ท้ายที่สุดสตรีแซ่จางก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไรอีกไม่นานก็จะถึงฤดูการเกษตร ครอบครัวอื่นๆในหมู่บ้านได้เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแล้วปีก่อนครอบครัวใหญ่และครอบครัวรองเป็คนทำนาในนาดีของสกุลอวี๋ แต่เพราะยามนี้ผู้เฒ่าอวี๋ไม่รับปากว่าจะใช้เงินส่วนกลางส่งอวี๋จือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอภายในใจของสตรีแซ่จางจึงแค้นเคืองอ้างว่าคนครอบครัวใหญ่ของพวกนางล้วนแต่ไม่สบายและไม่อาจทำนาได้
อวี๋หรูไห่ลอบขุ่นเคืองในใจแต่กลับไร้หนทางทำได้เพียงสั่งให้คนครอบครัวรองและครอบครัวสามไปเกี่ยวข้าว
แต่เดิมคนครอบครัวสามก็ไม่ใช่คนทำงานเกี่ยวข้าวยังไม่ถึงสองมัดก็ร้องว่าปวดเอวปวดขาไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนคันนาเสียแล้ว
สตรีแซ่ซ่งใช้ผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าและไม่กล้าตำหนิสตรีแซ่จ้าวสองสามีภรรยาทำเพียงค้อมเอวทำงานพลางส่งเสียงหอบอู้อี้อยู่ในลำคอ
อวี๋ฝูหลิงทำนาจนชินมาั้แ่ยังเด็กท่าทางเกี่ยวข้าวดูคล่องแคล่วและทำงานว่องไวยิ่งนักทางด้านอวี๋เจียวไม่เคยเกี่ยวข้าวมาก่อน นางกำเคียวลอกเลียนแบบท่าทางของสตรีแซ่ซ่งรวบกอข้าวหนึ่งกำมือแล้วลงมือเกี่ยวข้าว
เคียวเกี่ยวข้าวในมือของสตรีแซ่ซ่งแหลมคมทว่าเมื่ออวี๋เจียวใช้กลับดูทื่อเป็พิเศษ อวี๋ฝูหลิงเกี่ยวข้าวไปเป็วงกว้างแล้วทว่าอวี๋เจียวกลับเกี่ยวข้าวได้แค่มัดเล็กๆ เท่านั้น
อวี๋ฮั่นซานผู้เอนกายอยู่บนคันนาคว้ากาน้ำขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วส่งให้สตรีแซ่จ้าวสตรีแซ่จ้าวดื่มอย่างสดชื่น ร้องะโไปทางอวี๋เจียวที่อยู่ในท้องนาว่า“เมิ่งอวี๋เจียว เ้ามั่วโอ้เอ้อะไรอยู่? คิดจะแอบอู้รึ? รีบเกี่ยวเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นเย็นนี้ไม่มีข้าวให้เ้ากิน!”
อวี๋เจียวปรายตามองนางครู่หนึ่ง มือยังคงกำเคียวเกี่ยวข้าวต่อไป กระทั่งมีดผ่าตัดยังเอามาควงเล่นได้นางไม่เชื่อว่าเคียวเกี่ยวข้าวนี้จะยากเกินความสามารถของนาง
ครั้นอวี๋ฝูหลิงเห็นนางรั้งท้ายมากเพียงนี้จึงวกกลับไปอยู่ข้างกายอวี๋เจียวสาธิตให้อวี๋เจียวดูพลางเกี่ยวข้าวอย่างคล่องแคล่ว “เคียวเกี่ยวข้าวใช้เช่นนี้ดึงตามแรงมาทางด้านหลังก็ได้แล้ว”
อวี๋เจียวทำตามที่นางบอก ผลคือเกี่ยวได้ง่ายขึ้นไม่น้อย
อวี๋ฝูหลิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ“เมื่อก่อนตอนอยู่ในจวนเ้าไม่เคยเกี่ยวข้าวเลยหรือ?”
อวี๋เจียวส่ายหน้า “สกุลข้าไม่มีที่นาตอนท่านพ่อยังอยู่เคยเช่าที่นาสองไร่ เขาล้วนแต่ทำทุกอย่างคนเดียว”
ตอนเมิ่งชิงอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่เขารักใคร่เอ็นดูอวี๋เจียวอย่างยิ่ง น้อยครั้งนักจะให้นางทำงานหยาบในบ้านฉะนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทำนา นางไม่เคยได้แตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว
หลังจากเมิ่งชิงอวิ๋นจากไป หลิ่วซานเหนียงจ่ายเงินค่าเช่าที่นาไม่ไหวดังนั้นจึงคืนที่นาสองไร่ในจวนไปตั้งนานแล้ว
อวี๋ฝูหลิงทอดถอนหายใจ มิน่ามือของเมิ่งอวี๋เจียวถึงเนียนนุ่มกระทั่งตุ่มก็ยังไม่มี คาดว่าเมื่อครั้งยังเป็คุณหนูในจวนคงจะสุขสบายอย่างมาก
สตรีแซ่จ้าวและอวี๋ฮั่นซานพักผ่อนอยู่บนคันนาเป็เวลาครู่ใหญ่กว่าจะลงมาในท้องนาอีกครั้งทำงานอย่างชักช้าลีลาอยู่พักหนึ่งก็บอกว่าถึงเวลาควรกินข้าวเที่ยงแล้วคนทั้งสองจึงมุ่งหน้ากลับจวนไป
ครั้นสตรีแซ่ซ่งเดินมาหยิบกาน้ำบนคันนาเพราะอยากดื่มน้ำถึงได้พบว่าในกาน้ำเหลือน้ำเพียงอึกเดียวเท่านั้นนางเม้มริมฝีปากด้วยความกระหายน้ำ แต่ก็ยื่นกาน้ำไปให้อวี๋เจียว “แม่หนูเมิ่งเ้าดื่มน้ำสักหน่อยเถิด”
อวี๋เจียวส่ายหน้า ถึงแม้นางจะไม่ได้มีนิสัยรักสะอาดจนเกินไปแต่เพราะก่อนหน้านี้สตรีแซ่จ้าวและอวี๋ฮั่นซานต่างใช้ปากดื่มน้ำจากกาน้ำนี้โดยตรงภายในใจของนางรู้สึกรังเกียจ
เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้าของอวี๋เจียวอีกทั้งแผ่นหลังของอวี๋ฝูหลิงยังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ใบหน้าเล็กของทั้งสองแดงก่ำสตรีแซ่ซ่งเอ่ยด้วยความปวดใจว่า “พวกเ้าสองคนก็กลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดรอกระทั่งกินข้าวเที่ยงเสร็จค่อยตามอาสามของพวกเ้ามาอีกครั้ง”
อวี๋ฝูหลิงเอ่ย “ท่านแม่ ข้าไม่เหนื่อยข้าจะไปเกี่ยวข้าวกับท่านอีกสักประเดี๋ยว”
“รีบกลับไปเถิด กลับไปช่วยอาสะใภ้สามของเ้าทำกับข้าวยามกลับมาตอนบ่ายให้เอาน้ำมาด้วยสองกา” สตรีแซ่ซ่งเอ่ยเร่งเร้าทั้งรอยยิ้ม
เมื่อคิดว่าหลายปีมานี้สตรีแซ่จ้าวทำกับข้าวน้อยครั้งนักอีกทั้งป้าสะใภ้ใหญ่ยังบอกว่าไม่สบายอวี๋ฝูหลิงกับอวี๋เจียวจึงได้แต่กลับไปก่อนเสียแล้ว
หลังจากคนทั้งสองกลับไปสตรีแซ่ซ่งทอดมองท้องนาผืนใหญ่แห่งนี้ด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มยามนี้บุรุษในเรือนของนางไม่อาจทำงาน นางจะต้องทำงานให้มากขึ้นสักหน่อยสตรีแซ่ซ่งไม่กล้าพัก นางหยิบเคียวขึ้นมาแล้วค้อมเอวทำงานต่อไป
