“เยี่ยเฉินเฟิง ยินดีด้วยที่เ้าทำได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ่ชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งในการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ไปได้ และได้เป็ตัวแทนของเมืองไป๋ตี้เข้าร่วมการประเมินของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์” เ้าสำนักกล่าวขึ้นอย่างสนิทชิดเชื้อ ยื่นป้ายคำสั่งที่มีตราประทับรูปเปลวเพลิงให้เยี่ยเฉินเฟิงกับมือ
“ขอบคุณท่านเ้าสำนัก”
เยี่ยเฉินเฟิงยื่นมือทั้งสองไปรับป้ายคำสั่งน้ำหนักพอดีมือมาถือไว้ พร้อมกล่าวขอบคุณเบาๆ
“เฉินเฟิง วันนี้เ้าทำให้พวกเราตกอกใกันแทบแย่เลยนะ ไม่คิดเลยว่าในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ของข้าจะยังมีัเร้นกายอย่างเ้าอยู่ด้วย ด้วยความสามารถที่เ้าแสดงออกมาในวันนี้ โอกาสจะได้เป็ลูกศิษย์ของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ก็มีมากถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว หากตอนนั้นเ้าได้ดิบได้ดีขึ้นมาก็อย่าลืมเ้าสำนักอย่างข้าเชียวล่ะ” เ้าสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้ฐานะของเ้าสำนักจะอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายมาก แต่ความสามารถที่เยี่ยเฉินเฟิงแสดงออกมาในวันนี้ มีค่าคู่ควรพอจะให้เขาลดทิฐิลงและสร้างไมตรีกับอีกฝ่ายได้
“ย่อมไม่ลืม!” เยี่ยเฉินเฟิงพยักหน้ารับคำ
หลังจากที่เยี่ยเฉินเฟิงได้อันดับหนึ่งมาแล้วเขาก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่สำนักต่อ ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกมานั้น เฉียวจิ้งยวนที่ปลีกตัวออกมาจากฝูงชนก็วิ่งเข้ามาหาเขาเสียก่อน นางมองเขาด้วยสายตาสับสน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เยี่ยเฉินเฟิง ข้ามีเื่อยากคุยกับเ้าเพียงลำพัง เ้าพอจะเดินเล่นเป็เพื่อนข้าได้ไหม?”
“ขอโทษด้วยนะจิ้งยวน ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปทำอีก คงอยู่เป็เพื่อนเ้าไม่ได้หรอก”
เยี่ยเฉินเฟิงพอจะเดาได้ว่าเฉียวจิ้งยวนมาหาตนเองทำไม แต่เขาไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเฉียวจิ้งยวนไปมากกว่านี้แล้ว จึงได้ปฏิเสธอ้อมๆ อย่างรักษาน้ำใจ
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้ารู้ว่าเ้าคือคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในคืนนั้น ถ้าหากเ้ายอมตกลงที่จะอยู่กับข้าล่ะก็ ตระกูลเฉียวของข้าพร้อมจะเป็กำลังสนับสนุนที่มั่นคงให้แก่เ้าได้ และจะช่วยให้เ้าได้เข้าไปศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ด้วย”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเฉินเฟิงกำลังจะเดินหนีไป เฉียวจิ้งยวนก็พลันเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะวิ่งไปขวางหน้าเขาพร้อมเอ่ยสัญญา
“จิ้งยวน เ้าจำคนผิดแล้วล่ะ” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายศีรษะไปมา พร้อมกล่าว “ส่วนเื่สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ ข้าจะสอบเข้าด้วยความสามารถของตัวเอง”
พอสิ้นเสียง เยี่ยเฉินเฟิงก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามอง ทิ้งให้เฉียวจิ้งยวนที่ใบหน้าซีดขาวยืนอยู่ที่เดิม
มองตามแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไปของเยี่ยเฉินเฟิง เฉียวจิ้งยวนทำได้เพียงกัดริมฝีปากแน่น ปล่อยให้น้ำตาอุ่นๆ สองสายรินไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนใบหน้าของนางเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
นางเกลียดตัวเองเหลือเกิน เกลียดที่ตัวเองเป็คนสายตาคับแคบ หากตอนนั้นนางไม่ทอดทิ้งเยี่ยเฉินเฟิงในยามที่เขากำลังโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพา บางทีเื่ราวในวันนี้คงมีฉากจบที่ต่างกันออกไป
“เฉินเฟิง ยินดีด้วยนะที่เ้าได้เข้าร่วมการประเมินของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์”
ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงเดินออกมาจากสำนักฝึกยุทธ์ท่ามกลางสายตาเคารพยำเกรงหลายคู่ที่มองมา ร่างเพรียวระหงงดงามก็ะโเข้ามาขวางหน้าเขา กล่าวแสดงความยินดีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส
“ซีหย่า ขอบคุณเ้ากับท่านปู่ไป๋มากนะที่ช่วยปกป้องข้า หากไม่ได้พวกเ้าช่วยเหลือ ข้าคงไม่ได้สิทธิ์เข้าร่วมการประเมินสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ง่ายดายเช่นนี้” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยขอบคุณเสียงแ่เบา พลางจ้องมองไป๋ซีหย่าที่ฉีกยิ้มจนเห็นร่องบุ๋มน่ารักตรงแก้ม ประกอบกับใบหน้าที่งดงามล่มแคว้นและรูปร่างที่สูงเพรียวงามสง่าของนาง
“เฉินเฟิง เ้าเป็คนช่วยชีวิตของตาเฒ่าเช่นข้าเอาไว้ ยามเ้าประสบกับปัญหาขึ้นมาจะให้ข้านิ่งเฉยดูดายได้อย่างไร”
ในตอนนั้นเอง ไป๋ซีซานก็เดินออกมาจากในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ด้วยสีหน้าเปล่งปลั่งสดใส กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลัง
“เฉินเฟิง ท่านปู่ของข้าอยากจะชวนเ้าไปร่วมมื้ออาหารด้วยกันที่คฤหาสน์ ไม่รู้ว่าเ้าพอจะมีเวลาว่างไหม?” ไป๋ซีหย่าเอ่ยชักชวนด้วยน้ำเสียงเสนาะหู
“ว่างสิ”
ครั้งนี้เยี่ยเฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ เขาตอบรับด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
ซี่โครงแกะเนื้อใส หัตถ์เทพซิ่งเหริน ขนมถั่วกวนตำรับชาววัง หูฉลามหางหงส์…
เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยเฉินเฟิง ตระกูลไป๋จึงจัดเตรียมอาหารกลางวันมื้ออลังการไว้ต้อนรับ อาหารแต่ละจานล้วนมีหน้าตาสีสันงดงาม ส่งกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ กระตุ้นให้คนรู้สึกอยากอาหารมากยิ่งขึ้น
“เฉินเฟิง อาจจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่ข้ามีข้อสงสัยบางอย่าง วิชาแพทย์ของเ้าเกี่ยวข้องกับนิกายลึกลับเ่าั้หรือไม่” ไป๋ซีซานเอ่ยถามขึ้นอย่างอารมณ์ดีหลังจากกระดกเหล้าขาวหอมละมุนลงคอไปหนึ่งอึก
“ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด วิชาแพทย์ของข้าร่ำเรียนมาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง แต่ท่านอาจารย์จะเป็คนของนิกายหรือไม่ ข้าเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน” เยี่ยเฉินเฟิงเตรียมบทพูดเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว เขาสร้างอาจารย์ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงขึ้นมา
“อาจารย์?” ไป๋ซีซานขมวดคิ้วเลิกขึ้นพลางกล่าว “เฉินเฟิง อาจารย์ของเ้ายังอยู่ที่เมืองไป๋ตี้หรือไม่”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ท่านอยู่หนแห่งใด เขาถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ตอนข้าอายุสิบสามปี จากนั้นท่านก็เดินทางจากไป” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยตอบพร้อมส่ายหน้า
“เฉินเฟิง ถ้าหากสิ่งที่ข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ อาจารย์ผู้นั้นของเ้าน่าจะมาจากนิกายที่แข็งแกร่งเป็อย่างมากเชียวล่ะ วิชาแพทย์ที่ลึกลับมหัศจรรย์เช่นนั้นคงมีอยู่แค่ในนิกายเท่านั้นแหละ” ไป๋ซีซานเอ่ยขึ้นอย่างวาดหวัง ในใจแอบอิจฉาวาสนาของเยี่ยเฉินเฟิงอยู่เล็กน้อย
่พลบค่ำ หลังจากการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ปิดฉากลง เื่ราวที่เยี่ยเฉินเฟิงอัดเหลียนอวี้หลงจนยับได้ภายในสามกระบวนท่า ก็ล่องลอยไปยังสำนักฝึกยุทธ์อีกหลายแห่งราวกับสายลม จนได้รับความสนใจจากทุกทิศทาง
ตระกูลเยี่ย หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงกำลังอยู่ในภาวะตกตะลึงพรึงเพริศ หลังจากได้รับข้อมูลที่ส่งมาจากเยี่ยจื่อหลิง
“ข้าคิดว่าทุกคนคงได้รับข่าวคราวที่เยี่ยจื่อหลิงส่งกลับมาแล้วสินะ พวกเ้าคิดเห็นอย่างไรกับเื่นี้บ้าง”
เยี่ยชิงชวนผู้เป็หัวหน้าตระกูลเยี่ยเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำปักลายพรางตา ใบหน้าคมสันหล่อเหลาราวกับคมกระบี่และมีดวงตาที่ลึกล้ำทรงพลัง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่สลักลายลงสีอย่างวิจิตร
“ไม่คิดเลยว่าเ้าเยี่ยเฉินเฟิงนั่นจะโชคเข้าข้างถึงเพียงนี้ ถึงกับปลุกจิตอสูรได้สำเร็จเป็ครั้งที่สอง แล้วยังบรรลุเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกอีก” ในยามนั้นเยี่ยเทียนิที่ยื่นคำขาดให้ขับไล่เยี่ยเฉินเฟิงออกจากตระกูลเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ไม่ว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะโชคเข้าข้างจริงหรือไม่ เขาก็ปลุกจิตอสูรให้ตื่นได้สำเร็จอยู่ดี พร์อันน่าหวาดหวั่นของเขากลับคืนมาแล้ว” เยี่ยชิงชวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกล่าว
“ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะรับตัวเยี่ยเฉินเฟิงกลับเข้าตระกูลมาหรอกนะ”
เยี่ยเทียนิเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถ้าหากรับเยี่ยเฉินเฟิงกลับมา เกียรติและศักดิ์ศรีของเขาคงเสียหายจนย่อยยับ
“เทียนิเอ๋ย ข้ารู้ว่าเ้ากังวลเื่ใดอยู่ แต่เ้าคิดว่าศักดิ์ศรีของเ้าหรือชะตากรรมในภายภาคหน้าของตระกูลเยี่ยสำคัญกว่ากันล่ะ” เยี่ยชิงชวนกล่าวถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านพ่อ ข้ายอมรับว่าประเมินเ้าเด็กเยี่ยเฉินเฟิงนั่นต่ำไป แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนที่เคยล้มเหลวเช่นนั้นจะพลิกฟื้นกลับมาได้ดี และกำหนดโชคชะตาของตระกูลเยี่ยในอนาคตได้” เยี่ยเทียนิเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“เช่นนั้นิเทียน เ้าคิดว่าคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเยี่ย มีใครพอจะเทียบเคียงกับเจียงอี้จวินและจีชิงเสวี่ยได้บ้าง? แล้วมีใครสามารถอุ้มชูทั้งตระกูลเยี่ยในอีกหนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ได้บ้าง”
“เื่นั้น...”
แม้ตระกูลเยี่ยจะเป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของแคว้นจื่อจิน แต่ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลมีเพียงเยี่ยจื่อหลิงเท่านั้นที่พอจะมีพร์อยู่บ้าง ทว่าไม่ว่าจะด้านพร์หรือจิตอสูรของเยี่ยจื่อหลิง ต่างก็เทียบกับเจียงอี้จวินและจีชิงเสวี่ยไม่ได้เลย
เมื่อคิดคำนวณดูอย่างถ้วนถี่ เยี่ยเทียนิจำต้องยอมรับว่าตระกูลเยี่ยจำเป็ต้องมีผู้ที่มีพร์โดดเด่นอย่างเยี่ยเฉินเฟิงจริงๆ
“อีกอย่าง สถานการณ์ในเมืองหลวงของแคว้นจื่อจินกำลังสับสนอลหม่านเป็อย่างมาก การแย่งชิงอำนาจระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองดำเนินมาถึงจุดเดือดแล้ว ตระกูลเยี่ยของเราสนับสนุนองค์ชายรองมาโดยตลอดเช่นเดียวกันกับตระกูลจี แต่หากองค์ชายรองเป็ฝ่ายพ่ายแพ้ในาชิงอำนาจครั้งนี้ มีโอกาสสูงมากที่องค์ชายใหญ่จะทำการกวาดล้างเสี้ยนหนามเช่นตระกูลเยี่ยของพวกเรา
“ถ้าหากเยี่ยเฉินเฟิงกลับมาร่วมตระกูลกับพวกเราและได้เข้าเป็ศิษย์ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ องค์ชายใหญ่ก็อาจจะต้องยั้งคิดบ้างไม่มากก็น้อย” เยี่ยชิงชวนถอนหายใจแ่เบา เอ่ยถึงเหตุผลเบื้องลึกเื้ั
“ท่านพ่อ แม้ความคิดของท่านจะยอดเยี่ยม แต่การจะลบความรู้สึกแค้นเคืองที่เยี่ยเฉินเฟิงมีต่อตระกูลเยี่ยและขอให้เขากลับมาเริ่มต้นใหม่คงไม่ใช่เื่ง่ายกระมัง” เยี่ยอี้ไห่บุตรชายคนที่สามเอ่ยขึ้น
“นั่นสินะ อันที่จริงต่อให้เห็นพ้องต้องกันทุกคน แต่สุดท้ายอำนาจการตัดสินใจก็อยู่ที่เยี่ยเฉินเฟิงอยู่ดี หากเขาไม่ยินดีจะกลับมา พวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน” เยี่ยชิงชวนกล่าวขึ้นอย่างจนใจ รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตอนนั้นเขาตัดสินใจขับไล่เด็กคนนั้นออกไป
แต่มาเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชนอะไร เยี่ยชิงชวนทำได้เพียงคิดหาวิธีซ่อมแซมรอยร้าวระหว่างสายสัมพันธ์ของตระกูลเยี่ยและเยี่ยเฉินเฟิง
