกก็กินไม่เหลือ ทว่าเรือนซู่เหม่ยกลับมีอาหารน่าอร่อยเหลือเต็มโต๊ะ เ้านายกินเพียงสองคำก็มอบให้บ่าวรับใช้... ยามปกติก็มอบรางวัลให้เสมอ ส่งผ้าไหมให้หลายสิบพับทุกเดือน ตราบใดที่เ้านายของพวกนางไม่ถูกใจสีหรือแบบเสื้อผ้าก็จะมอบให้สาวใช้เป็รางวัล… อีกทั้งถุงเงินพวกเขายังเต็มไปด้วยเงินเหรียญ เมื่อคาดเอวก็จะมีเสียงเหรียญกระทบกัน ไพเราะยิ่งนัก...พวกสาวใช้ยังพูดอีกว่า...เ้านายใหม่ดีกว่าชาวนายากจนและขี้เหนียวเช่นข้า แตกต่างราวฟ้ากับดิน…”
อาการคันบนสองมือของหยางมามากำเริบอีกครั้ง นางเอ่ยอย่างเดือดดาลพลางเกามือไปด้วย “คนรับใช้เ่าั้พูดจาไปเรื่อยทั้งวัน แต่ไม่ปรนนิบัติรับใช้เ้านายให้ดี กลับนั่งนินทาเ้านาย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก หากข้ากลับไปเมื่อไรจะสั่งสอนพวกนางให้หลาบจำ ดูซิว่ายังจะกล้ากระด้างกระเดื่องกับคุณหนูสามอีกหรือไม่!”
เหอตังกุยยกมือห้ามปรามพลางเอ่ย “มามาอย่าลดระดับไปสั่งสอนพวกนางเลยเ้าค่ะ ปล่อยพวกนางไปเถิด ถึงอย่างไรก็เคยอยู่รับใช้ข้ามาก่อน ก่อนที่ข้าจะมาวัดนี้ก็ทำให้พวกนางลำบากมาก หลังจากข้า ‘ตาย’ สาวใช้ในเรือนก็ต้องไปรับใช้เรือนอื่นและมีเ้านายใหม่ เมื่อข้ากลับไปก็ไม่้าเรียกพวกนางกลับมาปรนนิบัติรับใช้ เกรงจะเป็การแยกนายบ่าวออกจากกัน”
หยางมามาครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้พวกหมาป่าตาขาวกลับมา ข้าจะให้คนไปเลือกสาวใช้คนใหม่ให้แก่คุณหนูสามที่ตลาดชิงเฉ่าหนิว เสาะหาสักสองสามคนที่จะรับใช้คุณหนูสามด้วยใจจริง”
เหอตังกุยยังคงปฏิเสธ “สาวใช้คนใหม่ที่ซื้อจากด้านนอกนั้น ข้าก็ไม่เคยรู้จักพวกนางมาก่อน ไม่รู้นิสัยใจคอ เมื่ออยู่ด้วยกันก็จำต้องใช้ความพยายามมาก ข้าเป็คนจริงใจต่อผู้คน แต่แม้จะให้เงินเบี้ยเลี้ยงหนึ่งตำลึงกว่าแก่คนเ่าั้ ก็ไม่สามารถได้ความจริงใจที่แท้จริงตอบแทน สุดท้ายก็กลับกลายว่าข้าเป็ตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ เสียใจไปโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงอยากขอให้มามาตัดสินใจ อย่าได้ส่งสาวใช้มาที่เรือนซีคั่วอีก ข้ารักความสงบ ไม่้าผู้ใดปรนนิบัติ มีเพียงฉานอีคนเดียวก็พอเ้าค่ะ”
หยางมามาได้ยินแล้วสงสารยิ่งนัก จึงรีบเอ่ยปลอบใจ “คุณหนูสามไม่ต้องเสียใจ ก่อนหน้านี้เหล่าไท่ไท่เชิญซินแสฉีเสวียนอวี๋มาตรวจดวงชะตาท่าน ท่านซินแสบอกว่าอนาคตของท่านจะมีโชคลาภ ได้แต่งงานเข้าตระกูลดี วันดี ๆ ยังรอท่านอยู่ อย่าได้ใส่ใจบ่าวรับใช้ขี้ประจบประแจงเ่าั้เลย เช่นนี้ดีหรือไม่ เื่เลือกบ่าวรับใช้ก็ชะลอไปก่อน รอให้เหล่าไท่ไท่ทวงเงินสี่ร้อยตำลึงคืนท่านแล้วค่อยพูดเื่นี้ก็ยังไม่สาย อีกอย่างเมื่อกี้ท่านเพิ่งจะบอกว่ามีแม่ชีในวัดคนหนึ่งอยากเป็สาวใช้ของท่านใช่หรือไม่? คนเมื่อครู่...นางชื่อกุ้ยจือหรือกุ้ยฮวา?”
“นางชื่อไฮว่ฮวา ปีนี้อายุสิบเจ็ดเ้าค่ะ” เหอตังกุยเอ่ยเนิบนาบ “แม้ข้าจะไม่คุ้นเคยกับนาง แต่นางก็เคารพและเชื่อฟัง ข้าสั่งให้ทำอะไรก็จะรีบวิ่งไปจัดการทันที นางแตกต่างจากสาวใช้ในอดีตของข้ายิ่งนัก ข้าพูดหลายครั้งทว่าพวกนางกลับแกล้งไม่ได้ยิน อีกอย่างข้าก็ไม่ได้รับปากว่าจะพานางกลับไปด้วย นางก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงให้ข้าช่วยถามเท่านั้น หากไม่ได้นางก็จะคิดหาทางอื่น”
หยางมามาได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าทันที ก่อนตบมือพลางเอ่ย “ดูเหมือนนิสัยของแม่ชีเช่นพวกนางจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ไม่เหมือนสาวใช้ในเรือนบางพวกที่รู้แต่การแต่งหน้า ทาแก้ม ทัดดอกไม้ทั้งวัน อีกทั้งจิตใจยังไม่ซื่อตรง เมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ขอตัดสินใจเอง ตราบใดที่คุณหนูสามพอใจแม่ชีในวัดก็สามารถพานางกลับจวนได้ ให้พวกนางกลับสู่สามัญชนเพื่อเป็สาวใช้ของคุณหนูสาม”
เหอตังกุยเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณมามาที่เห็นใจ ยิ่งมีคนรู้ใจเคียงข้างมากเพียงใด ก็ยิ่งลดความลำบากใจได้ไม่น้อย”
“เหล่าหนูมักพูดกับบ่าวรับใช้เสมอว่าเ้านายในตระกูลหลัวล้วนเป็เ้านายที่ดีที่สุด บ่าวรับใช้เช่นพวกเราโชคดีไม่น้อยที่ได้เจอเ้านายดี ๆ สิ่งแรกของการเป็บ่าวรับใช้คือความซื่อสัตย์ อาจโง่บ้าง ี้เีบ้าง โลภมากบ้าง ผู้เป็นายก็สามารถปิดหูปิดตา ไม่ถือสาพวกเขาในเื่นั้น แต่หากบ่าวไม่เอาจริงเอาจังในการรับใช้ผู้เป็นาย ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เช่นนั้นก็เท่ากับทุบหม้อข้าวตัวเองแตกเสียแล้ว ไม่มีหน้ากินอาหารที่เ้านายมอบให้อีก” คำพูดของหยางมามาแสนเฉียบขาด นางจับจ้องแววตาของเหอตังกุย พลางเอ่ยจริงจัง “แผนที่ข้าวางไว้ก่อนหน้านี้คือรีบกลับตระกูลหลัวทันที เพื่อนำเื่ของคุณหนูสามไปรายงานเหล่าไท่ไท่ แล้วค่อยนำตัวคุณหนูสี่มาขอโทษท่านที่วัดสุ่ยซัง แต่สิ่งที่คุณหนูสามเล่าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าใกลัวนัก ท่านบอกว่าในความฝันคุณชายจูจะตาย เมื่อกลับไปตระกูลหลัวท่านอย่าได้เอ่ยคำพูดเหลวไหลเหล่านี้อีก”
เหอตังกุยพยักหน้าด้วยความสงสัย ทว่ากลับเอ่ยตอบรับ “ข้าจะจำไว้เ้าค่ะมามา”
“เช่นนั้นข้าจะนำเสื้อผ้าและผงปัดแก้มกลับไปให้จิ่วกูตรวจสอบเสียหน่อยว่ามันเป็ยาอะไร” เมื่อหยางมามากล่าวถึงตรงนี้ก็ปวดใจยิ่งนัก คุณหนูสี่ผู้ร่าเริงไร้เดียงสาเรียนรู้การใช้ยาพิษั้แ่เมื่อใดกัน?
เหอตังกุยเอ่ยขออภัย “ล้วนเป็ความผิดของข้า ตอนนี้หยางมามาได้รับพิษผงคัน ทั้งยังต้องรีบเร่งเดินทางกลับทั้งคืน ข้าทำให้หยางมามาต้องวิ่งไปมาถึงสี่รอบ ตังกุยไม่สบายใจยิ่งนัก” กล่าวจบก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ เปิดออก ก่อนส่งให้หยางมามาพลางเอ่ย “ข้าบังเอิญเห็นวิธีในหนังสือจึงทำยาออกมาสี่เม็ดเพื่อเลี่ยงการเมารถและขจัดความเหนื่อยล้า เดิมทีคิดจะใช้มันระหว่างทาง ทว่าตอนนี้ข้ายังต้องอยู่ที่วัดอีกสองวัน ระหว่างรอน่าจะทำได้อีกหลายเม็ด มามาโปรดอย่ารังเกียจยาเนื้อหยาบและเรียบง่ายเหล่านี้ ท่านสามารถกินระหว่างทางกลับได้”
หยางมามารับด้วยสองมือ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสามช่างรอบคอบเสียจริง ข้าขอบใจท่านมาก” แม้นางจะเอ่ยขอบคุณทว่าลึกในใจก็ไม่ได้ใส่ใจยาเหล่านี้เท่าไรนัก ยาที่เด็กน้อยเช่นคุณหนูสามทำจะได้ผลอันใด คิดเสียว่าเป็ลูกอมกินเล่นก็คงได้
เหอตังกุยครุ่นคิดก่อนเอ่ยกำชับ “ข้าจำสิ่งที่เขียนในหนังสือได้ หากอมยานี้ไว้จะได้ผลดีที่สุด มามาไม่ต้องดื่มน้ำหรือเคี้ยวนะเ้าคะ พวกมันจะละลายกลายสภาพเองในเวลาไม่นาน”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” หยางมามากำชับนางกลับ “คุณหนูสามพักผ่อนจิตใจให้สบาย อาการคันบนมือก็พยายามอดทนให้ถึงที่สุด อย่าเกามั่วซั่วเด็ดขาด หากเป็แผลคงไม่ใช่เื่ดีเท่าไรนัก เมื่อกลับจวนแล้วจะลองถามจิ่วกูว่ามีวิธีใดบรรเทาอาการคันได้บ้าง อย่างช้าที่สุดคือเช้าตรู่วันมะรืน ข้าจะกลับมารับคุณหนูสามแน่นอน คุณหนูสามโปรดอดทนรอหน่อยนะเ้าคะ” นางกล่าวจบก็ขอลาแล้วเดินออกจากประตู
เหอตังกุยเดินไปส่งนางถึงหน้าประตูลาน โบกผ้าเช็ดมือด้วยท่วงท่าสง่างาม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มามาเดินดี ๆ นะเ้าคะ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหยางมามาเลี้ยวหายไปตรงมุมกำแพง เหอตังกุยก็ถอดผ้าคลุมหน้าพลางสั่งการด้วยรอยยิ้ม “ฉานอี พรุ่งนี้เช้าพวกเราต้องไปจากวัดแล้ว ข้ามีเื่อยากพูดกับพี่เจินจู เ้ากับไฮว่ฮวารีบไปเก็บสัมภาระสิ่งของ ห่อขนมและน้ำชาผลซางจาไปกินระหว่างทางด้วย อย่าลืมนำฟูกปูบนรถม้า มิเช่นนั้นหากรถม้าตกหลุมตกบ่อหลายชั่วยามติดกัน พวกเ้าจะลำบากได้”
......
เช้าตรู่วันต่อมา เกาเจวี๋ยจอดเรือไว้ก่อนขึ้นฝั่ง หน้าต่างเฟยเหยียนรั่วสะท้อนผืนน้ำฉินไหว เรือสำราญจอดกระทบคลื่น แม้ตอนนี้อากาศหนาว แต่กิ่งหลิวยังคงเขียวชอุ่มพลิ้วไหวตามสายลม ทำให้สะพานข้ามน้ำแห่งนี้มีเอกลักษณ์ไม่น้อย เมื่อข้ามสะพานเล็กแล้ว ภายใต้กิ่งหลิวที่ปกคลุมหนาแน่นจะพบเรือนสีแดงซ่อนไว้หลังม่านกิ่งหลิว นี่คือเรือนสีแดงแห่งเดียวในเมืองอิ๋นหม่า
เกาเจวี๋ยเดินเข้าไปในเรือนอย่างชำนาญ มุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ทันที
เรือนหลังนี้สร้างตามรูปแบบูเา แม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางนัก แต่ใต้ชายคาก็ใหญ่โตโอ่อ่าเป็เอกลักษณ์ แม้เรือนใหญ่โตจะไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนที่สุด ทว่าจุดที่น่าสนใจที่สุดคือทั่วทั้งผืนดินของเรือนหลังนั้นล้วนปกคลุมด้วยเม็ดทรายสีขาวละเอียด ไม่ว่ามองที่ใดก็จะเห็นแต่เม็ดทราย ััได้ถึงกลิ่นอายท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ ขับให้ดอกไม้และต้นไม้นานาชนิดในเรือนหลังนี้สวยงามยิ่งนัก
เกาเจวี๋ยเดินผ่านห้องโถง เมื่อเดินทะลุระเบียงโค้งงอก็จะพบเรือนอีกหลังหนึ่ง เรือนแห่งนี้เงียบสงบไร้เสียงผู้คน ประตูห้องโถงและหน้าต่างทางทิศเหนือล้วนปิดสนิท ทว่ากลับมีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากเรือนหลังนั้น สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดพาดอกไม้ใบหญ้ากระจัดกระจายหน้าห้องโถง
“ท่านเกา รับเหล้า”
สิ้นเสียง ประตูห้องโถงก็เปิดออก สิ่งของสีดำบางอย่างพุ่งตรงมายังศีรษะของเกาเจวี๋ย เขาหลบหลีกโดยไม่เงยหน้ามอง ของสิ่งนั้นจึงลอยผ่านเป็เส้นโค้งงดงามก่อนร่วงลงพื้น “เพล้ง” มันแตกออกเป็เสี่ยง ๆ กลิ่นเหล้าหอมหวนชวนลองฟุ้งกระจายทั่วห้องโถง
เลี่ยวจือหย่วนมองไหเหล้าเจียซิ่งอายุกว่าเก้าปีใบนั้นสังเวยชีวิตให้พื้นดิน เขาจับหน้าต่างพลันะโด้วยความเดือดดาล “ข้าบอกให้เ้ารับไม่ใช่หรือ? เ้านี่มันลาโง่ไร้ความรู้สึกจริง ๆ ”
เกาเจวี๋ยไหวไหล่ก่อนหรี่ตาเดินเข้ามาในห้องโถง เข้านั่งลงข้างโต๊ะพลางยกไหเหล้าที่เหลือครึ่งหนึ่งเทเข้าปาก ที่บอกว่า “เท” ก็เพราะมือใหญ่ที่ยกไหเหล้านั้นรีบร้อนเกินไป เหล้าส่วนใหญ่จึงไม่เข้าปากแต่กลับไหลผ่านเคราสีดำของเขาแทน เหล้าดีเกือบครึ่งไห เกาเจวี๋ยดื่มสองสามอึกก็หมดแล้ว แต่หากกล่าวตามจริง เขาดื่มไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะที่เหลือไหลตามเสื้อคลุมสีดำยาวของเขาเสียหมด
เกาเจวี๋ยโยนไหเหล้าเปล่าออกนอกหน้าต่าง ก่อนทิ้งตัวนอนบนเตียง หันหน้าเข้ากำแพงและเข้าสู่ห้วงนิทราในทันใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้