แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มั้แ่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็มารดา ใน่สายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ่เย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกัน
โดยเฉพาะกับลู่ซีเป็บ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาั้แ่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายั้แ่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป
“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็กังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิงอ้ายเคร่งเครียดกับการฝึกฝนอะไรที่ตึงเกินไปย่อมไม่ส่งผลดีทั้งสิ้น
ตลอดหลายเดือนมานี้นทีไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนไปที่ใดทั้งสิ้น เขาเอาแต่ฝึกฝนวรยุทธอีกทั้งควบคุมปราณธาตุให้เชี่ยวชาญ ยามหิวก็ออดอ้อนท่านเเม่ให้ทำของอร่อย ๆ ให้กินแค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว
“คุณชายอยากจะไปเที่ยวตลาดบ้างไหมขอรับ เผื่อว่าจะได้หาซื้อข้าวของที่คุณชาย้าด้วย...” ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าในตอนนี้อากาศดีน่าพักผ่อนคุณชายจะได้ผ่อนคลายบ้างตามที่ฮูหยิน้า
“เช่นนั้นไปเลยหรือไม่? ข้าต้องไปหาซื้อของจำเป็ในการประลองอีกทั้งต้องสั่งทำอาวุธด้วย ขอบใจเ้าที่เตือนข้า...” เมื่อครุ่นคิดคำแนะนำที่ลู่ซีบอกหนิงอ้ายก็คิดได้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ตนยังเตรียมไม่ครบสำหรับการประลองยุทธครั้งนี้
“เป็หน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว คุณชายรีบไปผลัดเสื้อผ้าเถอะขอรับเดี๋ยวข้าจะไปเตรียมรถม้าให้ก่อนนะขอรับ...” กล่าวจบลู่ซีก็ปลีกตัวไปจัดเตรียมความพร้อมโดยทันที
ลู่ซีเป็บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาั้แ่อายุเจ็ดปี แต่เดิมอีกฝ่ายเป็เพียงขอทานเร่ร่อนที่วันหนึ่งเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายได้เห็นอีกฝ่ายนอนป่วยอยู่ข้างถนนโดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจ นางจึงให้บ่าวที่ติดตามไปด้วยในตอนนั้นพาลู่ซีไปหาหมอเพื่อรักษาอาการ เมื่ออีกฝ่ายหายดีแล้วเพื่อเป็การตอบแทนลู่ซีจึงขอเป็บ่าวรับใช้ด้วยความเต็มใจ ทางด้านเยว่ซินเห็นว่าอายุของลู่ซีใกล้เคียงกับบุตรของตนจึงให้ลู่ซีไปเป็บ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้ายเป็ต้นมา
“เเม่ได้ยินว่าเ้าจะไปตลาดอย่างนั้นรึ? หนิงเอ๋อร์...” เย่วซินถามบุตรชายของตน ในใจนึกยินดีที่บุตรชายของตนได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง
“ขอรับท่านแม่ ข้าว่าจะออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยขอรับ...” ในใจหนิงอ้ายตอนนี้ครุ่นคิดและวางแผนแล้วว่าต้องทำสิ่งใดบ้างเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“เช่นนั้นเ้าไปที่หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลดีหรือไม่? ที่นั่นมีทั้งโอสถ อาวุธของวิเศษมากมาย อีกทั้งยังมีสัตว์อสูรรับใช้ด้วยเผื่อเ้าถูกใจสักตัวจะได้มีอสูรในพันธะไว้ใช้ในการลงประลอง” เย่วซินออกความเห็น เพราะนางคิดว่าหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเป็สถานที่ขึ้นชื่อของแคว้นหงส์แดงนี้และมีสิ่งของให้เลือกสรรมากมาย
“เช่นนั้นข้าจะไปที่หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเลยจะได้ไม่เสียเวลาขอรับ...”
“รบกวนผู้าุโหวังฮุ่ยดูแลบุตรชายของข้าด้วยนะเ้าคะ” เย่วซินหันไปคุยกับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“คำสั่งของท่านประมุขให้ดูแลท่านกับนายน้อยพวกข้าย่อมทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดขอรับ!” หวังฮุ่ยตอบกลับไป
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจ หนิงเอ๋อร์เ้าก็อย่ากลับช้านักเล่า...” เยว่ซินเอ่ยกำชับอีกครั้ง
“ขอรับท่านแม่”
หนิงอ้ายได้เดินตามลู่ซีโดยที่มีหวังฮุ่ยคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เมื่อมาถึงท้ายจวนก็พบว่าบริเวณโดยรอบตระกูลจางนับว่ามีพื้นที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นมากมายที่ให้ความร่มรื่น อาคารเล็กใหญ่มากมายแบ่งเป็สัดส่วนเห็นเป็ระเบียบสมกับได้ชื่อว่าเป็หนึ่งสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง
“ตระกูลจางกิจการอะไรบ้างเ้าพอรู้หรือไม่?” หนิงอ้ายถามด้วยสงสัยเพราะในความทรงจำช่างเลือนรางไปหมดแล้ว
“ตระกูลจางมีทั้งกิจการเกี่ยวกับเหลาอาหารโรงเตี๊ยมอยู่หลายสาขา อีกทั้งได้มีการจัดตั้งสำนักศึกษาผิงอานแห่งนี้ขึ้นซึ่งในแต่ละปีจะมีการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้ามาเล่าเรียนถึงจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าสำนักศึกษา แต่สวัสดิการต่าง ๆ ศิษย์ในสำนักล้วนสามารถเข้าถึงได้อย่างไม่มีค่าใช้จ่ายรวมไปถึงทรัพยากรในการฝึกตนนั้นก็ใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด...”
"นอกจากนั้นทางสำนักศึกษาผิงอานได้มีการรับจ้างงานภารกิจ ๆ จากผู้คนในยุทธภพรวมไปถึงตระกูลน้อยใหญ่มากมายไม่ว่าจะเป็การคุ้มครองการขนส่งสินค้า คุ้มครองคนในการออกตามหาสมุนไพรหรือสัตว์อสูรรวมไปถึงการรับจ้างล่าวงแหวนิญญาของสัตว์อสูรตามใบสั่ง และยังให้ศิษย์สายในรวมไปถึงศิษย์สายหลักมีการรับภารกิจต่าง ๆ เหล่านี้โดยที่ทางสำนักจะหักรายได้ไว้เพียงสามส่วนขอรับ”
‘มิน่าเล่าตอนที่หนิงอ้ายปลุกพลังิญญาไม่สำเร็จจึงเป็ที่อับอายแก่ตระกูลจาง อีกทั้งไม่ได้รับการยอมรับจากบรรดาเหล่าศิษย์ของสำนัก จนนานวันไปเื่ราวก็ถูกบิดเบือนความจริงไปเรื่อย ๆ ข้าจะทำให้พวกเ้าทุกคนจดจำนามของหนิงอ้ายให้ได้คอยดูเถอะ...’ หนิงอ้ายขบคิดอยู่ในใจ
ด้วยพื้นที่ของตระกูลจางใหญ่โตกว้างขวางมาก อย่างไรก็เน้นเพียงการป้องกันคนนอกไม่ให้เข้ามาได้โดยง่ายเท่านั้น แต่ในทางกลับกันแล้วคนในล้วนสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ด้วยเวลาเพียงหนึ่งเค่อนับว่าไม่มากไม่น้อยพวกเขาก็พ้นเขตของจวนได้สำเร็จจากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังตลาดในทันที
ผู้คนมากมายต่างออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างคึกคัก โดยรอบตลาดมีทั้งเหลาอาหารโรงเตี๊ยมที่ลู่ซีชี้ดูว่าเป็กิจการของตระกูลจาง ของกินข้างทางในตลาดให้อารมณ์เช่นเดียวกับตลาดนัดในโลกเดิมของเขาเป็อย่างมาก อีกทั้งมีร้านค้าโอสถเล็ก ๆ สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีกำลังจ่ายมากนัก ร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ตอนนี้มีผู้คนอย่างเนืองแน่นเพราะใกล้จะเข้าสู่การประลองยุทธ์แล้ว ผู้คนมากมายจากหลายหลายพื้นที่ต่างเดินทางเข้ามาก่อนจะมุ่งตรงไปยังแคว้นเต่าดำที่อยู่ข้างเคียงกัน เมื่อเดินมายังใจกลางตลาดก็เห็นอาคารจีนทรงแปดเหลี่ยมสีดำตั้งตระหง่านโดดเด่นที่มีความสูงถึงห้าชั้น สถานที่นี้คือหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลนั่นเอง
“หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลช่างใหญ่โตกว้างขวางยิ่ง! รู้หรือไม่เป็กิจการของตระกูลใด?” หนิงอ้ายถามลู่ซี
“ว่ากันว่าหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลมีที่มาไม่ชัดเจนที่แม้แต่กระทั่งกษัตริย์ของแคว้นยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ในหอประมูลจะมีการจำหน่ายสินค้าโดยเเบ่งเป็ประเภทต่าง ๆ สี่ชั้น และชั้นสุดท้ายบนสุดจะเป็ชั้นประมูลสินค้าหายากซึ่งจะเปิดเพียงหนึ่งวันต่อเดือนขอรับ...”
หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเป็อาคารจีนทรงแปดเหลี่ยมห้าชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางตลาดของแคว้นหงส์แดง ภายนอกอาคารเป็สีดำสนิทสามารถมองเห็นได้แม้จากที่ไกลถือได้ว่าเป็หอประมูลสินค้าที่มีชื่อเสียงจนมีผู้คนกล่าวขานกันว่า ‘หากใต้หล้านี้้าสิ่งใดหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลสามารถทำให้สมหวังดั่งใจ’ เห็นได้ว่านอกจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลจะมีการจำหน่ายสินค้า พวกอาวุธพิเศษและการประมูลของหายากแล้วย่อมมีการขายข้อมูลลับ ๆ อีกด้วย
โดยชั้นที่หนึ่ง เป็การจำหน่ายตำราศึกษารวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนหลายหลายรูปแบบมีตำราที่เป็ประโยชน์ทั้งตำราพื้นฐานและตำราหายากเช่นตำราพลังิญญา เคล็ดวิชาของพลังธาตุในแต่ละสายรวมไปถึงตำราศึกและการต่อสู้
ชั้นที่สอง เป็การจำหน่ายสินค้าประเภทพวกยันต์เวทย์โจมตี ยันต์ค่ายกลที่มีทั้งราคาสูงและราคาที่สามารถจับต้องได้สำหรับคนทั่วไปเช่นกัน
ชั้นที่สาม เป็การจำหน่ายพวกเสื้อเกราะป้องกัน เสื้อเกราะโจมตี เสื้อเกราะเสริมพลังธาตุหรือพวกอาวุธวิเศษรวมไปถึงพวกอาวุธทั่วไปเช่นกระบี่ ดาบ ธนูหรือหากว่า้าให้จัดทำอาวุธก็สามารถติดต่อตกลงกับนายช่างประจำชั้นให้ดำเนินการได้
ชั้นที่สี่ เป็การจำหน่ายพวกโอสถั้แ่ระดับต่ำไปถึงระดับสูง บรรดาสมุนไพรหายาก อีกทั้งสิ่งของที่จำเป็สำหรับการปรุงโอสถก็มีในชั้นนี้ให้ได้เลือกสรรอย่างมากมายไม่น้อย
ชั้นสุดท้ายหรือชั้นที่ห้า เป็ชั้นสำหรับการประมูลสินค้าหายาก ในหนึ่งเดือนจะเปิดเพียงหนึ่งครั้งจะตรงกับทุกวันที่สิบหกของทุกเดือน ช่างน่าเสียดายที่เขามาหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลหลังจากวันที่มีการประมูลจบไปเพียงสองวัน ซึ่งลู่ซีได้บอกว่าสินค้าประมูลในชั้นห้านี้นอกจากจะเป็การประมูลของวิเศษ,สมุนไพรหายากแล้วก็ยังมีการประมูลสัตว์อสูรระดับสูงอีกด้วย
หนิงอ้ายใช้เวลาอยู่ในหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลร่วมสองชั่วยาม ตอนนี้เขาได้ของที่้าเกือบทั้งหมดแล้วและก่อนกลับหนิงอ้ายไม่ลืมแวะไปยังชั้นสามอีกครั้งเพื่อให้นายช่างทำอาวุธลับให้ ในตอนแรกนายช่างเหล่าต่างไม่เข้าใจว่าอาวุธลับที่เขา้าจะออกมาเป็แบบใด ยังดีที่หนิงอ้ายไม่ลืมหยิบแบบร่างอาวุธลับดังกล่าวมาด้วยพร้อมกับอธิบายอีกเพียงเล็กน้อย การตกลงจ้างทำอาวุธจึงจบลงด้วยดีและมีการนัดมารับสินค้าในอีกเจ็ดวันข้างหน้า...
“ลู่ซีเ้ามีสัตว์อสูรรับใช้หรือไม่? แล้วเป็สัตว์อสูรประเภทใดกัน” หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามารดา้าให้เขาลองหาสัตว์อสูรมาผูกพันธะ
“อสูรรับใช้ของข้ามีนามว่าเสี่ยวหง เป็สัตว์อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดขอรับ...” ลู่ซีตอบไปพร้อมกับเรียกอสูรรับใช้ของตนออกมา
พรึบ!
ทันใดนั้นพื้นที่ว่างเปล่าด้านหน้าของลู่ซีก็ปรากฏวงเวทย์สีครามประกาย เป็สัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนวังกัดปราณธาตุน้ำ ก่อนที่ภายในวงเวทย์ดังกล่าวจะปรากฏเป็สัตว์อสูรที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายกับแมวั์สีแดงที่มีขนาดตัวสูงถึงเกือบสามเมตร พรึบตาเดียวร่างของเ้าแมวตัวนี้ก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของลู่ซีเสียแล้ว หากว่ามองดี ๆ จะพบว่าเ้าแมวตัวนี้มีดวงตาทั้งข้างที่มีสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
‘ร่างจริงของสัตว์ในพันธะของลู่ซีตัวใหญ่กว่าช้างป่าที่เคยเห็นเสียอีก แต่พอลดขนาดลงแล้วทำไมน่ารักน่ากอดแบบนี้นะ!!’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างตื่นเต้นที่ได้เห็นสัตว์อสูรเป็ครั้งแรก อีกทั้งเ้าแมวตัวน้อยในยามนี้ก็จ้องมองเขาด้วยหน้าตาติดอ้อนชวนให้น่าเอ็นดูยิ่ง หนิงอ้ายคิดว่าหากกลับถึงเรือนจะขออุ้มอสูรรับใช้ของลู่ซีสักครั้ง
“สัตว์อสูรรับใช้หากว่าทำการผูกพันธะกับเ้าของแล้วจะสามารถสื่อสารทางจิตกับเ้าของได้ั้แ่มีการผูกพันธะครั้งแรก อีกทั้งความก้าวหน้าของระดับอสูรรับใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับพลังิญญาของเ้าของพันธะ...”
“สัตว์อสูรจะแบ่งออกเป็หกระดับ นั่นคือสัตว์อสูรระดับปฐี ระดับนภา ระดับมายา ระดับตำนาน ระดับิญญาและระดับา แต่ละระดับจะแบ่งออกเป็สามขั้น ขั้นต่ำ ขั้นกลางและขั้นสูงไล่เรียงตามความแข็งแกร่งและสติปัญญา สำหรับสัตว์อสูรระดับปฐีจะสามารถพบเห็นได้ตามบริเวณเขตป่าชั้นนอก สัตว์อสูรประเภทนี้ต่างมีสัญชาตญาณความเป็สัตว์อยู่เต็มเปี่ยมและมักจะถูกจับมาใช้แรงงานรวมไปถึงเป็อาหารสำหรับการเพิ่มพลังิญญาในผู้ฝึกตน ถึงแม้จะไม่มีความโดดเด่นมากเเต่หากเทียบกันเเล้วก็ไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดิญญาเพียงเท่านั้น”
"สัตว์อสูรนภาจะคล้ายคลึงกับสัตว์อสูรระดับปฐีเป็อย่างมาก เพียงเเต่ว่าจะมีความแตกต่างในเื่ของพละกำลังและการอยู่รวมกันเป็ฝูง หากเปรียบเทียบตามลำดับสามขั้นย่อยแล้วขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนพลิญญา ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนนางิญญาและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญา ซึ่งสัตว์อสูรประเภทนี้ที่บางเผ่าพันธ์ที่มีความพิเศษมากจะมีวงแหวนิญญาปรากฏ"
“สัตว์อสูรระดับมายาจะมีความแตกต่างจากสัตว์อสูรระดับปฐีและระดับนภาเป็อย่างมาก ด้วยเพราะเป็สัตว์อสูรที่มีความคิดอ่านอีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างแท้จริง บ้างก็สามารถใช้ปราณธาตุได้ไปไม่ต่างผู้ฝึกตน ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้วในขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญา ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับราชันิญญาและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์ิญญา โดยส่วนมากจะพบเห็นได้ตามเขตป่าชั้นกลางเป็ต้นไป ซึ่งสัตว์อสูรระดับมายาเป็ที่นิยมสำหรับผู้ฝึกตนที่จะนำมาผูกพันธะเป็อสูรรับใช้มากที่สุด”
“สัตว์อสูรระดับตำนานกล่าวได้ว่าเป็สัตว์อสูรชั้นสูงที่มีการสืบทอดสายเืพิเศษของเผ่าพันธ์มาอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ง่ายที่จะพบเจอและได้อย่างแท้จริง ด้วยความต่างชั้นในเื่ทางพละกำลังอันมากล้น ความรุนแรงอหังการของปราณธาตุที่สัตว์อสูรเหล่านี้สามารถเรียกใช้ได้เรียกว่าะเืฟ้าะเืดินคงไม่เกินจริงไปนัก หากเปรียบเทียบกันแล้วในขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพ์ิญญา ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับพรหมยุทธ์ิญญาและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับมหาพรหมยุทธ์ิญญา ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนทั้งสามระดับนี้ทุกคนต่างเห็นเป็ประจักษ์แก่ใจ เพียงแต่การรับมือกับสัตว์อสูรระดับตำนานแม้เพียงขั้นต่ำก็ไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายเท่าไหร่...”
“สำหรับสัตว์อสูรระดับิญญากล่าวกันว่าเมื่อสัตว์อสูรระดับตำนานได้บรรลุถึงเขตขั้นนี้ ด้วยเพราะยังไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดเผ่าพันธ์อสูรของตนได้ จึงทำให้รูปลักษณ์ภายนอกแม้จะเหมือนผู้ฝึกตนแต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็เอกลักษณ์เช่นเผ่าพันธุ์วานรที่ยังมีใบหูแหลมและหางยาวให้สังเกตเห็น หรือแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่ยังปรากฏครีบและเกล็ดบางส่วน หากเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนแล้วขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับอัครพรหมยุทธ์ิญญา ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาอัครพรหมยุทธ์ิญญาและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพพรหมยุทธ์ิญญา ซึ่งเชื่อกันว่าสัตว์อสูรระดับิญญานี้ต่างอาศัยอยู่ในป่าชั้นในที่มีความอันตรายอย่างยิ่งยากที่จะฝ่าฝันเข้าไปรบกวนได้...”
“สุดท้ายคือสัตว์อสูรระดับา สัตว์อสูรในตำนานที่แม้ไม่เคยมีผู้ใดพบเจอ แต่ทว่าจากสมุดบันทึกที่มีอายุนับพันปีย่อมกล่าวถึงตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญเหล่านี้ว่าหลังจากจบสิ้นมหาศึกาของสองเผ่าพันธ์หนึ่งในสามผู้นำในครั้งนั้นที่เป็สัตว์อสูราขั้นสูงได้พบรักกับผู้ฝึกตนหญิงท่านหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าในตอนนี้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากสัตว์อสูราบ้างหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรตัวตนของสัตว์อสูรระดับายังคงอยู่เหนือชั้นกว่าอย่างแท้จริงและหากเปรียบเทียบกันแล้วในขั้นต่ำและขั้นกลางสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาเทพพรหมยุทธ์ิญญาและขั้นสูงสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพาอันเป็สองระดับพลังิญญาสูงสุดนั่นเองขอรับ” ลู่ซีตอบไปให้หนิงอ้ายได้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้