เมิ่งเคอพยักหน้าก่อนจะฝึกเขียนพู่กันจีนต่อ
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ควันสีเทาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสีม่วง ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์ เฉินอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นเองเฉินอวี้ใช้มือตบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล! เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้หนิงมู่ฉือกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้อีก จวนข้าเลี้ยงเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
จิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีสีหน้าร้อนรน เงยหน้าซึ่งมีรอยแผลขึ้น ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งโมโหขอรับ ทั้งหมดเป็เพราะเ้านักพรตหัวเหมือนจมูกวัวผู้นั้นผู้เดียว เดิมทีข้านึกว่าเ้านักพรตผู้นั้นจะฆ่าหนิงมู่ฉือ ไม่คิดว่ามันจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ส่งนางไปหาสมบัติที่ทะเลทรายมาให้มัน!”
“ว่ากระไรนะ ในทะเลทรายมีสมบัติเช่นนั้นหรือ” เฉินอวี้ขมวดคิ้ว ท่าทางดูสนอกสนใจในสมบัติพวกนั้นอย่างยิ่ง
จิ้นอินส่ายหน้า “ความจริงข้าน้อยได้ยินมาว่า มีพรรคพรรคหนึ่งได้ส่งคนไปเอาสมบัติจากที่นั่นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า ที่ทะเลทรายแห่งนั้นไม่ได้มีสมบัติมีค่าแต่อย่างใด”
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าเป็กังวล “ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปนางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บิดานางแน่ พอถึงตอนนั้นจวนอัครมหาเสนาบดีคงถูกเล่นงานจนอำนาจหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายนี้เ้ารับไหวหรือ!”
สีหน้าจิ้นอินเปลี่ยนเป็หวาดกลัว “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งเป็กังวลขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่”
“แต่นางเป็คนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียน!” เฉินอวี้รู้มานานแล้วว่าซื่อจื่อมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อหนิงมู่ฉือ “ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสนใจในตัวนางมาก”
เวลานี้เองคุณหนูรองของจวนอัครมหาเสนาบดี เฉินเข่อซีเปิดประตูผลักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หญิงสาววิ่งเข้าไปหาเฉินอวี้ “ท่านพ่อ ลูกเจอต้นไม้แปลกๆ ในจวนเราเ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งต้นไม้แปลกๆ ที่ว่าให้เฉินอวี้ดู
เฉินอวี้มองบุตรสาวคนรองซึ่งมีผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี พร้อมกับยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เข่อซี เ้าขุดต้นหมีเตี๋ยเซียง[1] ที่พ่อปลูกขึ้นมาเพราะเหตุใด ่นี้นับวันจะยิ่งจะทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไม่ทำความเคารพท่านอาจิ้นอีก”
เฉินเข่อซีย่อกายคำนับ “เข่อซีคาราวะท่านอาจิ้นเ้าค่ะ”
จิ้นอินรีบโบกไม้โบกมือเป็การบอกว่าไม่ต้อง พร้อมกับยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี เข่อซีนี่ยิ่งโตยิ่งงดงามประหนึ่งบุปผางาม”
เฉินเข่อซีหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ท่านอาชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่สวนเช่นเดิม
เฉินอวี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม จิ้นอินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดจะส่งคุณหนูรองเข้าวังหรือขอรับ”
“น่าเสียดายที่นางเป็เพียงลูกอนุ” เฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “จึงไม่อาจส่งเข้าวังได้ บุตรสาวผู้นี้ของข้าไร้เดียงสาเกินไป”
จิ้นอินยิ้ม ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกผู้ใดบีบคอเอาไว้เอ่ยออกมา “คนเราทุกคนล้วน้าการขัดเกลา เพียงแค่ข้าเห็นคุณหนูรองก็รู้ทันทีว่าอนาคตต้องได้ดิบได้ดีแน่นอนขอรับ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” เฉินอวี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตกเย็น หนิงมู่ฉือทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ รอให้จ้าวซีเหอมาทาน แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นนางยังพบอีกว่าในตำหนักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้อ อุตส่าห์ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะแต่ก็ไม่มีใครมาทาน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
นางหาวออกมา เมื่อถูกความง่วงเข้าจู่โจมจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
จ้าวซีเหอกับฉีอันในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขามองบรรดาหญิงสาวที่ออกมาเรียกแขกอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับฉีอันที่เอาแต่โบกไม้โบกมืออย่างรังเกียจ
เขารู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของฉีอันช่างน่ารักเหลือเกิน เอ่ยถามว่า “เป็อันใดของเ้า โบกไม้โบกมือทำไมกัน”
ฉีอันหยุดเดิน มองหญิงสาวผู้หนึ่งที่เข้ามาเกาะแขน นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “มาสิเ้าคะคุณชาย รีบมาสนุกกับข้าดีกว่า”
ฉีอันขมวดคิ้ว พร้อมกับพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาว “เ้าออกไปนะ!
จ้าวซีเหอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดไหล่ฉีอัน “ฉีอัน เ้าโตแล้วนะ เป็หนุ่มแล้ว เหตุใดถึงยังเขินอายกับเื่ระหว่างชายหญิงพวกนี้อีก”
ฉีอันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างติดอ้างว่า “ข้า…ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกนี้ ข้าชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า” เขากล่าวด้วยสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างเขินอาย
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที กระแอมพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉีอัน ข้าขอบอกเ้าเอาไว้เลยว่าหนิงมู่ฉือเป็ของข้า เ้าห้ามคิดไม่ซื่อกับนางเด็ดขาด”
ฉีอันมีสีหน้าร้อนรนขณะพยักหน้ารัวๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางหนิงเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอตบไหล่ฉีอันอย่างพึงพอใจก่อนจะยิ้มกว้าง เรียกเสียงอุทานอย่างหลงใหลจากหญิงสาวในหอนางโลมได้เป็อย่างดี “ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนช่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาเหลือเกิน”
หญิงสาวไม่น้อยมองจ้าวซีเหอเป็ตาเดียวกัน ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านี้ ทั้งยังเรียกเสียงอุทานได้อีกยกใหญ่
ฉีอันกระตุกชายแขนเสื้อเขา “ซื่อจื่อ พวกเรารีบไปเถิดขอรับ”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะยามใดเอง” เขามองท่าทางรีบร้อนของฉีอันก็รู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีอันถอนหายใจพลางดินตามหลังจ้าวซีเหอต่อไป มองบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ส่งสายตาเชิญชวนมาให้ จนเขาขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงหอจุ้ยหง ในบรรดาหอนางโลมทั้งสองฟากถนน โคมไฟที่หน้าหอจุ้ยหงสว่างไสวที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่ชั้น แต่ทุกชั้นเต็มไปด้วยโคมไฟ จนดูสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน
จ้าวซีเหอคลี่พัดเดินเข้าไปในห้อจุ้ยหงดุจคุณชายเ้าสำราญ ครั้นแม่เล้าเห็นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มพร้อมกับรีบตรงเข้ามาหา
“ไอโยว ซื่อจื่อมาแล้วหรือเ้าคะ ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะเ้าคะ ข้านึกว่าพอท่านมีฉู่เมิ่งเอ๋อร์แล้วจะไม่มาที่นี่อีก!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ยสั้นๆ ว่า “ขอห้องเดิม”
“ได้เลยเ้าค่ะ” แม่เล้าพาจ้าวซีเหอไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ้าแบบใดเ้าคะ ท่านเลือกแต่แบบเดิมมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็แบบใหม่ดูบ้างดีหรือไม่เ้าคะ”
[1] หมีเตี๋ยเซียง คือต้นโรสแมรี
เมิ่งเคอพยักหน้าก่อนจะฝึกเขียนพู่กันจีนต่อ
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ควันสีเทาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสีม่วง ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์ เฉินอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นเองเฉินอวี้ใช้มือตบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล! เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้หนิงมู่ฉือกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้อีก จวนข้าเลี้ยงเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
จิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีสีหน้าร้อนรน เงยหน้าซึ่งมีรอยแผลขึ้น ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งโมโหขอรับ ทั้งหมดเป็เพราะเ้านักพรตหัวเหมือนจมูกวัวผู้นั้นผู้เดียว เดิมทีข้านึกว่าเ้านักพรตผู้นั้นจะฆ่าหนิงมู่ฉือ ไม่คิดว่ามันจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ส่งนางไปหาสมบัติที่ทะเลทรายมาให้มัน!”
“ว่ากระไรนะ ในทะเลทรายมีสมบัติเช่นนั้นหรือ” เฉินอวี้ขมวดคิ้ว ท่าทางดูสนอกสนใจในสมบัติพวกนั้นอย่างยิ่ง
จิ้นอินส่ายหน้า “ความจริงข้าน้อยได้ยินมาว่า มีพรรคพรรคหนึ่งได้ส่งคนไปเอาสมบัติจากที่นั่นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า ที่ทะเลทรายแห่งนั้นไม่ได้มีสมบัติมีค่าแต่อย่างใด”
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าเป็กังวล “ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปนางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บิดานางแน่ พอถึงตอนนั้นจวนอัครมหาเสนาบดีคงถูกเล่นงานจนอำนาจหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายนี้เ้ารับไหวหรือ!”
สีหน้าจิ้นอินเปลี่ยนเป็หวาดกลัว “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งเป็กังวลขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่”
“แต่นางเป็คนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียน!” เฉินอวี้รู้มานานแล้วว่าซื่อจื่อมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อหนิงมู่ฉือ “ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสนใจในตัวนางมาก”
เวลานี้เองคุณหนูรองของจวนอัครมหาเสนาบดี เฉินเข่อซีเปิดประตูผลักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หญิงสาววิ่งเข้าไปหาเฉินอวี้ “ท่านพ่อ ลูกเจอต้นไม้แปลกๆ ในจวนเราเ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งต้นไม้แปลกๆ ที่ว่าให้เฉินอวี้ดู
เฉินอวี้มองบุตรสาวคนรองซึ่งมีผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี พร้อมกับยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เข่อซี เ้าขุดต้นหมีเตี๋ยเซียง[1] ที่พ่อปลูกขึ้นมาเพราะเหตุใด ่นี้นับวันจะยิ่งจะทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไม่ทำความเคารพท่านอาจิ้นอีก”
เฉินเข่อซีย่อกายคำนับ “เข่อซีคาราวะท่านอาจิ้นเ้าค่ะ”
จิ้นอินรีบโบกไม้โบกมือเป็การบอกว่าไม่ต้อง พร้อมกับยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี เข่อซีนี่ยิ่งโตยิ่งงดงามประหนึ่งบุปผางาม”
เฉินเข่อซีหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ท่านอาชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่สวนเช่นเดิม
เฉินอวี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม จิ้นอินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดจะส่งคุณหนูรองเข้าวังหรือขอรับ”
“น่าเสียดายที่นางเป็เพียงลูกอนุ” เฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “จึงไม่อาจส่งเข้าวังได้ บุตรสาวผู้นี้ของข้าไร้เดียงสาเกินไป”
จิ้นอินยิ้ม ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกผู้ใดบีบคอเอาไว้เอ่ยออกมา “คนเราทุกคนล้วน้าการขัดเกลา เพียงแค่ข้าเห็นคุณหนูรองก็รู้ทันทีว่าอนาคตต้องได้ดิบได้ดีแน่นอนขอรับ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” เฉินอวี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตกเย็น หนิงมู่ฉือทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ รอให้จ้าวซีเหอมาทาน แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นนางยังพบอีกว่าในตำหนักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้อ อุตส่าห์ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะแต่ก็ไม่มีใครมาทาน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
นางหาวออกมา เมื่อถูกความง่วงเข้าจู่โจมจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
จ้าวซีเหอกับฉีอันในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขามองบรรดาหญิงสาวที่ออกมาเรียกแขกอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับฉีอันที่เอาแต่โบกไม้โบกมืออย่างรังเกียจ
เขารู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของฉีอันช่างน่ารักเหลือเกิน เอ่ยถามว่า “เป็อันใดของเ้า โบกไม้โบกมือทำไมกัน”
ฉีอันหยุดเดิน มองหญิงสาวผู้หนึ่งที่เข้ามาเกาะแขน นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “มาสิเ้าคะคุณชาย รีบมาสนุกกับข้าดีกว่า”
ฉีอันขมวดคิ้ว พร้อมกับพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาว “เ้าออกไปนะ!
จ้าวซีเหอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดไหล่ฉีอัน “ฉีอัน เ้าโตแล้วนะ เป็หนุ่มแล้ว เหตุใดถึงยังเขินอายกับเื่ระหว่างชายหญิงพวกนี้อีก”
ฉีอันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างติดอ้างว่า “ข้า…ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกนี้ ข้าชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า” เขากล่าวด้วยสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างเขินอาย
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที กระแอมพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉีอัน ข้าขอบอกเ้าเอาไว้เลยว่าหนิงมู่ฉือเป็ของข้า เ้าห้ามคิดไม่ซื่อกับนางเด็ดขาด”
ฉีอันมีสีหน้าร้อนรนขณะพยักหน้ารัวๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางหนิงเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอตบไหล่ฉีอันอย่างพึงพอใจก่อนจะยิ้มกว้าง เรียกเสียงอุทานอย่างหลงใหลจากหญิงสาวในหอนางโลมได้เป็อย่างดี “ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนช่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาเหลือเกิน”
หญิงสาวไม่น้อยมองจ้าวซีเหอเป็ตาเดียวกัน ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านี้ ทั้งยังเรียกเสียงอุทานได้อีกยกใหญ่
ฉีอันกระตุกชายแขนเสื้อเขา “ซื่อจื่อ พวกเรารีบไปเถิดขอรับ”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะยามใดเอง” เขามองท่าทางรีบร้อนของฉีอันก็รู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีอันถอนหายใจพลางเดินตามหลังจ้าวซีเหอต่อไป มองบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ส่งสายตาเชิญชวนมาให้ จนเขาขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงหอจุ้ยหง ในบรรดาหอนางโลมทั้งสองฟากถนน โคมไฟที่หน้าหอจุ้ยหงสว่างไสวที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่ชั้น แต่ทุกชั้นเต็มไปด้วยโคมไฟ จนดูสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน
จ้าวซีเหอคลี่พัดเดินเข้าไปในห้อจุ้ยหงดุจคุณชายเ้าสำราญ ครั้นแม่เล้าเห็นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มพร้อมกับรีบตรงเข้ามาหา
“ไอโยว ซื่อจื่อมาแล้วหรือเ้าคะ ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะเ้าคะ ข้านึกว่าพอท่านมีฉู่เมิ่งเอ๋อร์แล้วจะไม่มาที่นี่อีก!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ยสั้นๆ ว่า “ขอห้องเดิม”
“ได้เลยเ้าค่ะ” แม่เล้าพาจ้าวซีเหอไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ้าแบบใดเ้าคะ ท่านเลือกแต่แบบเดิมมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็แบบใหม่ดูบ้างดีหรือไม่เ้าคะ”
[1] หมีเตี๋ยเซียง คือต้นโรสแมรี
เมิ่งเคอพยักหน้าก่อนจะฝึกเขียนพู่กันจีนต่อ
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ควันสีเทาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสีม่วง ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์ เฉินอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นเองเฉินอวี้ใช้มือตบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล! เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้หนิงมู่ฉือกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้อีก จวนข้าเลี้ยงเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
จิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีสีหน้าร้อนรน เงยหน้าซึ่งมีรอยแผลขึ้น ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งโมโหขอรับ ทั้งหมดเป็เพราะเ้านักพรตหัวเหมือนจมูกวัวผู้นั้นผู้เดียว เดิมทีข้านึกว่าเ้านักพรตผู้นั้นจะฆ่าหนิงมู่ฉือ ไม่คิดว่ามันจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ส่งนางไปหาสมบัติที่ทะเลทรายมาให้มัน!”
“ว่ากระไรนะ ในทะเลทรายมีสมบัติเช่นนั้นหรือ” เฉินอวี้ขมวดคิ้ว ท่าทางดูสนอกสนใจในสมบัติพวกนั้นอย่างยิ่ง
จิ้นอินส่ายหน้า “ความจริงข้าน้อยได้ยินมาว่า มีพรรคพรรคหนึ่งได้ส่งคนไปเอาสมบัติจากที่นั่นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า ที่ทะเลทรายแห่งนั้นไม่ได้มีสมบัติมีค่าแต่อย่างใด”
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าเป็กังวล “ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปนางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บิดานางแน่ พอถึงตอนนั้นจวนอัครมหาเสนาบดีคงถูกเล่นงานจนอำนาจหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายนี้เ้ารับไหวหรือ!”
สีหน้าจิ้นอินเปลี่ยนเป็หวาดกลัว “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งเป็กังวลขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่”
“แต่นางเป็คนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียน!” เฉินอวี้รู้มานานแล้วว่าซื่อจื่อมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อหนิงมู่ฉือ “ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสนใจในตัวนางมาก”
เวลานี้เองคุณหนูรองของจวนอัครมหาเสนาบดี เฉินเข่อซีเปิดประตูผลักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หญิงสาววิ่งเข้าไปหาเฉินอวี้ “ท่านพ่อ ลูกเจอต้นไม้แปลกๆ ในจวนเราเ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งต้นไม้แปลกๆ ที่ว่าให้เฉินอวี้ดู
เฉินอวี้มองบุตรสาวคนรองซึ่งมีผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี พร้อมกับยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เข่อซี เ้าขุดต้นหมีเตี๋ยเซียง[1] ที่พ่อปลูกขึ้นมาเพราะเหตุใด ่นี้นับวันจะยิ่งจะทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไม่ทำความเคารพท่านอาจิ้นอีก”
เฉินเข่อซีย่อกายคำนับ “เข่อซีคาราวะท่านอาจิ้นเ้าค่ะ”
จิ้นอินรีบโบกไม้โบกมือเป็การบอกว่าไม่ต้อง พร้อมกับยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี เข่อซีนี่ยิ่งโตยิ่งงดงามประหนึ่งบุปผางาม”
เฉินเข่อซีหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ท่านอาชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่สวนเช่นเดิม
เฉินอวี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม จิ้นอินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดจะส่งคุณหนูรองเข้าวังหรือขอรับ”
“น่าเสียดายที่นางเป็เพียงลูกอนุ” เฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “จึงไม่อาจส่งเข้าวังได้ บุตรสาวผู้นี้ของข้าไร้เดียงสาเกินไป”
จิ้นอินยิ้ม ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกผู้ใดบีบคอเอาไว้เอ่ยออกมา “คนเราทุกคนล้วน้าการขัดเกลา เพียงแค่ข้าเห็นคุณหนูรองก็รู้ทันทีว่าอนาคตต้องได้ดิบได้ดีแน่นอนขอรับ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” เฉินอวี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตกเย็น หนิงมู่ฉือทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ รอให้จ้าวซีเหอมาทาน แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นนางยังพบอีกว่าในตำหนักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้อ อุตส่าห์ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะแต่ก็ไม่มีใครมาทาน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
นางหาวออกมา เมื่อถูกความง่วงเข้าจู่โจมจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
จ้าวซีเหอกับฉีอันในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขามองบรรดาหญิงสาวที่ออกมาเรียกแขกอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับฉีอันที่เอาแต่โบกไม้โบกมืออย่างรังเกียจ
เขารู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของฉีอันช่างน่ารักเหลือเกิน เอ่ยถามว่า “เป็อันใดของเ้า โบกไม้โบกมือทำไมกัน”
ฉีอันหยุดเดิน มองหญิงสาวผู้หนึ่งที่เข้ามาเกาะแขน นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “มาสิเ้าคะคุณชาย รีบมาสนุกกับข้าดีกว่า”
ฉีอันขมวดคิ้ว พร้อมกับพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาว “เ้าออกไปนะ!
จ้าวซีเหอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดไหล่ฉีอัน “ฉีอัน เ้าโตแล้วนะ เป็หนุ่มแล้ว เหตุใดถึงยังเขินอายกับเื่ระหว่างชายหญิงพวกนี้อีก”
ฉีอันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างติดอ้างว่า “ข้า…ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกนี้ ข้าชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า” เขากล่าวด้วยสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างเขินอาย
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที กระแอมพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉีอัน ข้าขอบอกเ้าเอาไว้เลยว่าหนิงมู่ฉือเป็ของข้า เ้าห้ามคิดไม่ซื่อกับนางเด็ดขาด”
ฉีอันมีสีหน้าร้อนรนขณะพยักหน้ารัวๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางหนิงเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอตบไหล่ฉีอันอย่างพึงพอใจก่อนจะยิ้มกว้าง เรียกเสียงอุทานอย่างหลงใหลจากหญิงสาวในหอนางโลมได้เป็อย่างดี “ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนช่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาเหลือเกิน”
หญิงสาวไม่น้อยมองจ้าวซีเหอเป็ตาเดียวกัน ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านี้ ทั้งยังเรียกเสียงอุทานได้อีกยกใหญ่
ฉีอันกระตุกชายแขนเสื้อเขา “ซื่อจื่อ พวกเรารีบไปเถิดขอรับ”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะยามใดเอง” เขามองท่าทางรีบร้อนของฉีอันก็รู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีอันถอนหายใจพลางเดินตามหลังจ้าวซีเหอต่อไป มองบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ส่งสายตาเชิญชวนมาให้ จนเขาขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงหอจุ้ยหง ในบรรดาหอนางโลมทั้งสองฟากถนน โคมไฟที่หน้าหอจุ้ยหงสว่างไสวที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่ชั้น แต่ทุกชั้นเต็มไปด้วยโคมไฟ จนดูสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน
จ้าวซีเหอคลี่พัดเดินเข้าไปในห้อจุ้ยหงดุจคุณชายเ้าสำราญ ครั้นแม่เล้าเห็นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มพร้อมกับรีบตรงเข้ามาหา
“ไอโยว ซื่อจื่อมาแล้วหรือเ้าคะ ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะเ้าคะ ข้านึกว่าพอท่านมีฉู่เมิ่งเอ๋อร์แล้วจะไม่มาที่นี่อีก!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ยสั้นๆ ว่า “ขอห้องเดิม”
“ได้เลยเ้าค่ะ” แม่เล้าพาจ้าวซีเหอไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ้าแบบใดเ้าคะ ท่านเลือกแต่แบบเดิมมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็แบบใหม่ดูบ้างดีหรือไม่เ้าคะ”
[1] หมีเตี๋ยเซียง คือต้นโรสแมรี
เมิ่งเคอพยักหน้าก่อนจะฝึกเขียนพู่กันจีนต่อ
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ควันสีเทาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสีม่วง ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์ เฉินอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นเองเฉินอวี้ใช้มือตบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล! เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้หนิงมู่ฉือกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้อีก จวนข้าเลี้ยงเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
จิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีสีหน้าร้อนรน เงยหน้าซึ่งมีรอยแผลขึ้น ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งโมโหขอรับ ทั้งหมดเป็เพราะเ้านักพรตหัวเหมือนจมูกวัวผู้นั้นผู้เดียว เดิมทีข้านึกว่าเ้านักพรตผู้นั้นจะฆ่าหนิงมู่ฉือ ไม่คิดว่ามันจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ส่งนางไปหาสมบัติที่ทะเลทรายมาให้มัน!”
“ว่ากระไรนะ ในทะเลทรายมีสมบัติเช่นนั้นหรือ” เฉินอวี้ขมวดคิ้ว ท่าทางดูสนอกสนใจในสมบัติพวกนั้นอย่างยิ่ง
จิ้นอินส่ายหน้า “ความจริงข้าน้อยได้ยินมาว่า มีพรรคพรรคหนึ่งได้ส่งคนไปเอาสมบัติจากที่นั่นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า ที่ทะเลทรายแห่งนั้นไม่ได้มีสมบัติมีค่าแต่อย่างใด”
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าเป็กังวล “ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปนางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บิดานางแน่ พอถึงตอนนั้นจวนอัครมหาเสนาบดีคงถูกเล่นงานจนอำนาจหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายนี้เ้ารับไหวหรือ!”
สีหน้าจิ้นอินเปลี่ยนเป็หวาดกลัว “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งเป็กังวลขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่”
“แต่นางเป็คนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียน!” เฉินอวี้รู้มานานแล้วว่าซื่อจื่อมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อหนิงมู่ฉือ “ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสนใจในตัวนางมาก”
เวลานี้เองคุณหนูรองของจวนอัครมหาเสนาบดี เฉินเข่อซีเปิดประตูผลักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หญิงสาววิ่งเข้าไปหาเฉินอวี้ “ท่านพ่อ ลูกเจอต้นไม้แปลกๆ ในจวนเราเ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งต้นไม้แปลกๆ ที่ว่าให้เฉินอวี้ดู
เฉินอวี้มองบุตรสาวคนรองซึ่งมีผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี พร้อมกับยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เข่อซี เ้าขุดต้นหมีเตี๋ยเซียง[1] ที่พ่อปลูกขึ้นมาเพราะเหตุใด ่นี้นับวันจะยิ่งจะทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไม่ทำความเคารพท่านอาจิ้นอีก”
เฉินเข่อซีย่อกายคำนับ “เข่อซีคาราวะท่านอาจิ้นเ้าค่ะ”
จิ้นอินรีบโบกไม้โบกมือเป็การบอกว่าไม่ต้อง พร้อมกับยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี เข่อซีนี่ยิ่งโตยิ่งงดงามประหนึ่งบุปผางาม”
เฉินเข่อซีหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ท่านอาชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่สวนเช่นเดิม
เฉินอวี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม จิ้นอินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดจะส่งคุณหนูรองเข้าวังหรือขอรับ”
“น่าเสียดายที่นางเป็เพียงลูกอนุ” เฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “จึงไม่อาจส่งเข้าวังได้ บุตรสาวผู้นี้ของข้าไร้เดียงสาเกินไป”
จิ้นอินยิ้ม ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกผู้ใดบีบคอเอาไว้เอ่ยออกมา “คนเราทุกคนล้วน้าการขัดเกลา เพียงแค่ข้าเห็นคุณหนูรองก็รู้ทันทีว่าอนาคตต้องได้ดิบได้ดีแน่นอนขอรับ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” เฉินอวี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตกเย็น หนิงมู่ฉือทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ รอให้จ้าวซีเหอมาทาน แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นนางยังพบอีกว่าในตำหนักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้อ อุตส่าห์ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะแต่ก็ไม่มีใครมาทาน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
นางหาวออกมา เมื่อถูกความง่วงเข้าจู่โจมจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
จ้าวซีเหอกับฉีอันในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขามองบรรดาหญิงสาวที่ออกมาเรียกแขกอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับฉีอันที่เอาแต่โบกไม้โบกมืออย่างรังเกียจ
เขารู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของฉีอันช่างน่ารักเหลือเกิน เอ่ยถามว่า “เป็อันใดของเ้า โบกไม้โบกมือทำไมกัน”
ฉีอันหยุดเดิน มองหญิงสาวผู้หนึ่งที่เข้ามาเกาะแขน นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “มาสิเ้าคะคุณชาย รีบมาสนุกกับข้าดีกว่า”
ฉีอันขมวดคิ้ว พร้อมกับพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาว “เ้าออกไปนะ!
จ้าวซีเหอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดไหล่ฉีอัน “ฉีอัน เ้าโตแล้วนะ เป็หนุ่มแล้ว เหตุใดถึงยังเขินอายกับเื่ระหว่างชายหญิงพวกนี้อีก”
ฉีอันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างติดอ้างว่า “ข้า…ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกนี้ ข้าชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า” เขากล่าวด้วยสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างเขินอาย
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที กระแอมพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉีอัน ข้าขอบอกเ้าเอาไว้เลยว่าหนิงมู่ฉือเป็ของข้า เ้าห้ามคิดไม่ซื่อกับนางเด็ดขาด”
ฉีอันมีสีหน้าร้อนรนขณะพยักหน้ารัวๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางหนิงเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอตบไหล่ฉีอันอย่างพึงพอใจก่อนจะยิ้มกว้าง เรียกเสียงอุทานอย่างหลงใหลจากหญิงสาวในหอนางโลมได้เป็อย่างดี “ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนช่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาเหลือเกิน”
หญิงสาวไม่น้อยมองจ้าวซีเหอเป็ตาเดียวกัน ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านี้ ทั้งยังเรียกเสียงอุทานได้อีกยกใหญ่
ฉีอันกระตุกชายแขนเสื้อเขา “ซื่อจื่อ พวกเรารีบไปเถิดขอรับ”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะยามใดเอง” เขามองท่าทางรีบร้อนของฉีอันก็รู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีอันถอนหายใจพลางเดินตามหลังจ้าวซีเหอต่อไป มองบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ส่งสายตาเชิญชวนมาให้ จนเขาขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงหอจุ้ยหง ในบรรดาหอนางโลมทั้งสองฟากถนน โคมไฟที่หน้าหอจุ้ยหงสว่างไสวที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่ชั้น แต่ทุกชั้นเต็มไปด้วยโคมไฟ จนดูสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน
จ้าวซีเหอคลี่พัดเดินเข้าไปในห้อจุ้ยหงดุจคุณชายเ้าสำราญ ครั้นแม่เล้าเห็นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มพร้อมกับรีบตรงเข้ามาหา
“ไอโยว ซื่อจื่อมาแล้วหรือเ้าคะ ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะเ้าคะ ข้านึกว่าพอท่านมีฉู่เมิ่งเอ๋อร์แล้วจะไม่มาที่นี่อีก!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ยสั้นๆ ว่า “ขอห้องเดิม”
“ได้เลยเ้าค่ะ” แม่เล้าพาจ้าวซีเหอไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ้าแบบใดเ้าคะ ท่านเลือกแต่แบบเดิมมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็แบบใหม่ดูบ้างดีหรือไม่เ้าคะ”
[1] หมีเตี๋ยเซียง คือต้นโรสแมรี
เมิ่งเคอพยักหน้าก่อนจะฝึกเขียนพู่กันจีนต่อ
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ควันสีเทาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสีม่วง ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์ เฉินอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นเองเฉินอวี้ใช้มือตบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล! เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้หนิงมู่ฉือกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้อีก จวนข้าเลี้ยงเ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
จิ้นอินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีสีหน้าร้อนรน เงยหน้าซึ่งมีรอยแผลขึ้น ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งโมโหขอรับ ทั้งหมดเป็เพราะเ้านักพรตหัวเหมือนจมูกวัวผู้นั้นผู้เดียว เดิมทีข้านึกว่าเ้านักพรตผู้นั้นจะฆ่าหนิงมู่ฉือ ไม่คิดว่ามันจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ส่งนางไปหาสมบัติที่ทะเลทรายมาให้มัน!”
“ว่ากระไรนะ ในทะเลทรายมีสมบัติเช่นนั้นหรือ” เฉินอวี้ขมวดคิ้ว ท่าทางดูสนอกสนใจในสมบัติพวกนั้นอย่างยิ่ง
จิ้นอินส่ายหน้า “ความจริงข้าน้อยได้ยินมาว่า มีพรรคพรรคหนึ่งได้ส่งคนไปเอาสมบัติจากที่นั่นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า ที่ทะเลทรายแห่งนั้นไม่ได้มีสมบัติมีค่าแต่อย่างใด”
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าเป็กังวล “ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปนางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บิดานางแน่ พอถึงตอนนั้นจวนอัครมหาเสนาบดีคงถูกเล่นงานจนอำนาจหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายนี้เ้ารับไหวหรือ!”
สีหน้าจิ้นอินเปลี่ยนเป็หวาดกลัว “ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าเพิ่งเป็กังวลขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่”
“แต่นางเป็คนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียน!” เฉินอวี้รู้มานานแล้วว่าซื่อจื่อมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อหนิงมู่ฉือ “ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสนใจในตัวนางมาก”
เวลานี้เองคุณหนูรองของจวนอัครมหาเสนาบดี เฉินเข่อซีเปิดประตูผลักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หญิงสาววิ่งเข้าไปหาเฉินอวี้ “ท่านพ่อ ลูกเจอต้นไม้แปลกๆ ในจวนเราเ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งต้นไม้แปลกๆ ที่ว่าให้เฉินอวี้ดู
เฉินอวี้มองบุตรสาวคนรองซึ่งมีผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี พร้อมกับยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เข่อซี เ้าขุดต้นหมีเตี๋ยเซียง[1] ที่พ่อปลูกขึ้นมาเพราะเหตุใด ่นี้นับวันจะยิ่งจะทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไม่ทำความเคารพท่านอาจิ้นอีก”
เฉินเข่อซีย่อกายคำนับ “เข่อซีคาราวะท่านอาจิ้นเ้าค่ะ”
จิ้นอินรีบโบกไม้โบกมือเป็การบอกว่าไม่ต้อง พร้อมกับยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี เข่อซีนี่ยิ่งโตยิ่งงดงามประหนึ่งบุปผางาม”
เฉินเข่อซีหน้าแดงด้วยความเขินอาย “ท่านอาชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่สวนเช่นเดิม
เฉินอวี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม จิ้นอินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดจะส่งคุณหนูรองเข้าวังหรือขอรับ”
“น่าเสียดายที่นางเป็เพียงลูกอนุ” เฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “จึงไม่อาจส่งเข้าวังได้ บุตรสาวผู้นี้ของข้าไร้เดียงสาเกินไป”
จิ้นอินยิ้ม ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกผู้ใดบีบคอเอาไว้เอ่ยออกมา “คนเราทุกคนล้วน้าการขัดเกลา เพียงแค่ข้าเห็นคุณหนูรองก็รู้ทันทีว่าอนาคตต้องได้ดิบได้ดีแน่นอนขอรับ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” เฉินอวี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตกเย็น หนิงมู่ฉือทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ รอให้จ้าวซีเหอมาทาน แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นนางยังพบอีกว่าในตำหนักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้อ อุตส่าห์ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะแต่ก็ไม่มีใครมาทาน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
นางหาวออกมา เมื่อถูกความง่วงเข้าจู่โจมจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
จ้าวซีเหอกับฉีอันในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขามองบรรดาหญิงสาวที่ออกมาเรียกแขกอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับฉีอันที่เอาแต่โบกไม้โบกมืออย่างรังเกียจ
เขารู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของฉีอันช่างน่ารักเหลือเกิน เอ่ยถามว่า “เป็อันใดของเ้า โบกไม้โบกมือทำไมกัน”
ฉีอันหยุดเดิน มองหญิงสาวผู้หนึ่งที่เข้ามาเกาะแขน นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “มาสิเ้าคะคุณชาย รีบมาสนุกกับข้าดีกว่า”
ฉีอันขมวดคิ้ว พร้อมกับพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาว “เ้าออกไปนะ!
จ้าวซีเหอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดไหล่ฉีอัน “ฉีอัน เ้าโตแล้วนะ เป็หนุ่มแล้ว เหตุใดถึงยังเขินอายกับเื่ระหว่างชายหญิงพวกนี้อีก”
ฉีอันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างติดอ้างว่า “ข้า…ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกนี้ ข้าชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า” เขากล่าวด้วยสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างเขินอาย
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที กระแอมพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉีอัน ข้าขอบอกเ้าเอาไว้เลยว่าหนิงมู่ฉือเป็ของข้า เ้าห้ามคิดไม่ซื่อกับนางเด็ดขาด”
ฉีอันมีสีหน้าร้อนรนขณะพยักหน้ารัวๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางหนิงเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอตบไหล่ฉีอันอย่างพึงพอใจก่อนจะยิ้มกว้าง เรียกเสียงอุทานอย่างหลงใหลจากหญิงสาวในหอนางโลมได้เป็อย่างดี “ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนช่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาเหลือเกิน”
หญิงสาวไม่น้อยมองจ้าวซีเหอเป็ตาเดียวกัน ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านี้ ทั้งยังเรียกเสียงอุทานได้อีกยกใหญ่
ฉีอันกระตุกชายแขนเสื้อเขา “ซื่อจื่อ พวกเรารีบไปเถิดขอรับ”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะยามใดเอง” เขามองท่าทางรีบร้อนของฉีอันก็รู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก จึงเกิดความคิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีอันถอนหายใจพลางเดินตามหลังจ้าวซีเหอต่อไป มองบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ส่งสายตาเชิญชวนมาให้ จนเขาขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงหอจุ้ยหง ในบรรดาหอนางโลมทั้งสองฟากถนน โคมไฟที่หน้าหอจุ้ยหงสว่างไสวที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่ชั้น แต่ทุกชั้นเต็มไปด้วยโคมไฟ จนดูสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน
จ้าวซีเหอคลี่พัดเดินเข้าไปในห้อจุ้ยหงดุจคุณชายเ้าสำราญ ครั้นแม่เล้าเห็นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มพร้อมกับรีบตรงเข้ามาหา
“ไอโยว ซื่อจื่อมาแล้วหรือเ้าคะ ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะเ้าคะ ข้านึกว่าพอท่านมีฉู่เมิ่งเอ๋อร์แล้วจะไม่มาที่นี่อีก!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ยสั้นๆ ว่า “ขอห้องเดิม”
“ได้เลยเ้าค่ะ” แม่เล้าพาจ้าวซีเหอไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ้าแบบใดเ้าคะ ท่านเลือกแต่แบบเดิมมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็แบบใหม่ดูบ้างดีหรือไม่เ้าคะ”
[1] หมีเตี๋ยเซียง คือต้นโรสแมรี