ขงเหวินขึ้นชื่อว่าเป็ผู้นำทัพพิภพ แต่เสียดายการควบคุมตัวเองยังทำได้ไม่ดีเท่าทังฝาน
จังหวะที่หลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่โผล่มานั้น ศิษย์หลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบสังเกตอารมณ์เขา ทั้งชิงชังและเดือดดาล ชัดเสียจนไม่อาจปิดได้
การปรากฏตัวของโหยวเสี่ยวโม่ ราวกับสาดน้ำโคลนใส่เขาต่อหน้าผู้คนมากมาย โดยเฉพาะต่อหน้าศิษย์ของเขาเอง ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนดี สายตาข่มอารมณ์โกรธที่อยากะเิออกมา แต่เขาไม่สามารถ
นี่คงเป็ครั้งแรกนับแต่ขงเหวินก้าวขึ้นเป็ผู้นำทัพพิภพแล้วถูกคนตอกหน้า อีกทั้งคนนี้ก็คือศิษย์คนที่เจ็ดที่เขารับมาเอง ตอนนั้นเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเขากับหลิงเซียว แต่คิดไม่ถึง ศิษย์ของเขากลับตอบแทนเขาเช่นนี้!
หลิงเซียวจูงโหยวเสี่ยวโม่เดินไปหน้าขงเหวิน ใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ย “อาจารย์อาขง ดูสิว่านี่ใคร ศิษย์น้องโหยวช่างโชคดีจริง พวกท่านได้พบกันอีกแล้ว คงแปลกใจสินะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเขา โหยวเสี่ยวโม่ปากกระตุกขึ้น แอบมองหน้าหลิงเซียว นี่จงใจยั่วโมโหเขาหรือ? เฮ้ๆ กลับไปคนที่จะซวยคือข้านะ!
“อาจารย์...” โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัว ไม่กล้ามองขงเหวิน เหมือนว่าละอายใจ
“ฮืม เ้าช่างเก่งกล้านัก เห็นทีอาจารย์คงดูถูกเ้าเกินไป” ขงเหวินขานรับแบบขอไปที แล้วเอ่ยอย่างมีความนัยแฝง
โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ควรตอบกลับอย่างไรดี แต่ที่เขาแน่ใจได้อย่างหนึ่งคือ ขงเหวินโกรธ จึงหันไปพึ่งพาหลิงเซียวอย่างช่วยไม่ได้...เฮ้ พวกเขาโกรธแล้ว ทำอย่างไรดี?
หลิงเซียวก็ช่วยออกหน้าจริงด้วย พยักหน้าเห็นด้วย “อาจารย์อาขงพูดได้ถูกต้อง ดวงของศิษย์น้องโหยวนั้นใครก็ไม่สามารถขวางทางได้ ครั้งนี้หากไม่ใช่ศิษย์น้องโจวติดธุระกะทันหัน โอกาสนี้ก็คงตกไม่ถึงศิษย์น้องโหยวแน่”
แม้ที่เขาพูดจะดูเหมือนมีเื่แบบนั้นจริง แต่คนที่เชื่อคงมีไม่กี่คน เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาสนิทกับโจวเผิงมากแค่ไหน หากเขาจะขอให้โจวเผิงยกสิทธิ์ให้โหยวเสี่ยวโม่ โจวเผิงก็ต้องยอมอยู่แล้ว ไม่มีใครฟันธงได้
แต่ก็มีบ้างที่รู้ความจริง
อย่างฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลิน โหยวเสี่ยวโม่เคยบอกพวกเขาว่ามีหนทางมาแดน์วิมาน เมื่อเชื่อกับภาพตอนนี้ คำตอบก็ชัดเจน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้เปิดเผยคำโกหกของหลิงเซียว
ขงเหวินเบะปากล่างเล็กน้อย มองโหยวเสี่ยวโม่แล้วเอ่ยยิ้มหน้าตาย “ดวงของเ้าเจ็ดนั้นดีกว่าคนอื่นมากจริงๆ”
โหยวเสี่ยวโม่อ้าปาก ไม่พูดอะไรจะดีกว่า เขาเริ่มจับความคิดขงเหวินไม่ถูก
ขณะที่พวกเขาคุยกัน กลุ่มสำนักอื่นๆ ก็คอยสังเกตการณ์พวกเขาอยู่
ถึงกระนั้นหลิงเซียวก็เป็ถึงคนที่เป็ที่กล่าวขวัญ ปรากฏสถานที่เดียวกันกับลั่วซูเหอ ก็มีบางคนที่เปรียบเทียบเขาทั้งสอง แต่หลิงเซียวในตอนนั้นไม่ได้มีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับใคร จู่ๆ มาเห็นแบบนี้ ก็ทำให้พวกเขาแปลกใจไม่น้อย
ลั่วซูเหอที่อยู่ไม่ไกลออกไปกำลังรับคำตักเตือนจากพ่อแม่ แต่ก็แอบสังเกตทางหลิงเซียว เมื่อเห็นเขาทำท่าทีสนิทใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มหน้าหวาน ใบหน้าหล่อเหลาพลันฉงนขึ้นมา
ในภาพความทรงจำของเขา แม้หลินเซียวจะมีท่าทีเป็มิตรต่อทุกคน ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ความเป็จริงแล้วเขาขีดเส้นรักษาระยะห่างกับทุกคนมาตลอด พวกเขาต่างเป็พวกสวมหน้ากากเข้าหาคน ดังนั้นเขาจึงััได้
แต่จากท่าทีของหลินเซียวที่เห็นวันนี้ ลั่วซูเหอดูออกว่าเขาไม่ได้เล่นละคร
ลั่วซูเหอยิ้มมุมปาก คิดไม่ถึงว่าหลินเซียวจะเผยจุดอ่อนของตัวเองต่อหน้าผู้คน เขาบ้าไปแล้ว หรือคิดว่าตัวเองจะปกป้องเด็กหนุ่มนี่ได้จริงๆ?
มานึกดู เขาก็ชักอยากเห็นภาพนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็เหตุการณ์แบบไหน?
คนที่มีความคิดเดียวกับลั่วซูเหอ คงไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ดูเหมือนนิ่งๆ แต่หลายคนเริ่มมีความคิดนี้ในใจแล้วเช่นเดียวกัน
ขณะนั้นเอง แดน์วิมานก็มีความเคลื่อนไหว ส่อให้รู้ว่าการม่านป้องกันกำลังจะเปิดออก
ม่านป้องกันแม้จะเปิดออก แต่่เวลาที่เปิดนั้นไม่นานนัก อีกทั้งยังปิดลงตามเดิม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสะกดทางเข้าออกไว้ แต่ถึงแม้จะสะกดมันไว้ได้ แต่หลังจากนั้นหนึ่งเดือนมันก็จะปิดตัวลงเหมือนเดิม ดังนั้นต้องออกมาภายในหนึ่งเดือนให้ได้ ไม่งั้นก็จะถูกขังอยู่ด้านใน จากนั้นอีกห้าสิบปีก็ใช่ว่าจะออกมาได้
คนที่ลงมือสะกดม่านป้องกันคือทังฝานกับลั่วเฉิงหยวน เพราะต้องมีจอมยุทธ์ชั้นราชันถึงจะทำได้
และเพราะเหตุผลนี้ ดังนั้นรายชื่อของสำนักเทียนซินกับสำนักชิงเฉิงจึงได้มากถึงสี่สิบห้า แต่พรรคซิงหลัวมีเพียงยี่สิบคน
ทว่าแดน์วิมานตั้งอยู่ในดงงูหลามปีศาจ พวกเขาต้องเข้าสู่เขตแดนนั้นถึงจะลงมือได้ โชคดีที่กลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหลายมีการทำพันธสัญญากับเ้าแห่งดงงูหลามปีศาจไว้แล้ว นอกจากว่าเ้าแห่งดงงูหลามปีศาจอยากรับความโกรธของจอมยุทธ์ชั้นราชันทั้งสอง ไม่เช่นนั้นภายใต้สถานการณ์นี้ พวกเขาจะไม่มีทางจู่โจมนักฝึกตนก่อนแน่
ขณะที่ทังฝานกับลั่วเฉิงหยวนกำลังสะกดเขตอาคม โหยวเสี่ยวโม่จึงชวนหลิงเซียวคุยเพื่อสลัดบรรยากาศน่าอึดอัดทิ้ง
ก่อนหน้านี้เขาได้ทำความเข้าใจดงงูหลามปีศาจ ซึ่งมันถือได้ว่าเป็สถานที่อันตรายที่สุดในแผ่นดินหลงเสียงฝั่งใต้ แต่การกำเนิดของมันมีมาเพียงสามพันกว่าปี นับว่าเป็แหล่งพลังใหม่
แม้นักฝึกตนมากมายจะเกิดความคิดอยากของล้ำค่าในดงงูหลามปีศาจ แต่ไม่มีใครกล้าท้าทายเ้าแห่งดงงูหลามปีศาจซึ่งมีพลังขั้นเก้า จึงทำให้สร้างถ้ำงูหลามที่กว้างใหญ่แบบนี้ขึ้นมาได้ พลังนั้นสามารถเทียบได้กับสำนักเทียนซินและสำนักชิงเฉิง
แต่ที่โหยวเสี่ยวโม่ไม่เข้าใจคือ ทั้งที่สำนักใหญ่ทั้งหลายร่วมมือกันก็สามารถกำจัดงูหลามปีศาจขั้นเก้านี้ได้ ทำไมตอนนั้นถึงไม่รีบฆ่ามันก่อนที่มันจะก่อตั้งดงงูหลามปีศาจนี้ขึ้นมา
จุดนี้เป็เื่ที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลย
ฟางเฉินเล่อที่อยู่ข้างๆ เหมือนได้ยินความคิดของเขา จู่ๆ ก็เขยิบมาร่วมวงแล้วเอ่ยขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก เื่พวกนี้มีอยู่ในบันทึกที่หอคัมภีร์ฝั่งตะวันออก เ้าไม่ได้อ่านหรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่ “...” ฝั่งตะวันออก??? แต่ที่เขาไปบ่อยๆ คือฝั่งตะวันตก
พันธสัญญาของดงงูหลามปีศาจกับสำนักใหญ่ๆ นั้นมีขึ้นมากว่าสามพันปี ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด สำนักเทียนซินก็ไม่ได้ปิดบังข้อมูลเหล่านี้ จึงจัดไว้ในหอคัมภีร์อย่างโล่งแจ้ง
“เื่นี้อันที่จริงสืบเนื่องมาั้แ่หมื่นปีก่อน ตอนนั้นเ้ายังไม่เกิด...” ฟางเฉินเล่อเอ่ยพร้อมหัวเราะ
โหยวเสี่ยวโม่อึ้ง อย่าพูดถึงหมื่นปีก่อนเลย แม้กระทั่งปีก่อนเขาเองก็ยังไม่เกิดเลย!
“หมื่นปีก่อน นักฝึกตนกับสัตว์ปีศาจมีความสัมพันธ์กันในฐานะผู้ล่ากับเหยื่อที่ถูกล่า นักฝึกตนคือผู้ล่า สัตว์ปีศาจนั้นคือเหยื่อ มีนักฝึกตนที่อยากเพิ่มพลังหรือซื้อยาเซียนตันและหญ้าเซียน พวกเขาจะเข้าไปยังป่าดับสูญหรือแหล่งชุกชุมของสัตว์ปีศาจเพื่อจับพวกมัน พลังของสัตว์ปีศาจแต่ก่อนนั้น ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างตอนนี้ ดังนั้นเ้าคงนึกภาพออก กองซากศพของสัตว์ปีศาจนั้นสูงกว่าูเาลูกนี้เสียอีก นั่นเป็การกระทำของพวกบ้าคลั่งผลประโยชน์และบ้าพลัง กระนั้นนักฝึกตนก็ยังมีความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุด...” เสียงของฟางเฉินเล่อยิ่งอยู่ยิ่งเบา
ความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้นต้องได้รับผลกรรม!
นักฝึกตนพวกนั้นมีความโลภ ท้ายที่สุดก็ลามไปจับจ้องจิ้งจอกจันทร์สีเงิน
จิ้งจอกจันทร์สีเงินนั้นพูดได้ว่าเป็สายเืสัตว์ปีศาจที่บริสุทธิ์และสูงส่งที่สุดในแผ่นดินหลงเสียง เพราะในร่างพวกมันมีสายเืโบราณส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น และมีความเป็ไปได้ว่าจะสามารถเลื่อนพลังขึ้นสู่ขั้นสิบ หรือสิบเอ็ด
ขั้นสิบเอ็ดนั้นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ชั้นเทพ
ผลคือเมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา นักฝึกตนทั้งหมดถึงกับบ้าคลั่ง เวลานั้นจิ้งจอกจันทร์สีเงินยังไม่มีตัวที่มีพลังขั้นเก้ากำเนิดขึ้น พลังพื้นฐานมันยังไม่สูงมาก และด้วยความที่พวกมันนั้นเป็สัตว์ปีศาจที่หยิ่งยโสเป็อย่างมาก ไม่ยอมเป็พันธมิตรกับนักฝึกตน และปฏิเสธที่จะทำสัญญาด้วย
ผลของการปฏิเสธก็คือ จิ้งจอกจันทร์สีเงินที่มีนับหมื่นชั่วพริบตาเหลือเพียงร้อยกว่าตัว
พวกที่โดนจับตัวไป หากไม่ถูกบังคับทำสัญญาใจ ก็ถูกกดขี่เป็ทาส หรือไม่ก็ถูกถลกหนัง แต่ถึงแม้จิ้งจอกจันทร์สีเงินจะเหลือเพียงร้อยกว่าตัว แต่นักฝึกตนผู้โลกมากก็ยังไล่ล่าพวกมันไม่หยุด แม้ไม่สามารถทำสัญญากับพวกมันได้ ก็จะฆ่าเพื่อเอาไปขายซึ่งจะได้ราคาดี
เพราะเืของจิ้งจอกจันทร์สีเงินสามารถช่วยเพิ่มพูนพลังให้กับนักฝึกตนสายอัคคีเป็อย่างมาก อีกทั้งขนสัตว์ของพวกมันก็ทำเป็เกราะคุ้มกันได้
นักฝึกตนพวกบ้าคลั่งบีบจิ้งจอกจันทร์สีเงินร้อยกว่าตัวหนีเข้าสู่หุบเขาปีศาจคลั่งกลางป่าดับสูญ
ป่าดับสูญขณะนั้นยังไม่อันตรายเท่าตอนนี้ จิ้งจอกจันทร์สีเงินพวกนั้นถูกขังอยู่ในหุบเขาปีศาจคลั่ง ขณะที่พวกมันกำลังท้อแท้สิ้นหวัง เื่อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
ทันใดนั้น บนฟากฟ้าก็มีแสงสีขาวบางอย่างพุ่งลงมายังยอดหุบเขาปีศาจคลั่ง
เมื่อแสงสีขาวจางหายไปคงเหลือเพียงชายหนุ่มสง่างามน่าเกรงขาม ทั่วร่างชายหนุ่มมีแสงสีขาวแผ่สว่างเจิดจ้าราวกับออกมาจากร่างกายเขา ยิ่งส่งให้เขาดูสง่าเป็เลิศประดุจเทพมาจุติ เปล่งประกายสว่างไสวที่สุด
และการปรากฏตัวทันใดของชายคนนี้ ได้ช่วยชีวิตเผ่าจิ้งจอกจันทร์สีเงินไว้ และจัดการฆ่านักฝึกตนกลุ่มนั้นจนเรียบ คนพวกนั้นหาใช่คู่ประมือของเขา ไม่มีคนใดสู้เกินห้ากระบวนท่าก็โดนจัดการเสียก่อน เืสาดกระเซ็นย้อมทั่วหุบเขาปีศาจคลั่ง ดึงดูดสัตว์ปีศาจมากมาย
การปรากฏตัวของชายผู้นี้ ส่งผลให้สัตว์ปีศาจสลัดความเป็ผู้ถูกล่าจนหมดสิ้น และยืนเทียบเคียงสถานะเดียวกับนักฝึกตน หรือสูงกว่าเสียด้วย เพราะหลังจากนั้น เผ่าสัตว์ปีศาจก็กำเนิดสัตว์ปีศาจที่เก่งกล้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็มีพลังมากพอที่จะท้าทายกับนักฝึกตน
ั้แ่นั้นมา ก็ไม่มีผู้มีอำนาจใดริอาจไล่ฆ่าสัตว์ปีศาจได้ตามอำเภอใจ เพราะในตำนานกล่าวขานของเผ่าสัตว์ปีศาจนั้น มีผู้นำที่พวกสัตว์ปีศาจยกย่องให้เป็เ้านาย คนนั้นก็คือจอมยุทธ์ในตำนานของเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้