ซูฉีฉี หญิงสาวผู้สวมใส่ชุดวิวาห์สีแดงสดกำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ในเรือนหอของจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวมือทั้งสองของนางกำแน่นเข้าหากันจนใจกลางฝ่ามือมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาให้เห็นจางๆ
ผ้าคลุมหน้าเ้าสาวบดบังใบหน้าที่เรียวเล็กของนางเอาไว้ ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าภายใต้ผ้าผืนนี้นางกำลังรู้สึกหวาดกลัวและว้าวุ่นใจเพียงใด วิวาห์ครั้งนี้ไร้ซึ่งคำชื่นชมยินดีไร้ซึ่งความรักและความยินยอม นางในตอนนี้เปรียบเสมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ไม่เป็ที่ชื่นชอบและไร้คุณค่าสามารถส่งมอบจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างไร้ความหมาย
นาง ซูฉีฉี เดิมเป็ถึงลูกสาวคนโตของฮูหยินเอกจวนอัครมหาเสนาบดีซ้ำยังถูกเลือกให้เป็ว่าที่ฮองเฮาจากพระบรรชาของฮ่องเต้องค์ก่อนทว่าในคืนก่อนวันาาภิเษก ฮ่องเต้กลับมีพระราชโองการปลดนางออกจากการเป็ว่าที่ฮองเฮาทำให้เื่นี้กลายเป็เื่ขบขันของคนทั่วทั้งแผ่นดิน
น้องสาวผู้อ่อนหวาน รูปโฉมงดงามของนางได้ถูกเลือกให้แต่งเข้าไปในวังหลวงในขณะที่นางกลายเป็หญิงสาวไร้ค่าที่โอรส์ไม่ไยดี ซ้ำพระองค์ยังมีพระประสงค์ส่งมอบให้กับองค์ชายม่อเวิ่นเฉินผู้ที่กำลังดำรงตำแหน่งอ๋องติ้งเป่ยโหวอยู่ในขณะนี้
แค่เพียงเพราะรูปโฉมที่มิอาจเทียบน้องสาว ซูเมิ่งหรู ได้
และแค่เพียงเพราะติ้งเป่ยโหวผู้ที่เืเย็น ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรมนั้นเปรียบเสมือนความภาคภูมิใจของแคว้นต้าเยียน จึงทำให้เขาเป็ดั่งหนามยอกอกของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ฮ่องเต้จึง้าใช้ซูฉีฉีในการสร้างความอัปยศให้แก่พระอนุชาองค์รองของตน
และถึงแม้ว่านางจะเป็บุตรีที่กำเนิดจากฮูหยินใหญ่ทว่าแม่ของนางกลับไม่เป็ที่รักใคร่ชื่นชอบของบิดาแม้แต่น้อยเพื่อให้แม่ของนางสามารถมีสิทธิ์มีเสียงอยู่ในจวนต่อไปได้ นางจำต้องยอมรับการแต่งงานที่ไร้สาระเช่นนี้ทั้งที่นางเองก็สามารถจินตนาการชีวิตอันอาภัพของตนหลังงานวิวาห์นี้ได้อย่างชัดเจน...
เรือนหอนั้นเงียบผิดปกติมีเพียงเสียงไหม้ของไส้เทียนดังเปาะแปะลอดออกมาให้ได้ยินเป็บางครั้งความเงียบเช่นนี้ยิ่งทำให้ใจของซูฉีฉีวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
นางกำลังเฝ้ารอบุรุษผู้ที่จะตัดสินชะตาชีวิตของนางเฝ้ารออนาคตอันมืดมนที่กำลังจะมาถึง
ประตูถูกผลักออกพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและสม่ำเสมอก้าวเข้ามา
“ท่านอ๋อง” แม่สื่อและสาวใช้แสดงความเคารพพร้อมขานเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ออกไปให้หมด” น้ำเสียงของเขาเย่อหยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เรียบเฉยไม่มีการขึ้นเสียงแต่อย่างใด
เสียงนี้ทำให้ในใจของนางที่แต่เดิมหวั่นกลัวอยู่แล้วต้องหวาดวิตกมากกว่าเก่าเสียงของบุรุษผู้นี้ไร้ซึ่งความปีติยินดี เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกไม่พึงพอใจอย่างมากกับการแต่งงานครั้งนี้
เมื่อมองลอดผ่านผ้าคลุมหน้าเ้าสาวนางก็เห็นเพียงรองเท้าสีดำของบุรุษตรงหน้า มือที่กุมอยู่ของนางบีบแน่นยิ่งขึ้น
เกิดเสียงฟึบดังขึ้นพร้อมกับมงกุฏหงส์ของเ้าสาวที่ร่วงลงสู่พื้นด้วยแรงปัดของชายหนุ่มปอยผมถูกแรงดึงของมงกุฎสร้างความเ็ปให้กับนางเป็อย่างมาก เพราะด้วยความใบวกกับแรงที่ถูกดึงทำให้ร่างของนางทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น
“เงยหน้าขึ้นมามองข้า”เสียงออกคำสั่งนิ่งๆ ดังออกมาจากปากของม่อเวิ่นเฉิน
“เ้าค่ะ ท่านอ๋อง”ซูฉีฉีเติบโตขึ้นมาในจวนอัครมหาเสนาบดีด้วยความหวาดกลัวมาโดยตลอดทำให้นางเคยชินกับการที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอยู่เสมอในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูเหมือนหญิงสาวอ่อนแอที่ไร้ทางสู้คนหนึ่ง
นางไม่กล้าแม้กระทั่งจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจึงทำได้เพียงคุกเข่าอยู่กับพื้นขณะเผชิญหน้ากับบุรุษตรงหน้า
ในวันอภิเษกสมรสเช่นนี้ บุรุษผู้นี้กลับยังคงสวมใส่ชุดสีดำสนิทเหมือนดั่งเคยรูปร่างอันสง่างามประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติทำให้ชายหนุ่มผู้นี้จัดว่าเป็หนุ่มงามแห่งยุคเลยก็ว่าได้แต่เพราะเขาผู้นี้ดวงตาที่แสนเยือกเย็นคู่นั้นทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็คนที่แสนเ็าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูงดงามอย่างแปลกตาของซูฉีฉีแล้วตาของม่อเวิ่นเฉินก็หรี่ลงเล็กน้อยทว่าใบหน้าของเขายังคงนิ่งถมึงทึง ซ้ำยังเหมือนมีไอเย็นะเืแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาทำให้ซูฉีฉีไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาตรงๆ
ว่ากันว่าบุรุษผู้นี้ป่าเถื่อน โหดร้ายและยังไร้ซึ่งความปรานี เมื่อดูจากสีหน้าของเขาในตอนนี้แล้วเห็นทีว่าจะเป็จริงดังคำล่ำลือ
ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นเข้าหากัน
นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสองสบเข้ากับดวงตาของม่อเวิ่นเฉินที่กำลังจ้องมองมาที่นางนางพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมสติของตนเองให้ดีที่สุด มือทั้งสองข้างของนางจิกลงกับพื้นเบาๆแค่เพียงสบตากับชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกสู่เหวลึกไร้ที่สิ้นสุด
บุรุษผู้นี้มีความสามารถที่จะทำให้หญิงสาวมากมายลุ่มหลง ต่อให้พวกเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่านั่นเปรียบเสมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็ตาม...
“เ้าคือความอัปยศของข้า” ทันใดนั้น มือของม่อเวิ่นเฉินก็ยื่นออกไปบีบเบาๆที่คางของซูฉีฉี แต่ในความเป็จริงแล้วมือของเขาแฝงไปด้วยแรงบีบจำนวนมากเขาเป็ทหารที่ออกรบทำศึกเป็เวลานาน พละกำลังของเขาจึงสามารถสร้างความเ็ปมากสำหรับสตรีที่แสนอ่อนแออย่างนาง
น้ำตาของนางค่อยๆคลอขึ้นรอบเบ้าตา แต่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดน้ำตาของนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะไหลออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว
เมื่อม่อเวิ่นเฉินพูดจบแล้ว ซูฉีฉีก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดๆต่ออีก
นางทำได้เพียงแค่จ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา
“เ้าไม่คู่ควรพอที่จะมาเป็พระชายาของข้า เ้าเป็ได้เพียงคนรับใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น” เมื่อพูดจบเขาก็ผลักซูฉีฉีออกไปด้วยสีหน้ารังเกียจก่อนจะหมุนตัวจากไป
แค่เพียงประโยคเดียวของเขาก็ได้กำหนดชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของนางในจวนอ๋องนี้ลงเสียแล้ว
ประตูที่เปิดออกถูกปิดลงความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมที่ห้องนี้อีกครั้ง
ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ซูฉีฉีที่กำลังนั่งนิ่งเพราะความรู้สึกเ็ปและด้านชาในหัวใจก็ค่อยๆ หันหน้าไปมองหญิงงามคนใหม่ที่ย่างก้าวเข้ามาในห้อง
ภายใต้แสงเทียนที่เลือนรางเช่นนี้กลับมิอาจปิดซ่อนความงามของหญิงสาวที่พึ่งก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
นางมีใบหน้างดงามหมดจด ทุกย่างก้าวสง่างามและมั่นคง ตาของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆที่พร้อมจะหลอมละลายหัวใจของผู้คนที่พบเห็น
“ท่านอ๋องมีรับสั่งว่า พระ-ชา-ยา เป็ได้เพียงคนรับใช้ที่ต่ำต้อยเท่านั้น”หญิงสาวเอ่ยปากออกมาอย่างแ่เบาทว่าคำว่าพระชายาและข้ารับใช้นั้นกลับกัดฟันเน้นย้ำไว้อย่างชัดเจน “ยังไม่รีบพาพระชายาไปที่โรงซักล้างอีก”
องครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมีสีหน้าใเล็กน้อย “เอ่อ...”
ทั้งสองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าขยับตัว
“ทำไม? หรือพระชายาคิดว่าท่านอ๋องทำไม่ถูก?” หญิงสาวผู้นั้นมิได้หันไปมององครักษ์ทั้งสองแต่กลับหันมาพูดกลับซูฉีฉีที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างมึนงง
“หม่อมฉันมิกล้า”ซูฉีฉีรู้ว่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ นางไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น
เพื่อมารดาของนางที่อยู่จวนอัครมหาเสนาบดีนางทำได้แค่อดทน
นางค่อยๆลุกขึ้นมาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่รีบร้อนสีหน้านิ่งสงบพร้อมส่งยิ้มบางๆให้กับองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู “พี่ชายโปรดนำทางด้วย”