วงล้อขนาดใหญ่ทำให้เกิดม่านหมอกแห่งแสงและเส้นโค้งอันลึกลับราวกับันาคาเริงระบำอย่างน่าสะพรึงกลัว
หนิงเทียนกวาดตามองรอบกายก่อนจะพบว่าประตูมิติหกในเก้าแห่งล้วนปิดลง ทั้งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าประตูทั้งหกนั้นจะนำไปสู่ที่ใด นอกจากนี้ยังหมายความว่ายามนี้กุญแจหกดอกหายไปแล้ว และอีกสามดอกที่เหลือก็อยู่ในหมู่คนห้าคนเท่านั้น
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนมีคัมภีร์หลิงฮวงลอยอยู่เหนือศีรษะ ส่วนซูอวิ๋นและชิวซานอวิ๋นก็มีภาพพันทิวเขาเหมันต์ มีเพียงสตรีชุดม่วงผู้สวมผ้าคลุมหน้าเท่านั้นที่มองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ และตัวตนของนางก็ยังคงเป็ปริศนา
ชิวซานอวิ๋นเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิว ช่างบังเอิญเสียจริง”
หนิงเทียนเพิกเฉยต่อเขาแล้วมุ่งความสนใจไปที่เถาวัลย์หัวผีพันิญญาและสตรีชุดดำ
ไม่มีใครสามารถระบุที่มาของสตรีชุดดำได้อย่างถูกต้อง นางออกมาจากโลงศพไม้สีดำซึ่งเป็ส่วนหนึ่งของโลงศพลายเพลิง เห็นได้ชัดว่าถูกกักขังไว้ที่นั่น อีกทั้งนางยังดูชั่วร้ายและแปลกประหลาด ซึ่งให้ความรู้สึกเป็ลางไม่ดีแก่ผู้คน ทว่านางกลับแข็งแกร่งมากจนไม่มีผู้ใดกล้ากล้ำกราย และทุกคนต่างสนใจเพียงการเคลื่อนไหวของนางเท่านั้น
ทัศนคติของหนิงเทียนต่อสตรีชุดดำนั้นแตกต่างจากคนอื่น เขามีความหวาดกลัวน้อยกว่าและอยากรู้อยากเห็นมากกว่า เพราะก่อนหน้านี้นางเคยช่วยเหลือเขา
สตรีชุดดำเดินเข้ามาตรงกลางวงล้อแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่ใบหน้างดงามของนางจะเผยให้เห็นความโศกเศร้า
อารมณ์นี้ช่างแปลกประหลาดและคนอื่นไม่สามารถสังเกตเห็น ทว่าไม่อาจซ่อนเร้นจากทักษะม่านตาคู่ของหนิงเทียนไปได้
ราวกับััได้ถึงการจ้องมอง สตรีชุดดำจึงหันกลับมาหาเขาทันที “ตำราบนหัวของเ้าน่าสนใจยิ่งนัก ข้าอยากอ่านมัน”
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจของหนิงเทียนเริ่มตึงเครียด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้าตกลง
สตรีชุดดำแย้มยิ้มอย่างงดงามดุจหมู่ผกานับร้อยเบ่งบาน นางยื่นมือหยกออกมาช้าๆ จากนั้นคัมภีร์หลิงฮวงก็ปรากฏบนมือของนางในพริบตา
“หนึ่งแสนปีแห่งความรกร้างทางจิติญญา วังดาราต่อสู้กับไท่เสวียน ที่แท้ก็เป็เช่นนี้” สตรีชุดดำเปิดอ่านเพียงหน้าแรก หลังจากเห็นข้อความเ่าั้ นางก็ปิดคัมภีร์หลิงฮวงและมองหนิงเทียนอีกครั้ง
ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับหนิงเทียน ขณะนี้ดูเหมือนว่าเขาถูกจ้องมองอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ไม่อยากจะเชื่อเลย...”
คัมภีร์หลิงฮวงลอยกลับไปอยู่เหนือศีรษะของหนิงเทียน พร้อมแสงแห่งจิติญญาที่ส่องลงมา
สตรีชุดดำเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดเบาๆ “ผ่านไปกี่ปีแล้วนะ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นแสงสว่างของวันอีกครั้ง ลำบากเ้าแล้วหนิงเทียน แล้วเราจะได้พบกันอีก”
นางเหลือบมองหนิงเทียนอย่างมีความหมายแฝง จากนั้นก็ปล่อยพลังขึ้นฟ้า แสงสีม่วงดำทะลุผ่านชั้นเวหา ฉีกผืนนภาออกจากกัน และเผยให้เห็นทะเลดวงดาว
วงล้อสั่นะเือย่างรุนแรง ลวดลายจิติญญานับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้น ทว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวกลับรวมตัวกันบนอัสนีสีม่วงราวกับมีกระจกเว้าช่วยรวมแสง พร้อมฉีกเปิดอุโมงค์มิติและพุ่งตรงสู่ดาวเคราะห์ที่อยู่ลึกลงไปในทะเลดวงดาว
วงล้อส่งเสียงประหลาด ห้วงมิติผันผวน เศษเสี้ยวของมิติจำนวนนับไม่ถ้วนถูกควบแน่นผสานกันเป็ภาพมิติที่วุ่นวาย ซึ่งแสดงทัศนียภาพที่แปลกตา
ร่างของสตรีชุดดำเปล่งประกายแล้วพลิกกลับหัวทิ้งเส้นผมลงมา ลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวกำลังส่องสว่างในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังอัสนี
คลื่นกระแทกอันทรงพลังแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ทำให้ร่างของหนิงเทียน ซิ่งอวี่เจวียน ซูอวิ๋น ชิวซานอวิ๋น สตรีชุดม่วง และคนอื่นๆ สั่นไหวอย่างรุนแรงจนเข่าแทบทรุด
เศษเสี้ยวของฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวปรากฏอยู่ข้างกายสตรีชุดดำ ราวกับดวงดาวบนท้องนภากำลังหมุนรอบตัวนาง
สีหน้าของสตรีชุดดำมีความซับซ้อน ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามที่ทำให้ทะเลดาวสั่นะเื
“ข้ากลับมาแล้ว!”
ผมสีม่วงปลิวไสวราวกับสายฟ้า ทั้งยังปล่อยแสงแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวราวกับสามารถทำลายล้างโลกาออกมา
นางเหลือบมองหนิงเทียนอีกครั้งก่อนออกเดินทาง “เมื่อพบกันคราวหน้า ข้าหวังว่าเราจะสามารถสร้างความรุ่งโรจน์อย่างที่ไท่เสวียนต่อกรกับวังดาราขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง”
สีหน้าของหนิงเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วโพล่งออกมาว่า “ท่านเคยได้ยินเื่ของไท่เสวียนหรือ?”
สตรีชุดดำลอยขึ้นไปกลางอากาศ ทำให้ห้วงมิติเวลาโดยรอบเกิดการผันผวน ทว่าเสียงของนางยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหนิงเทียน
“ข้ามีนามว่าเส่าชู มาจากหลิงฮวง”
ท่าทางของหนิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ที่แท้สตรีชุดดำผู้ถูกกักขังอยู่ในโลงศพลายเพลิงก็เป็ผู้ที่เดินทางมาจากหลิงฮวง
ใครกันที่ขังนางไว้ในที่แห่งนี้? แล้วเหตุใดกลิ่นอายปีศาจของนางถึงน่ากลัวเพียงนี้? อีกทั้งยามที่นางจากไป นางสั่นะเืทะเลดวงดาวได้อย่างไรกัน?
ซูอวิ๋นและชิวซานอวิ๋นล้วนมีสีหน้ามืดมน พวกเขาไม่คาดคิดว่าสตรีชุดดำจะมองหนิงเทียนในมุมที่ต่างออกไป สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองแทบคลั่งด้วยความโกรธ และจิตอาฆาตที่มีต่อหนิงเทียนก็พุ่งสูงกว่าเก่า
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาทะยานขึ้นฟ้า มันพยายามตามสตรีชุดดำออกจากห้วงมิติไปด้วย แต่กลับถูกสายฟ้าฟาดจนกิ่งก้านของมันไหม้เกรียมและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
หนิงเทียนมองมันแล้วหัวเราะเยาะ “ถึงเวลาชำระบัญชีเก่าระหว่างเราแล้ว”
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาตวาด “หากไม่มีข้า พวกเ้าจะมายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อใบเถาแผ่ขยายออกมา ศีรษะมนุษย์แต่ละหัวก็ส่งเสียงโหยหวนอย่างน่าสยดสยองยิ่งกว่าเก่า
ดวงตาของหนิงเทียนเคลื่อนไหวไปมา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินบางสิ่งแปลกๆ ในคำพูดของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา “ที่นี่มีอะไร?”
เถาวัลย์หัวผีพันิญญายิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “นี่คือวงล้อมิติลี้ลับ ประตูมิติทั้งเก้าแห่งเชื่อมต่อกับ์ สามารถะโจากที่แห่งนี้เข้าสู่ทะเลดวงดาวแล้วไปยังอาณาจักรจิติญญาได้”
หนิงเทียนถามต่ออีกว่า “อาณาจักรจิติญญากับหลิงฮวงเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
“ทำไมข้าต้องบอกเ้า?”
“ถ้าเ้าไม่บอก ข้าก็จะทำลายเ้า” หนิงเทียนบอกให้ซิ่งอวี่เจวียนถอยออกไป แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าหาเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
“คิดจะทำลายข้าหรือ? เกรงว่าเ้าจะยังไม่สามารถนะ”
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาเป็อสูริญญาระดับสาม ซึ่งเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญขอบเขตผนึกดาราขั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็สิ่งที่มาจากนอกโลก ความแข็งแกร่งของมันไม่อาจใช้ศิษย์หยวนซิวขั้นเก้ามาเทียบได้
ศีรษะบนเถาวัลย์เพ่งสายตามาด้วยความโกรธเคือง ดวงตาที่ดุร้ายของพวกมันเผยให้เห็นพลังล่อลวง ซึ่งจ้องมองหนิงเทียนจากหลายๆ มุม
ซูอวิ๋นรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง เหตุใดหนิงเทียนจึงจ้องเถาวัลย์หัวผีพันิญญาเช่นนี้ นี่ไม่ใช่การหาเื่หรือ?
มีเพียงซิ่งอวี่เจวียนเท่านั้นที่ทราบถึงความขุ่นเคืองระหว่างหนิงเทียนและเถาวัลย์หัวผีพันิญญา ขณะที่ชิวซานอวิ๋นและสตรีชุดม่วงต่างก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ทว่าเถาวัลย์หัวผีพันิญญานั้นน่ากลัวมาก ศิษย์หลายคนจากสำนักต่างๆ ล้วนจบชีวิตด้วยน้ำมือของมัน
หนิงเทียนหมุนเวียนยุทธศาสตร์ครอง์ หญ้าต้นน้อย บงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว และเถาวัลย์เขียวข้างกายต่างแผ่แนวป้องกัน ส่วนลำธารวงแหวนควบคู่กับเปลวเพลิงก็อยู่ในสภาวะพร้อมสู้
หนิงเทียนเปิดใช้ทักษะม่านตาคู่ ม่านตาเพลิงผสานพลังกับม่านตาสุวรรณช่วยให้เขาสามารถมองเห็นกระแสพลังในร่างของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาได้อย่างชัดเจน
สภาพในยามนี้ของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาไม่แข็งแกร่งเหมือนก่อน มันมีเพียงร้อยหัวเท่านั้น และดวงตาทุกคู่ก็จ้องมองหนิงเทียนโดยให้ความสนใจกับลำธารวงแหวนและเปลวเพลิงข้างกายของเขา
“เ้าหนู เ้าอยากสู้จนตัวตายจริงหรือ?”
หนิงเทียนเยาะเย้ยและพูดว่า “นี่คือชะตากรรมระหว่างเรา เราถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้!”
เสียงสุดท้ายยังไม่ทันจางหาย หนิงเทียนก็ดีดตัวขึ้นมาแล้ว เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า มือซ้ายสะบัดอย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่หมุนวนในอากาศ หมัดขวาของเขาหนักเท่ากับูเา และแสงสีทองก็เปล่งประกายบนเรือนร่าง
“คิดว่าข้าจะกลัวเ้าหรือ?” เถาวัลย์หัวผีนับพันคำรามด้วยความโกรธ ปลายเถาวัลย์เปรียบเสมือนหอกแหลมซึ่งมีศีรษะมนุษย์พุ่งออกมา ก่อนจะโอบล้อมร่างของหนิงเทียนและเริ่มกัดกินเนื้อหนัง
หนิงเทียนใช้ทักษะสัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าว บงกชสีมรกตข้างกายเคลื่อนไหวด้วยเก้ากระบวนท่า หญ้าต้นน้อยปลดปล่อยปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว ต้นไม้แห้งเหี่ยวสร้างเกราะป้องกัน ขณะที่เถาวัลย์เขียวก็พุ่งโจมตี พร้อมด้วยพลังของลำธารวงแหวนและเปลวเพลิงจากเนตรเพลิง วังวนพลังทั้งหกกลืนกินกลิ่นอายแห่งฟ้าดิน ทั้งยังไม่สนใจหัวมนุษย์ของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
เถาวัลย์พยายามทิ่มแทงลำคอของหนิงเทียน ทว่าถูกหยุดไว้ด้วยมือซ้ายของเขา เมื่อทั้งสองฝ่ายกระทบกันก็เกิดเสียงคล้ายทองและเหล็กกระแทกใส่กัน และเกิดประกายไฟส่องสว่างไปทั่ว
หัวมนุษย์จำนวนมากกำลังรุมกัดกินหนิงเทียน ทว่ากายาสุวรรณะนิรันดร์ของเขาแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า หัวเ่าั้จึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย
ดวงตาของหนิงเทียนสว่างไสวดุจคบเพลิงที่ส่องประกายด้วยแสงสีแดงทอง
สภาพแวดล้อมของวงล้อก็ช่างแปลกประหลาด ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด ดังนั้น ทั้งหนิงเทียนและเถาวัลย์หัวผีพันิญญาจึงไม่สามารถทำให้วัตถุอื่นกลายเป็กองกำลังของตนได้ และทำได้เพียงพึ่งพาความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างหนักเท่านั้น
ใน่แรกหนิงเทียนมุ่งความสนใจไปที่การกันของกระแสสายธาร และ้าทดสอบสถานการณ์หลังจากที่เถาวัลย์หัวผีพันิญญาก้าวเข้าสู่ระดับสาม
เถาวัลย์หลายสิบเส้นพันเกี่ยวกันและกลายเป็หอกเถาวัลย์ ความรุนแรงนี้ทำให้หนิงเทียนต้องล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า และลวดลายสีทองสี่ในห้าชั้นบนิัของเขาก็เริ่มเกิดรอยร้าว
“ออกไป!” หนิงเทียนคำรามด้วยความโกรธแล้วปล่อยหมัดขวา ทะลวงพันชั้นรวมเข้ากับวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นใน่ที่เกิดการกระแทกกลายเป็ปราณกระบี่อันวิจิตร ซึ่งเจาะทะลวงเข้าไปในเถาวัลย์แล้วะเิออกเป็เสี่ยงๆ
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด หัวมนุษย์หลายร้อยหัวร้องโอดครวญพร้อมกันจนเกิดคลื่นเสียงราวคลื่นในทะเล ส่งผลให้หนิงเทียนไม่ต่างจากคนจมน้ำ
ทันใดนั้นแส้เถาวัลย์ัในเส้นลมปราณที่สี่ของหนิงเทียนก็ตื่นขึ้นพร้อมลอยอยู่เหนือศีรษะ กิ่งก้านทั้งเก้ากลายเป็ภาพมายาของอาวุธิญญาเก้าชิ้น ก่อนจะฉีกเสียงสั่นไหวของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาออกจากกัน
“เงาิญญาไร้เทียมทาน!” เถาวัลย์หมุนวนราวหอกนับพันที่เสียบแทงจากทุกทิศและไม่มีทางที่จะหลบหนี
“ทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั!” ดวงตาของหนิงเทียนเปลี่ยนเป็สีแดงอย่างกะทันหัน ม่านตาเพลิงมองเห็นข้อบกพร่องในการเคลื่อนไหวของศัตรู มือของเขาออกกระบวนท่านับพัน และพลังิญญาในฝ่ามือก็กลายเป็กระบี่พุ่งไปทางเถาวัลย์ทีละเส้น
เสียงปะทะกึกก้องไปทุกทิศทุกทาง เถาวัลย์ของหนิงเทียนและเถาวัลย์หัวผีพันิญญาปะทะกันจนทั้งสองฝ่ายต่างก็กระเด็นออกไป เสื้อผ้าของหนิงเทียนฉีกขาด ขณะที่เถาวัลย์หัวผีพันิญญาก็หักลง
“ดรรชนีดุจกระบี่!” หนิงเทียนใช้วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นรวมกับกระแสสายธาร เมื่อรวมแหล่งกำเนิดของชีวิตเข้ากับปราณกระบี่ก็ก่อให้เกิดการโจมตีขั้นเด็ดขาด
เถาวัลย์หัวผีพันิญญารู้สึกถึงอันตรายจึงคำรามอย่างไม่ยินยอม “วิชาร่างแยกเถาวัลย์ผี!”
ทันใดนั้นเถาวัลย์ก็แบ่งออกเป็หลายร้อยร่างราวกับผีนับร้อยที่ย่างกรายออกมาในรัตติกาล พวกมันล้อมรอบหนิงเทียนแล้วเริ่มการโจมตีอีกครั้ง
“ชีวิตไร้สายธาร!” หนิงเทียนเปลี่ยนกระบวนท่าโดยใช้บงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว เถาวัลย์เขียว และเปลวเพลิงเป็เกราะป้องกัน หญ้าต้นน้อยผสานเข้ากับลำธารวงแหวนเป็ปราณกระบี่ซ่อนเร้นในสายน้ำ ซึ่งเป็ทักษะที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง
เถาวัลย์สีดำรวมตัวกันแล้วแยกย้าย เสียงกรีดร้องอันแหลมคมมาพร้อมกับคำสาปอันชั่วร้ายด้วยความหวังที่จะฉีกร่างหนิงเทียนเป็ชิ้นๆ
“วิถีแห่งธรรมชาติ เ้าเชี่ยวชาญวิถีแห่งเต๋าอย่างแท้จริง!”
หนิงเทียนพึมพำ “เ้าก็ไม่เลวเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เ้าไม่สามารถเรียนรู้วิถีธรรมชาติของสือจงเป่าได้”
“เ้าหนู เ้าจงอย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าเ้าจะสามารถปราบข้าได้เพียงเพราะเ้าได้รับมรดกจากสุ่ยหลิง เ้าคอยดูเถอะ!”
สิ้นคำข่มขวัญ เถาวัลย์หัวผีพันิญญาก็หดตัวลงและกลายเป็เถาวัลย์สีดำสูงสามจั้ง โดยเถาวัลย์แต่ละเส้นราวกับหนวดที่กลายเป็อสูรหลายมือ
ใบเถาวัลย์ปลิวว่อนเหมือนมีดคม ทั้งยังเน่าเปื่อยและมอดไหม้ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคำสาปที่ค่อนข้างอันตราย
ร่างของหนิงเทียนโอบล้อมด้วยเมฆสีทอง กายาสุวรรณะนิรันดร์ระดับห้าทำงานจนถึงขีดสุด เขาออกหมัดซ้ายและกระบี่ขวา ดวงตาเฉียบคมราวสายฟ้าแลบ ก่อนจะเริ่มการต่อสู้นองเืกับเถาวัลย์หัวผีพันิญญาอีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ ขอบเขตของเถาวัลย์หัวผีพันิญญานั้นสูงกว่าหนิงเทียน แต่แหล่งกำเนิดชีวิตก็ช่วยให้เขาเอาชนะมันได้ และหลังจากเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก การใช้ทักษะดวงเนตรในการต่อสู้ก็มีผลอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งโดยรวม และสามารถกล่าวได้ว่าเป็การปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่
ยามนี้ราวกับหนิงเทียนได้เกิดใหม่ คำสอนของสุ่ยหลิงทำให้เขาได้ัักับวิถีแห่งธรรมชาติ อีกทั้งยังปรับปรุงยุทธศาสตร์ครอง์ให้ดำเนินไปได้อย่างถูกที่ถูกทาง
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาแข็งแกร่งมาก อีกทั้งทักษะจากโลกอื่นยังแตกต่างจากทักษะของดินแดนหยวนซิง มันมีการเคลื่อนไหวมากมายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีหลายอย่างที่หนิงเทียนไม่เคยเห็นมาก่อน
ทว่าหนิงเทียนก็ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เขาใช้ม่านตาเพลิงและม่านตาสุวรรณสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา รวมทั้งใช้การอนุมานของเลขเก้าหลักเพื่อเรียนรู้วิชาต่างๆ อย่างลับๆ
