ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเื่ราวต่างๆ อยู่นั้น
ภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือั์ถูหลัน! ใบหน้าคือัและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็วงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล
“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเ้า ั์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว
“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมากันปีละครั้งและนั่นก็เป็จุดกำเนิดความรักของเราสองคน”
แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็เพียงภพชั่วคราวของการผ่านของิญญา ร่างที่พวกเ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”
“ข้ามีเื่อยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสองคน คนหนึ่งถึงหันหลังคุย! อีกคนปิดตาไม่ลืมตา!” เ้าวั่งซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ดวงตาคู่งามของเม่งเซี๊ยะมีน้ำเอ่อล้นออกมาจากตา แม้ว่าตาคู่งามยังไม่ลืม แต่ก็ยังดูสวยงามดั่งรูปปั้น “มันคือหนึ่งในโทษทัณฑ์ที่พวกข้าได้รับ ข้าไม่อาจมองเห็นคนที่ข้ารัก คนที่ข้ารักไม่อาจหันมองมาทางข้าได้ เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันแต่จะไม่มีวันเห็นกันตลอดกาล และเราสองคนต้องอยู่กับพันธะนี้ไปชั่วกับป์ชั่วกัลป์” เม่งเซี๊ยะเล่าพร้อมหยดน้ำหยดเผาะจากดวงตางาม
“ทำไมกัน แค่มีความรัก เหตุใดจึงต้องตัดสินโทษอะไรมากขนาดนั้น ข้าหามองเห็นว่ามันเป็ความผิดไม่ ความรักคือสิ่งที่ดี ควรเป็สิ่งเราจะต้องได้รับการเฉลิมฉลองมากกว่า” เ้าวั่งซู่กอดอกพูดใส่อารมณ์ด้วยความโมโห และ เห็นใจชะตาอันอาภัพของถูหลันและเม่งเซี๊ยะ
“แต่สิ่งที่พวกท่านทำก็ไม่ถูก พวกท่านมีจุดประสงค์อะไรถึงกักขังจิตวิญาณ และ กายหยาบของพวกเค้าเหล่านี้ไว้ ถึงแม้ว่าท่านจะบอกว่าเป็พวกเค้าเองที่ยอมจำนนต่อความ้าการตัวเอง และ ติดอยู่ในฝัน แต่ข้าได้ยิน พิณและกู่เจิงอาวุธประจำกายพวกท่านล้วนแต่ทำหน้าที่เป็กุญแจที่ชักจูงนำทางเข้าออกให้แก่ดวงจิต” ฮวาเฟยฟากล่าว
“ท่านคงไม่ทราบ! องค์ชายั” ั์ถูหลันดูพูดหัวเสีย เปลวเพลิงสีแดงสว่างโพลงขึ้นหุ้มร่างกายั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า “ภพ์เนรเทศพวกเรา และกักพลังจักราิญญาของเราสองคนไว้แปดส่วน เหลือเพียงสองส่วนสำหรับใช้อาวุธเทพ แต่พลังชีวิตแทบไม่มี ภพสววรค์ตั้งใจให้พวกเราหมดหนทางและดูดกลืนไอิญญาจากอีกฝ่ายจนสลายไป” ถูหลันพูดพร้อมกำกู่เจิงแน่น ในตาโกรธแค้น
“ใช่! ดังนั้นพวกเราสองคนจำเป็ต้องดูดไอิญญาจากพวกที่หลงเข้ามานี่เพื่อประคองตัว พวกข้าไม่ได้ทำลายกายหยาบ หรือ แม้แต่ิญญาพวกเค้า ในภพฝันรูปธรรมรักษากายหยาบ ในภพฝันนามธรรมรักษาดวงจิต” เม่งเซี๊ยะอธิบาย
ฮวาเฟยฟากับเ้าวั่งซูมองหน้ากัน และ หยุดนิ่งฟังต่อ
“แล้วอย่างท่านนี้หล่ะข้ารู้จัก เทพโจววังซือ (เทพแห่งปัญญา) ท่านไม่มีความจำเป็ต้องลบลี้จากสถานะบน์ที่เป็อยู่มันน่าจะเป็ที่สุขสบายมีแต่คนกราบไหว้นับถือ” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“ฮ่าๆๆๆๆ ท่านคิดอย่างนั้นหรอองค์ชายั ที่ว่าบน์เป็ที่ที่ดี เ้าคงลืมไปละว่าพวกข้าสองคนก็คือ หนึ่งในคนที่เคยอยู่ภพ์มาก่อน และมันไม่ใช่ภพที่สวยสดงดงามขนาดนั้น!
“ท่านดูนั่น เทพลีกวางเซียน (เทพเ้าแห่งโชคชะตา) ต้องเป็ผู้กำหนดชะตาชีวิตสิ่งมีชีวิตทุกภพ ท่านเห็นทั้งความทุกข์และความสุขแต่ไม่สามารถเลือกชีวิตที่สุขให้แก่ทุกชีวิตได้ บางชีวิตต้องโดนตัดสินให้ผิดหวังชั่วนิรันดร์ก็ต้องทำเพราะหน้าที่ เลยหลบหนีมาทิ้งทุกอย่างเข้าสู่ความฝันนามธรรมที่สามารถเลือกได้ดั่งใจ!”
“และทางนั้น เทพซางสี่เซียน (เทพเ้าแห่งธัญพืช) ต้องจัดการสร้างไอชีวิตให้แก่เหล่าธัญพืชให้คืนชีวิตเพื่อชีวิตในทุกภพจะสามารถขับเคลื่อน แต่ด้วยความ้าที่มากเกินจากการกำเนิด ทำให้การผลิตและแจกจ่ายความสมบูรณ์แก่ทุกชีวิตในแต่ละภพติดขัด มีเหล่าดวงจิตตายและดับสูญมากมายเพราะขาดไอแห่งธัญพืชในการเข้าชุบเลี้ยง ภาระที่ยิ่งใหญ่และทำให้ดวงจิตสูญสลายมากมาย ท่านก็รับไมได้และพยายามหนีเื่ราวทั้งหมดและปวารณาตนเข้าสู่โลกแห่งฝันนามธรรมตลอดกาล” ถูหลันเล่ายาว
“พวกท่านมาสิ ข้าจะพาไปในความฝันของท่านโจววังซือ” เสียงบรรเลงพิณเริ่มถูกบรรเลง ครานี้เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา หาได้ตั้งจิตขัดขวางไม่ แต่รอเคลิ้มปล่อยตัวปล่อยใจไปกับทำนองนำพาิญญานั้น
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนจากภายในถ้ำเป็ภาพสีน้ำฉูดฉาดสาดกระจาย และ เื่ราวเรียงร้อยประติดปะต่อนำร่างของคนทั้งสี่เข้าไปยืนในเหตุการณ์ที่ร้อยเรียงเสร็จ รอบๆ บริเวณเปลี่ยนเป็ทุ่งดอกไม้ ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ บรรยากาศคือฤดูร้อนอันอบอุ่น
“นั่น ท่านโจวซือ ที่นั่งบนโต๊ะนั่น” ฮวาเฟยฟาชี้เอ่ย
“เค้ากำลังทำอะไร” เ้าวั่งซูเอ่ยถามชะเง้อมอง
“ต้นไม้ และ สัตว์เหล่านี้ถูกปัญญาของท่านโจวซือระบายขึ้นมาทั้งหมด ทุกวันท่านจะออกมาทำการเพาะปลูกด้วยมือ ทำคลอด ให้อาหาร และขยันสร้างธรรมชาติทุ่งหญ้านี้ให้ขยายออกไป และ จะนั่งจิบชา ขับกลอน หลงใหลอยู่ในธรรมชาติเหล่านี้ เสมือนว่าได้ใช้ปัญญาของตนในการสร้างบางสิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริงให้กับภพฝันนามธรรมแห่งนี้ นั่นคือความสุขสงบที่แท้จริง” เม่งเซี๊ยะเล่า
“อย่างนี้นี่เอง ภพฝันแห่งความเงียบ ก็เหมาะดังชื่อ “ภพแห่งขาวดำหาทราบคำตอบที่แน่ชัดไม่” ภพรูปธรรมคือดำ และนามธรรมคือขาว ตั้งทั้งขาวและดำก็ล้วนเป็สถานที่ปลอดภัยและหลีกลี้หนีจากความทุกข์ทั้งปวงให้กับทุกดวงจิตจากทุกภพ ภาระของพวกท่านช่างน่าเลื่อมใส” เ้าวั่งซูกล่าว
“แล้วทำไมพวกท่านถึงตั้งใจย้ายภพฝันแห่งความเงียบงันไปทุกที่ ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าภพฝันทำหน้าที่ดึงดูดและหว่านจับเสหมือนเป็ใยแมงมุมรอให้ดวงิญญาเข้าไปติด และยิ่งภพมนุษย์ที่ดวงจิตอ่อนแรงไร้พลังจักราต้านทานต่อความ้า” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“กายและจิตของเราสองคนในฐานะเ้าภพ ที่ผูกไว้กับหน้าที่และพันธสัญญาในการปลอบประโลมดวงจิตก่อนส่งต่อสู่การเวียนว่าย ได้สร้าง และ หลอมรวม ภพฝันแห่งความเงียบงันขึ้นมา การย้ายที่ของภพนั้นหาได้เกิดจากความตั้งใจ แต่หากเป็การย้ายตามกระแสจิตที่เรียกร้องอย่างรุนแรง นั่นหมายถึงภพเลือกดวงจิต เมื่อดวงจิตจากภพใดส่งกระแสมาถึงภพฝันแห่งความเงียบงันและพวกข้าเ้าภพ และ ตัวภพ ก็จะปรากฎขึ้นที่นั่น และ อีกอย่างคือจิตคะนึง,คำนึงหาแห่งเรา” เม่งเซี๊ยะสะอึก ใบหน้างาม ตากวางหลับน้ำตารื้น
“หลี่เลี่ยงเฟิ่ง ลูกชายคนเดียวของพวกเรา กำเนิดอยู่ในภพภูมินี้” ถูหลันกล่าวหน้าเศร้า
“ฮ!ะ หรือท่านหมายถึง หลี่เลี่ยงเฟิง ปรมาจารย์กระจกความฝัน แห่งสำนักเก้าจักยุตกรา” เ้าวั่งซูเอ่ยใ
“ใช่ เลี่ยงเฟิ่ง คือบุตรชายที่เราแอบส่งลงบนภพมนุษย์ก่อนจะถูกโทษทัณฑ์์ ภพต้นกำเนิดเค้าคือ ภพ์และภพฝันแห่งความเงียบงัน ดวงจิตพวกเราเฝ้าคะนึงหาถึงลูกชายที่พลัดพรากที่มาอยู่ที่นี่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมส่วนใหญ่เราถึงอยู่ที่นี่ เผื่อวันหนึ่งลูกชายเราจะเดินผ่านมา” ถูหลันเอ่ย
“แล้วทำไมท่านไม่ไปพบเค้าหรือเรียกเค้ามา” เ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“เลี่ยงเฟิ่งไม่รู้ว่าพวกเราคือพ่อแม่ เรากลัวว่าถ้ามีคนรู้เค้าจะตกอยู่ในอันตราย แต่ปกติพวกเรา ก็เข้าฝันเค้าสร้างโลกอุปโลกน์ว่าเราเป็พ่อเป็แม่แต่ไมได้ใช้ร่างจริงในฝันคือร่างจำแลง เค้าคงได้รับรู้แค่ความรู้สึกว่าเค้ามีพ่อแม่ที่รักเค้า ไม่ได้ทอดทิ้งเค้า และรับรู้ว่าเค้าเกิดมาจากความรักที่แท้จริง” เม่งเซี๊ยะกล่าวน้ำตานอง
“ข้าเคยรู้มาว่า จริงๆ แล้วกระจกความฝันนั้นนอกจากสร้างภาพจำลองภพฝัน และ สอนวิชาสร้างภาพฝันเพื่อล่อลวงศัตรูแล้ว จริงๆ มันยังสามารถเชื่อมกับภพฝันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะว่าชิ้นส่วนที่เอามาสร้างกระจกแต่ละภพเพื่อเป็แบบเรียนฝึกตนในการระวังภัย และ เรียนรู้สภาพแวดล้อม รวมถึงสภาพความเป็อยู่ของดวงจิตในแต่ละภพนั้นจำเป็ต้องจำลองมาจากสถานที่จริง และ ทางเดียวคือ ต้องมีการขอชิ้นส่วนสำคัญของแต่ละภพนั้นๆ มาประกอบขึ้น พร้อม “บทสวดจิงไถ่พันธ์ผูกนิรันดร์ ” เพื่อประกอบร่างกระจกเงาที่สามารถสะท้อนและเปิดเผยความเป็จริงทุกสิ่งของภพนั้นๆ ได้ และ ที่สำคัญคือการเชื่อมกับภพนั้นเสมือนเป็ประตูเข้าออกในกรณีเร่งด่วน และเป็หน้าที่ของเหล่าปรมาจารย์รุ่นสู่รุ่นที่เป็ผู้ดูแลการเชื่อมโยงและรักษาความลับนั้นไว้กับตัว รวมถึงการถ่ายทอดให้ผู้สืบทอดรุ่นต่อไป เพราะถ้าในกรณีจำเป็ต้องเปิด ก็ จำเป็ต้องมีเคียวสู่ภพของสกุลเ้าตั้งรับเพื่อปิด ไม่งั้นประตูภพที่ไม่ได้ถูกปิดก็เหมือนหลุมดำที่สร้างความผันผวนในการมีอยู่ของทุกภพและจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงแน่นอน” ฮวาเฟยฟาเล่า
“แต่ว่าพวกท่านก็สามารถพบกันได้แม้ไม่ต้องเชื่อมและเปิดประตูภพ เพราะกระจกสามารถเดินผ่านทะลุเข้าและออกได้อิสระ แค่เราบอกท่านเลี่ยงเฟิ่ง ให้เปลี่ยนแบบจำลองภพฝันแห่งความเงียบงันให้เป็ภพฝันแห่งความเงียบงันที่แท้จริง แค่นี้เค้าก็สามารถข้ามผ่านกระจกเข้าไปหาพวกท่านได้โดยที่ไม่ต้องเปิดดประตูภพใดๆ ทั้งนั้น จริงไม๊!? เห็นไม๊ข้าไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ฮ่าๆๆ” เ้าวั่งซูเอ่ยหัวเราะดังลั่น ฮวาเฟยฟาเหลือบมองยิ้มอ่อนโยนส่ายหน้า
“จริงหรอ! มันสามารถทำแบบนั้นได้จริงหรอ” เม่งเซี๊ยะเอ่ยถามซ้ำ ไม่แน่ใจ
“ใช่ เพียงแต่พวกท่านต้องแสดงตัวให้เค้ารับรู้ก่อน ว่าพวกท่านคือพ่อแม่ และ ดูว่าท่านเลี่ยงเฟิงจะว่ายังไง ส่วนเื่การใช้ภพฝันจริงเข้าแทนที่ภาพมายาภพฝันที่สร้างขึ้นไม่ใช่ปัญหา มันยังสามารถ เรียนสอน และ ได้เรียนจากภพฝันที่แท้จริงหาใช่เรียนจากแค่ภาพมายา และ ท่านพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ร่วมกันไปตลอด ข้าว่ามันช่างวิเศษ ไม่มีเื่ใดน่ายินดีเท่านี้” เ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมดีดนิ้วสาแก่ใจ
ฮวาเฟยฟาเสริมว่า “ส่วนเื่การย้ายภพ เพื่อรับดวงิญญาที่มีวาสนาและพันธะเข้าสู่ภพฝัน พวกท่านก็ยังสามารถทำได้ปกติ เพราะในระหว่างที่ภพฝันแห่งความเงียบงันย้ายออก ภาพมายาก็ย้ายเข้าสลับไปมา ทุกสิ่งดูลงตัวและไม่ผิดกฎเกณฑร์ใดๆ ทั้งสิ้น”
ถูหลันและเม่งเซี๊ยะน้ำตาคลอเข่าทรุดลง คำนับ เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา “บุญคุณครั้งนี้พวกข้าไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านยังไง”
“ช้าก่อนท่านทั้งสอง พวกเราไม่ได้ทำอะไรมากแค่ชี้ทาง และพวกท่านก็ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาตลอด ท่านทั้งสองไม่สมควรมีชะตาที่น่าเศร้าใจเช่นนี้ นับเป็วาสนาที่พวกเราได้พบ ข้าทั้งสองคนดีใจที่ได้มีส่วนช่วยชี้ทางสว่างในเื่นี้” เ้าวั่งซูเอ่ย
เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้ากอปรแขนถูหลันและเม่เซี๊ยะที่คุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขึ้นอย่างอ่อนโยน
“พวกข้าสองคนขออภัยที่ล่วงเกินท่านสองคนก่อนหน้านี้” เม่งเซี๊ยะและถูหลันกล่าวพร้อมโค้งคำนับ เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟารับการคารวะอีกรอบ
“เอาหล่ะ พวกข้าจะกลับไปที่สำนักเพื่อไปแจ้งให้ท่านเลี่ยงเฟิงทราบและพาเค้ามาที่นี่” เ้าวั่งซูกล่าว
“แต่! แต่! พวกข้า” ถูหลันเอ่ยลังเล
“พวกท่านอย่าได้กังวลไป ข้าว่าเค้าต้องดีใจยิ่งนักที่รู้ว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ และ คอยเฝ้าดู อยู่เป็เพื่อนกับเค้ามาตลอดทั้งชีวิต พวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งเค้า แต่พวกท่ารักเค้าทุกขณะจิต” ฮวาเฟยฟาเสริม
“ขอบคุณองค์ชาย พวกข้าจะรอข่าวดีจากพวกท่านอยู่ตรงนี้” กล่าวเสร็จ ถูหลันก็บรรเลงกู่เจิงบังคับจิตเรียกให้ประติมากรรมบนฝาผนังเ่าั้ขยับและคลายตัวขึ้น้าขยายทางที่เข้ามาให้กว้าง ถูหลันหยิบทรายขนแกะทองคำร่ายมนตร์ และ โปรยไปแหวกทางเหล่าจิตภูติฟื้นคืนสติรวมตัวระยิบระยับเปล่งแสงนำทาง ฮวาเฟยฟาและเ้าวั่งซูให้กลับออกเส้นทางเดิมที่เดินเข้ามา
เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเหาะตามแสงจิตภูติมาจนถึงปากทางเข้า และ หันมาพยักหน้าลากลุ่มจิตภูติ ก่อนที่เหล่ากิ่งไม้ใบหญ้าเถาวัลย์จะปิดปากถ้ำลง เหลือเพียงความมืดมิดและวังเวงในป่า เ้าวั่งซูและและเฟยฟาเหาะต่อด้วยความเร็วทะลุออกจากป่ามาสู่หลังสำนัก และมุ่งตรงสู่เรือนที่พักหลี่เหลี่ยงเฟิ่ง
“ก็อกๆๆ!”
“ผู้ใดหน่ะ มายามค่ำคืน” หลี่เหลี่ยงเฟิ่งเอ่ยถามผู้มาเยือนยามวิกาล
“ข้าฮวาเฟยฟา เ้าวั่งซู ขออภัยที่มารบกวนยามวิกาล อยากจะรบกวนเวลาผู้าุโเพื่อแจ้งเื่สำคัญ” เ้าวั่งซูเอ่ย
ประตูบานใหญ่ผลักออก เปิดให้เห็นด้านในบ้านพักของหลี่เหลี่ยงเฟิง รอบๆ บรรยากาสเต็มไปด้วยไอหมอกและฟองสบู่ เหล่าจิตภูติเหมือนที่เราพบในถ้ำนั่นเต็มไปหมด ้าเพดานเปิดโล่งเป็รูปม่านเมฆ และ สีรุ้งเปล่งประกายระยิบระยับ ที่นี่คือสถานที่ในฝันที่แท้จริง
เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟามองบริเวณรอบไม่วางตา ชิงหลงที่ขดตัวเล็กเกาะบนบ่าฮวาเฟยฟาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลิ่งกวางกระโจนออกจากแขนเสื้อวั่งซูวิ่งเข้าหายไปในม่านหมอก พร้อมกับการปรากฏกายขึ้นของหลี่เหลี่ยงเฟิง ขี่ปุยเมฆพร้อมเหล่าจิตภูติเกาะอยู่ตามตัวและบ่า ใบหน้าคมมีดเมตตาเปล่งสว่างลอยมาหยุดตรงหน้า เค้ายังดูไม่แก่เลยกลับดูหนุ่มมากเหมือนรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ท่านฮวาเฟยฟา บุตรชายแห่งัที่ยิ่งใหญ่ และท่านเ้าผู้เลื่องชื่อ ฮ่าๆๆๆ! ข้ารู้สึกเป็เกียรติที่ได้พบพวกท่าน” หลี่เหลี่ยงเฟิงเอ่ยพร้อมหัวเราะร่าเสียงดัง
“เ้าวั่งซูรู้สึกทะแม่งๆ กับคำทักทาย ทำไมคนหนึ่งดูตำแหน่งยิ่งใหญ่พร้อมคำสรรเสริญ ส่วนตำแหน่งข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะนำมาเลย เห้อ! เป็อย่างนี้อยู่ร่ำไปสิหน่า” เ้าวั่งซูคิดในใจ
ฮวาเฟยฟาหันมอง อมยิ้มแบบรู้ทัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้