เ้าของร้านสองคนล้วนเป็คนที่มีประสบการณ์และความรู้จึงมองได้ทะลุปรุโปร่งทุกด้าน โรงเรียนไม่เสียค่าใช้จ่ายของสกุลหู แม้ขนาดไม่ใหญ่แต่คุณประโยชน์ไม่เล็กเลย
สกุลหูเป็เพียงครอบครัวเกษตรกรธรรมดาครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งหลุดพ้นจากความยากจน ก็กล้าใช้จ่ายเงินตนเองและครอบครัวครึ่งหนึ่ง เพื่อทุ่มเทไปกับโรงเรียนที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซึ่งไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย
ความกล้าหาญและสายตาที่มองการไกลเช่นนี้ คือความใจบุญหรือมีความ้าอื่นกันแน่?
แน่นอน... ไม่ว่าเป้าหมายคืออะไร การจัดตั้งโรงเรียนล้วนเป็เื่ดีต่อชาวบ้านทั้งสิ้น
สองคนรุดหน้ามาให้การสนับสนุนอย่างเข้าใจและไม่จำเป็ต้องเอ่ยอะไร ยืนอยู่ข้างกายสกุลหูสร้างบรรยากาศให้อย่างร่าเริง
นักเรียนของโรงเรียนวั้งหลินชุดแรกได้กำหนดไว้นานแล้ว
วันเปิดเรียนนี้นับเป็การเดินชมสถานที่ และลงชื่อบริเวณที่ทำงานของซิ่วฉายหยาง
ซิ่วฉายหยางให้นักเรียนที่ลงชื่อแล้วรวมตัวกันขึ้น เพื่อให้คำแนะนำหนึ่งรอบ เขาอ่านกฎระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนตามป้ายประกาศที่กำหนดขึ้นมาใหม่หนึ่งรอบ หลังจากนั้นแนะนำอาจารย์ฟางที่รับหน้าที่สั่งสอนศิลปะการต่อสู้กับอาชิงผู้ช่วยสอนศิลปะการต่อสู้
หลักสูตรของโรงเรียนเรียบง่ายมาก วิชาครึ่งวันในตอนเช้าของทุกวัน มีสามคาบวิชา สองคาบเรียนตัวอักษร หนึ่งคาบฝึกการต่อสู้ ตอนบ่ายหนึ่งคาบวิชา โดยระหว่างตัวอักษรและศิลปะการต่อสู้ให้สลับกันเรียน
ทุกหกวันจะหยุดทำความสะอาดหนึ่งวัน ปิดเรียนฤดูร้อนและฤดูหนาวส่วนวันหยุดฤดูการเพาะปลูกจะถูกนับแยกในแต่ละคน
หลักสูตรพื้นฐานของซิ่วฉายหยาง คือให้รู้หนังสือและการคำนวณ ส่วนงานหลักอื่นๆ ที่ต้องอบรมสั่งสอนและดูแลต่างเป็หน้าที่ของเขาเช่นกัน
เมื่อเจินจูไตร่ตรอง จึงปรึกษาหารือกับหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อว่าจะเพิ่มเงินสองเหวินทุกเดือนให้ซิ่วฉายหยาง ก็จะเป็หนึ่งเหลียงสองเหวินในทุกหนึ่งเดือน
นางปรึกษาความคิดเห็นกับฟางเสิงเป็พิเศษเช่นกัน ฟางเสิงพยักหน้ากล่าวว่าสมควรอย่างไม่ขัดข้องเลยแม้แต่นิดเดียว เขาดูแลในเื่สอนการต่อสู้อย่างเดียว สำหรับการจัดการและขั้นตอนต่างๆ ของโรงเรียนเดิมทีไม่ค่อยถนัดและไม่เข้าใจสักเท่าไร ให้ซิ่วฉายหยางนำหน้า ส่วนเขาทำตามคำสั่งก็จะจัดการง่ายขึ้นมาก
คนที่มีความสามารถย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เหน็ดเหนื่อยมากได้ผลประโยชน์มาก หลักการนี้ผู้ใดย่อมล้วนเข้าใจ
ในนักเรียนยี่สิบคนมีผิงอัน ผิงซุ่นก็ไปสองตำแหน่งแล้ว ที่ว่างที่เหลือก็เริ่มรับสมัครั้แ่อายุสิบสองปีลงไป
สองพี่น้องของครอบครัวหลิ่วฉางผิง จ้าวตงเซิ่งอายุสิบปีของครอบครัวจ้าวหงซาน เจิ้งเอ้อร์หนิวอายุเก้าปีของครอบครัวเจิ้งซวงหลิน จ้าวขุยอายุเก้าปีของครอบครัวจ้าวป่านเติ้ง รวมทั้งหวงถู่วั่งอายุครบแปดปีล้วนอยู่ในรายชื่อนักเรียนรุ่นแรกทั้งสิ้น
ต่างก็เป็สหายที่คุ้นหน้าค่าตาดีในหมู่บ้านเดียวกัน ในวันปกติเล่นสนุกสนานหยอกล้อกัน เมื่อเข้าเรียนพร้อมกันย่อมคุ้นเคยและไม่ประหม่า
ซิ่วฉายหยางทำตามความคิดเห็นของแม่นางสกุลหู แบ่งเด็กชายยี่สิบคนออกเป็สองกลุ่ม แต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้ากลุ่มขึ้นหนึ่งคน เพื่อช่วยจัดการความเรียบร้อยในห้องเรียนและสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน
เดิมผิงอันกับผิงซุ่นมอบค่าตอบแทนอาจารย์ในการเข้าเรียนโรงเรียนส่วนตัวไปครึ่งปีแล้ว ขณะนี้กลับมาเรียนโรงเรียนของตนเอง ทางโรงเรียนส่วนตัวด้านนั้นย่อมต้องบอกกล่าวสักหน่อย
หูฉางหลินนำทางเด็กสองคนพร้อมกับพกของขวัญติดตัว รุดหน้าไปกล่าวขออภัยและอธิบายด้วยตนเอง
ท่านอาจารย์หลิวของโรงเรียนส่วนตัวเข้าใจได้ แค่เสียใจอยู่พักหนึ่งที่ตนเองสูญเสียเด็กเฉลียวฉลาดที่มีศักยภาพไปสองคน
เพราะเป็เช่นนี้ วันเวลาที่ผิงอันและผิงซุ่นต้องเข้าเรียนโรงเรียนของครอบครัวตนเองก็เริ่มขึ้น
...วสันต์ผ่านไปคิมหันต์เข้ามา ใบวัชพืชสูงใหญ่ขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะริมฝั่งแม่น้ำตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิมท่ามกลางแดดจ้าท้าฤดูร้อน
รถม้าสีดำคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจากทางเข้าหมู่บ้านอย่างช้าๆ
และเลี้ยวตรงเข้าไปบนถนนเล็กราบเรียบที่ปูด้วยอิฐสีฟ้า แปลงปลูกดอกไม้มีต้นกล้าหลากหลายชนิดเพาะขึ้นใหม่เต็มสองข้างทางถนน เติบโตมีชีวิตชีวาอย่างเป็ระเบียบได้สัดส่วน
ไม่ไกลออกไป บนเนินลาดเอียงแห่งหนึ่ง มีคนงานสิบกว่าคนกำลังยุ่งกับการสร้างศาลาหนึ่งหลัง ยอดแหลมหกเหลี่ยมค่อยๆ ก่อตัวเป็รูปร่างขึ้นแล้ว
“โอ๊ะ ไม่ได้มาแป๊บเดียว ที่นี่คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็คนละสถานที่เลย การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากไปแล้ว” ชายหนุ่มที่เร่งเกวียนกล่าวอุทานออกมา
ประตูรถถูกเปิดออกเบาๆ เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ชุดผ้าไหมตัวยาวสีขาวนวล หน้าตาแจ่มใสผิวขาวราวหิมะ มุมปากยกขึ้นบางๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ค่อนข้างดีมาก
“คุณชาย ท่านดูสิ ทางนั้นเป็โรงเรียนที่หลิวผิงกล่าวถึงกระมังขอรับ สร้างได้ค่อนข้างกว้างขวางเลย สกุลหูทำใจเื่เงินได้จริงๆ สิ่งเหล่านี้รวมกันขึ้นมาแล้ว ต้องใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยเลย” ชายหนุ่มที่กล่าวเป็เฉินเผิงเฟย
เด็กชายขาวซีดในรถม้าย่อมเป็กู้ฉีที่เดินทางมาไกลอย่างไม่ต้องสงสัย
เขามาถึงเมืองไท่ผิงเมื่อวาน หลังพักผ่อนอยู่หนึ่งคืนแล้วจึงพาความรู้สึกที่อดทนรอไม่ได้เล็กน้อยรุดหน้ามามุมหนึ่งของหมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ
เจินจูกำลังฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสในห้องโถง สนทนาเื่การวางแผนริมฝั่งแม่น้ำกับหลัวจิ่ง
โรงเรียนเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้องอย่างค่อยเป็ค่อยไป ซิ่วฉายหยางกับอาจารย์ฟางค่อยๆ มีประสบการณ์แล้ว นักเรียนยี่สิบคนตอนเข้าเรียนล้วนถูกคนทางบ้านสั่งสอนมาว่าต้องเคารพท่านอาจารย์ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของโรงเรียน หัวหน้าหมู่บ้านเคยตักเตือนชาวบ้านไว้นานแล้ว หากเด็กๆ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์ หรือมีการกระทำที่ไม่ดีอย่างการต่อต้าน การก่อกวน การชกต่อย และการตีกัน... จะกล่าวเตือนหนึ่งครั้ง หากทำผิดอีกครั้งจะบังคับให้ลาออกจากโรงเรียน ไม่ให้เข้ารับการสั่งสอนจากโรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายแห่งนี้อีก
ผ่านการถูกบิดาและมารดาเตือนมา รวมกับกฎระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนสิบข้อใหญ่ที่ติดอยู่บนกำแพงห้องเรียนอย่างสะดุดตา บรรดาเด็กชายที่เพิ่งเข้าโรงเรียนเหล่านี้ล้วนยังประพฤติตามกฎระเบียบได้ค่อนข้างดี
เื่ของโรงเรียนไม่ต้องกังวลใจ จิตใจของเจินจูก็ไปกังวลเื่อื่นได้
่เข้าหน้าร้อนกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยและต้นหวายม่วง ที่เพาะใหม่ตรงมุมกำแพงลานบ้านของครอบครัวสกุลหูราวกับถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตก็ไม่ปาน ระหว่างสองสามวันก่อนได้เลื้อยพันขึ้นไปบนสันกำแพงแล้ว
ขณะนี้ดอกหวายม่วงสีม่วงอ่อนบนสันกำแพงกับดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยสีชมพูดอกใหญ่ขับเด่นตัดกันจนดูสวยงาม ช่างดูสดใสเป็ผืนหนึ่ง
หลี่ซื่อชื่นชอบดอกไม้บานสะพรั่งจนเหมือนผ้าไหมหลากสี มักมองไปยังสันกำแพงแล้วยิ้มจนสว่างไสวงดงาม
เมื่อเจินจูเห็นเช่นนั้น ใจก็เต้นตึกตัก...
เริ่มวางแผนโครงการตกแต่งพื้นที่ใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำให้สวยงามขึ้น
ที่จริงนางไม่รู้อะไรในด้านการออกแบบสวนดอกไม้เลย เคยเห็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องบนโทรทัศน์หรือไม่ก็ในหนังสือบางครั้งบางคราวนิดหน่อย นอกเหนือจากนั้นนางไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ
ดังนั้น นางเลยเลียนแบบริมถนนของยุคปัจจุบันจึงปลูกดอกไม้สองฝั่งข้างทางบนถนนอิฐสีฟ้า
เว้นระยะห่างปลูกไม้ผลบ้างนิดหน่อย
ไม่ผิด... เป็ไม้ผล
ผิงกั่ว สาลี่ ลูกพลัม ทับทิม ลูกท้อ เหอเถา... เพียงสามารถหาต้นกล้ามาปลูกได้ เจินจูล้วนให้คนปลูกลงไป
สิ่งที่นางทำทั้งหมดคือในขณะที่รดน้ำจะผสมน้ำแร่จิติญญาลงไปในถังน้ำ ต้นกล้าผลไม้ทั้งหมดต่างแตกหน่อหยั่งรากมั่นคงอย่างไว้หน้ามาก เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและแข็งแรงหนึ่งผืน
สถานที่ติดูเาริมฝั่งแม่น้ำมีเนินลาดชันค่อนข้างมาก ความคิดแรกของเจินจูจึงสร้างศาลาขึ้นบนเนินหนึ่งหลัง หลังจากนั้นปลูกพืชไม้ดอกระย้าที่เหมาะสมไว้ล้อมรอบศาลา ยามว่างนั่งรับลมริมแม่น้ำอยู่ในศาลาก็เป็เื่รื่นรมย์ใจเช่นกัน
พอคิดได้เช่นนี้จึงทำตามเช่นที่คิด ศาลาโดยรวมจึงเป็รูปเป็ร่างขึ้น อีกไม่กี่วันก็จะเสร็จสิ้นงานได้
ขณะนี้นางกำลังพูดคุยกับหลัวจิ่งว่าใต้ตีนเขาซิ่วซีควรปลูกต้นกล้าผลไม้หรือต้นกล้าชนิดไหนบ้าง
เจินจูเขียนสิ่งมากมายบนกระดาษ เช่น ต้นการบูร ต้นแปะก๊วย ดอกอิงฮวา [1] หงเฟิง [2] จื่อเวย [3]... ล้วนเป็พันธุ์ไม้ประดับที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตทางตอนเหนือ เมื่อเติบโตกลายเป็ผืนแล้วล้วนมีลักษณะพิเศษอย่างมาก
หลัวจิ่งมองตัวอักษรเล็กใหญ่ไม่เท่ากันของนาง ข่มการกระตุกมุมปากไว้ เวลายาวนานเช่นนี้ รูปร่างตัวอักษรของนางไม่พัฒนาเลยสักนิดเดียว
แล้วมองประเภทของต้นไม้นานาพันธุ์เต็มหน้ากระดาษ อดไม่ได้ที่จะละสายตาแล้วมองนางไปตามตรง
แม้เขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ปลูกต้นไม้นานาพันธุ์มากมายเพียงนั้นและยังคละปนอยู่ด้วยกัน ทัศนียภาพที่ได้คงไม่งดงามมากเท่าไรนัก
หลัวจิ่งเตือนนางอ้อมๆ
เจินจูกวาดสายตามองประเภทต้นไม้บนกระดาษแวบหนึ่ง เอ่อ... เยอะไปหน่อยจริงๆ
เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
ไปหาผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในการจัดสวนหรือ?
ยังไม่ต้องพูดถึงการจ่ายเงิน แค่เวลาชั่วครู่ชั่วยามเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญคงหาไม่ง่ายเลย
เจินจูขมวดคิ้วจนกลายเป็ปม
หลัวจิ่งมองคนตัวเล็กขมวดคิ้วแน่นอย่างขบขัน ั์ตาดวงโตสีดำขลับเป็ประกายกะพริบอย่างกลัดกลุ้มใจ ท่าทางน่ารักเป็อย่างมาก
มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว อารมณ์สบายใจราวกับซดถั่วเขียวต้มที่เย็นสดชื่นในฤดูร้อน
แต่รอยย่นระหว่างคิ้วของนางกลับทำให้เขาทนดูไม่ได้ จึงคิดยื่นนิ้วมือออกไปลูบรอยย่นเส้นนั้นให้เรียบอย่างอดใจไม่ไหว
มือเพิ่งยื่นออกไปกลางอากาศ ทันใดนั้นเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขา ดวงตาปรากฏความสว่างไสวคล้ายดวงดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้า “มีอะไรหรือ?”
เสียงใสมีความไพเราะและนุ่มนวลเป็เอกลักษณ์ของเด็กสาว
“เอ่อ… ไม่มีอะไร” หลัวจิ่งเก็บมือกลับอย่างทำตัวไม่ถูก ทันทีหลังจากนั้นลุกขึ้นยืนฉับพลัน “ข้าคิดเื่หนึ่งขึ้นได้ อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าเมืองสักรอบ จะกลับมาเย็นนิดหน่อย”
เจินจูชะงักงัน ทำไมจะเข้าเมืองกะทันหันเช่นนี้ แม้่เวลาที่ผ่านมา เขาจะตามหูฉางกุ้ยออกจากบ้านไปซื้อของสองสามครั้ง แต่... นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเป็ฝ่ายเรียกร้องเข้าเมืองด้วยตัวเอง
“ท่านพ่อข้ายังยุ่งอยู่ตรงพื้นที่นั้นอยู่เลย ไม่เช่นนั้นข้าไปเรียกเขากลับมาดีหรือไม่?” ในเมื่อเขากล่าวออกมาว่า้าจะไป เช่นนั้นย่อมต้องมีเหตุผล เจินจูจึงลุกขึ้นยืนแล้วถาม
“ไม่ต้อง ข้าไปเองก็พอ ข้าเร่งเกวียนล่อเป็ ครั้งก่อนออกจากบ้านข้าก็เคยเร่งอยู่่ระยะทางหนึ่ง” นั่งเกวียนล่อสองสามครั้ง ศึกษาทักษะการเร่งเกวียนอย่างละเอียด และเขายังคลุกคลีกับล่อของสกุลหูได้ค่อนข้างคุ้นเคยอย่างมาก หลัวจิ่งจึงเร่งเกวียนล่อได้คล่องมือ
“เ้าไปคนเดียวหรือ?” เจินจูจ้องตาโต มองคนร่างสูงทันทีทันใด ร่างกายยังคงรูปงามเยาว์วัยและไร้แรงกำลัง “ไม่ได้ เ้าไปคนเดียวไม่ค่อยปลอดภัย ให้ท่านพ่อข้าหรืออาชิงไปเป็เพื่อนเ้าด้วย”
“ไม่ต้องจริงๆ ล่อเชื่อฟังอย่างมาก ข้าเร่งได้คล่องมือดีแล้ว” หลัวจิ่งส่ายหน้า สถานที่ที่เขาจะไปต้องเดินทางออกไปไกลจากตัวเมือง่หนึ่ง ไปกลับอาจเสียเวลานิดหน่อย
“ไม่ได้ ให้ท่านพ่อข้าหรืออาชิงไปด้วย” เจินจูก็ส่ายหน้าเช่นกัน นางไม่ได้กังวลใจเื่ล่อ แต่นางเป็ห่วงเขา หน้าตาสะดุดตาเพียงนี้ ไปคนเดียวไร้อำนาจไร้เรี่ยวแรง หากมีคนคิดมุ่งร้ายอยากจะได้ตัวเขาเพราะความสง่างาม ไม่แน่ว่าอาจถูกคนหลอกเอาได้
แม้หลายวันมานี้ เขาจะฝึกการต่อสู้กับอาจารย์ฟางอย่างจริงจังและขยันหมั่นเพียรมาก แต่ศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่วันสองวันก็สามารถชำนาญรวดเร็วฉับไวได้
หลัวจิ่งเห็นท่าทางของนางแน่วแน่ไม่คิดเปลี่ยนใจ จึงรู้ว่านางเป็กังวลมาก มุมปากเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยสีหน้ามีรอยยิ้ม “ได้ ให้อาชิงไปเป็เพื่อน”
“นี่... ออกจากบ้านต้องพกเงินเผื่อไว้” เจินจูยิ้มออกมาได้ แล้วหยิบเงินในอ้อมอก ความเป็จริงคือล้วงกระเป๋าเงินใบเล็กหนึ่งใบออกมาจากมิติช่องว่าง ด้านในใส่เงินอยู่ห้าสิบถึงหกสิบเหลียง
หลัวจิ่งชะงัก จิตใต้สำนึกอยากกล่าวว่าตนเองมีเงิน ยังดี... เขาเปลี่ยนความคิดทัน รับกระเป๋าเงินใบเล็กมา รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งสว่างไสวมากขึ้น
“ขอบคุณ!”
รอยยิ้มเบ่งบานตามอำเภอใจอย่างสดใสของเด็กหนุ่ม การแสดงออกที่เฉยเมยและผ่อนคลายตามปกติหายไปอย่างไร้ร่องรอย บรรยากาศทั้งอบอุ่นทั้งสดใสกระจายออกมาจากคนทั้งตัว
ชั่วขณะนั้น... ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
เสียงเคาะประตูดังมาจากนอกลานบ้าน และเสียงเห่าอย่างร่าเริงของเสี่ยวหวงก็ปลุกสองคนที่จ้องมองกันและกันให้ได้สติ
“โอ๊ะ… ข้าไปดูหน่อยว่าผู้ใดมา” เจินจูละสายตาและหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่นางไม่รู้เลยว่าสีแดงเืฝาดที่ปลายหูได้เผยอารมณ์ของนางออกมาให้เขาเห็นเสียแล้ว
เส้นโค้งบนมุมปากหลัวจิ่งยกขึ้นอย่างชัดเจน
เจินจูยกมือขึ้นโบกพัดไปมา ้าไล่กระจายความร้อนบนใบหน้าออกไป
มารดาเถอะ... นางต้องระวังหน่อยแล้ว หากตกลงไปในกับดักของเขาเข้า อาจไม่คุ้มค่ากัน
“ผู้ใดกัน?”
“เจินจู เปิดประตูหน่อย คุณชายสกุลกู้ผู้นั้นมาแล้ว!” หลิ่วฉางผิงเห็นรถม้าสูงใหญ่ดำขลับควบเข้ามาบนถนนอิฐสีฟ้าแต่ไกล ชายหนุ่มผู้ที่เร่งรถม้าคุ้นตาเป็อย่างมาก พอรอดูคนภายในรถม้าปรากฏชัดขึ้น จึงวิ่งอย่างรวดเร็วมาแจ้งข่าวแก่ครอบครัวหูทันที
คุณชายสกุลกู้? กู้ฉี? ไม่ใช่ว่าเขากลับเมืองหลวงไปแล้วหรือ ทำไมมาอย่างกะทันหันได้
เจินจูเปิดประตูลานบ้าน เสี่ยวหวงวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เจินจู เ้าดูทางนั้น รถม้าสีดำคันนั้น ผู้ที่นั่งข้างบนเป็คุณชายสกุลกู้ที่มาเป็แขกบ้านเ้าครั้งก่อน” หลิ่วฉางผิงชี้รถม้าที่เร่งเข้ามาช้าๆ
เอ๊ะ... ผู้ที่เร่งรถม้าไม่ใช่ว่าเป็เฉินเผิงเฟยที่ทานเก่งและชอบยิ้มผู้นั้นหรือ
กู้ฉีป่วยกระเสาะกระแสะผู้นี้ เดินทางไกลที่ยากลำบากไปกลับด้วยเวลาอันสั้น ไม่กลัวว่าระหว่างทางจะเจ็บป่วยขึ้นบ้างเลย
ร่างกายเพิ่งดีขึ้นได้ก็กระทำตามอำเภอใจตนเองปานนี้ เฮ่อ... ไม่ใช่คนป่วยที่ดีเลยจริงๆ
ในห้องโถง... รอยยิ้มบนใบหน้าหลัวจิ่งหยุดลง
กู้ฉี บุตรชายคนเล็กที่กำเนิดจากภรรยาหลวงของซ่างซูกู้
เหอะ... ขยันมาจริงๆ เลย
เชิงอรรถ
[1] ดอกอิงฮวา (樱花) คือ ดอกซากุระ
[2] หงเฟิง (红枫) คือ ต้นเมเปิลแดง
[3] จื่อเวย (紫薇) คือ ดอกยี่เข่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้