มู่จื่อหลิงมองผู้คุมที่ใจนสติกระเจิดกระเจิงบนพื้นกลุ่มนั้นด้วยความสับสนงงงวย แล้วยังมีสิงกู้เหวินที่ทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยความสิ้นหวัง
พูดอย่างไรคนพวกนี้ก็เป็ผู้ที่ทำงานในคุกหลวง ควรจะลงทัณฑ์ทรมานนักโทษให้รับสารภาพมาไม่น้อย และควรจะเห็นความเป็ตายที่โชกเืน่าสยดสยองจนเคยชินแล้ว เหตุใดคนตายไปสองคนก็ใกลัวจนกลายสภาพเป็เช่นนี้เล่า
แม้วิธีตายของสองคนนี้จะค่อนข้างพิสดารจนตั้งรับไม่ทัน แต่ไม่น่าใจนถึงขั้นนี้
แต่ละคนเหมือนิญญาหลุดจากร่างอย่างไรอย่างนั้น เหตุใดจึงตกอกใเสียยิ่งกว่านางเล่า
เพียงแต่ เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่
เตาหมังเตาปาตายได้อย่างไรกัน?
ย้อนเวลากลับไปชั่วขณะที่เตาหมังเตาปาลงมือ
ในขณะที่เตาหมังเตาปาจู่โจมอย่างรุนแรงและรวดเร็วเสียจนมิทันตั้งตัวด้วยการปาเข็มไปยังหัวเข่ามู่จื่อหลิง
ในขณะที่มู่จื่อหลิงหลับตาทั้งสองข้างแน่นรอให้เข็มทะลุหัวเข่าของนาง
ในขณะที่คนทั้งหมดสูดลมหายใจเย็นเยียบและยังมิทันได้ปล่อยลมหายใจออกมา
นอกประตูห้องสอบสวนก็มีคนผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นั้แ่เมื่อใด
บุรุษที่เ็าดั่งน้ำแข็ง หล่อเหลาเกินธรรมดาสามัญ
เขายื่นมือออกมาในเวลานั้น ต่อมาเส้นดายสีทองที่เรียวแหลมราวกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ มัดเข็มหนาสองเล่มให้หยุดอยู่ห่างจากหัวเข่าของมู่จื่อหลิงที่ห่างไปเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตา ด้ายสีทองก็ข่มขวัญด้วยการแผ่บรรยากาศอันตรายที่แข็งแกร่ง พลิกเข็มหน้าที่ถูกมัดไว้อย่างแ่ากลับไปทางเตาหมังเตาปา
ในขณะที่ทุกคนยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เข็มหนาก็แทงทะลุหน้าผากของเตาหมังเตาปา จากนั้นตรึงพวกเขาไว้กับกำแพงแ่า
ตามมาด้วยเสียงดาบขนาดใหญ่ในมือเตาหมังเตาปาและเข็มที่ยังเหลืออยู่ตกลงพื้น
ต่อมาคนทั้งหมดจึงหันไปมองสองคนที่ตายตาไม่หลับบนกำแพง และสิงกู้เหวินที่ไถลลงจากเก้าอี้ไท่ซื่อมานั่งลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
และคนในที่เกิดเหตุทั้งหมดยังมิทันได้มองว่าเส้นด้ายสีทองเกิดขึ้นได้อย่างไร หายไปได้อย่างไร เข็มหมุนกลับไปพุ่งใส่เตาหมังเตาปาได้อย่างไร
เพราะเวลาที่เส้นด้ายสีทองปรากฏขึ้นและหายไปนั้นไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ...
เวลานี้ สิ่งที่คนทั้งหมดหวาดกลัวมิใช่การตายของเตาหมังเตาปา แต่เป็ผู้ที่อยู่นอกห้องสอบสวนผู้นั้นต่างหาก
บุรุษที่เ็าหยิ่งทระนงและสูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้!
คนทั้งหมดเพียงเหลือบมองผู้ที่อยู่นอกประตูแวบหนึ่ง แล้วคุกเข่าหมอบลงกับพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นระริกโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเพิ่มอีก
มู่จื่อหลิงถูกพฤติกรรมแปลกประหลาดของพวกเขาทำให้สงสัยยิ่งนัก คนพวกนี้เป็อันใดไป? เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงออกมา?
เพียงครู่เดียวก็คุกเข่าหมอบบนพื้นแน่นิ่งจนเกือบจะขุดหลุมฝังศีรษะเข้าไป
ต่อให้พวกเขาคิดว่านางฆ่าสองคนนั้น ต่อให้ตอนนี้เกรงกลัวนาง ก็ไม่จำเป็ต้องทำความเคารพนางยิ่งใหญ่เช่นนี้นี่!
แต่มู่จื่อหลิงก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างผิดปกติ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ และคนที่คนพวกนี้คุกเข่าให้เหมือนจะมิใช่นาง!
ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังจะอ้าปากอีกครั้ง
“คารวะฉีอ๋อง ขอให้ฉีอ๋องอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี...” คนทั้งหมดร้องทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
เสียงทำความเคารพของคนทั้งหมด ในชั่วพริบตาก็ดุจดั่งระลอกคลื่นที่ไหลทะลักเข้าสู่สมองของมู่จื่อหลิงชั้นแล้วชั้นเล่า
อะ...อะไรนะ? ฉีอ๋อง?
มู่จื่อหลิงหยุดหายใจโดยพลันอย่างมิอยากจะเชื่อ ชะงักงันไปสามวินาทีถึงค่อยๆหันกาย
ยามนี้เองหลงเซี่ยวอวี่ก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา กุ่ยเม่ยติดตามอยู่ข้างหลังเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
อาภรณ์สีมืดเข้มทั้งกายของหลงเซี่ยวอวี่ขับเน้นให้ร่างสูงของเขาดูสูงใหญ่ชัดเจนยิ่งขึ้น หากมองอย่างละเอียดก็จะมองออกว่าเขาอิดโรยไปทั้งกายราวเพิ่งกลับมาจากสถานที่ห่างไกล
แต่ว่าก็มิได้บดบังบุคลิกทรงเสน่ห์อันโดดเด่น ทุกท่วงท่าเคลื่อนไหวยังคงแผ่กลิ่นอายทรงอำนาจอันเข้มข้นออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ ทำให้ผู้อื่นมิกล้าเข้าใกล้ง่ายๆ เย่อหยิ่งและยโสโอหัง
มู่จื่อหลิงแอบหยิกตัวเองเงียบๆ เจ็บ ไม่ใช่นางกำลังฝัน คนตรงหน้าเป็หลงเซี่ยวอวี่จริงๆ
เมื่อครู่หลงเซี่ยวอวี่สกัดเข็มสองเล่มนั้นที่พุ่งมาที่หัวเข่าของนางไว้ใช่หรือไม่?
ถ้าเป็เช่นนี้จริง วรยุทธ์ของคนผู้นี้คงล้ำลึกจนยากหยั่งรู้ว่าเป็ขั้นใด แม้แต่เข็มที่รวดเร็วเพียงนั้นก็ยังสกัดเอาไว้ได้
ยามนี้มู่จื่อหลิงแทบทนรอหยิกตัวเองเงียบๆ ไม่ไหว อะไรกัน ฉีอ๋องที่มีโรครักสะอาดขั้นรุนแรงเนี่ยนะจะมาคุกหลวง ตีนางให้ตาย นางก็ยังไม่เชื่อเลย
ตอนนี้นางทั้งไม่ถูกทุบตี ทั้งยังไม่ตายอีกด้วย ฉีอ๋องมาแล้วจริงๆ และยืนอยู่ตรงหน้านางตัวเป็ๆ แล้ว
เห็นได้ชัดว่าหลงเซี่ยวอวี่มาที่คุกหลวงทำให้นางตกตะลึงเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ที่เย่จื่อมู่ที่นางเคยพบแค่หนึ่งครั้งมาหา
มู่จื่อหลิงคร่ำครวญกับตัวเองเล็กน้อย แต่ก็ยังได้สติกลับมาทันที ทำความเคารพหลงเซี่ยวอวี่ “คารวะท่านอ๋อง”
หลงเซี่ยวอวี่ชำเลืองมองนางอย่างเรียบเฉย เสียงเย็นๆ ดังขึ้น “มิต้องมากพิธี”
เขากวาดสายตามองคนทั้งหมดที่ยังคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นอย่างเย็นเยียบ ั์ตามืดมิดดั่งน้ำหมึกและลึกล้ำไร้จุดสิ้นสุดคู่นั้น ในยามนี้ทำให้คนมองขวัญหนีดีฝ่อนัก หนาวเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย
“เปิ่นหวางได้ยินว่าคดีความขององค์ชายห้ามอบให้สามตุลาการร่วมกันไต่สวน ตอนนี้ศาลต้าหลี่สืบอะไรได้แล้วบ้าง?” หลงเซี่ยวอวี่พูดเหมือนไม่ใส่ใจ สีหน้ากลับแผ่รัศมีของผู้เป็อ๋องแม้จะปราศจากโทสะก็ตาม
“ทูล...ทูลท่านอ๋อง ยัง...ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” สิงกู้เหวินอ้าปากอย่างสั่นเทา
“ในเมื่อยังมิได้สืบหาออกมา เ้ามัวแต่ทำอันใดอยู่?” น้ำเสียงของหลงเซี่ยวอวี่เฉยเมยระคนเ็า
ทันทีที่คำพูดเย็นเยียบนี้หลุดออกมา คนทั้งหมดก็ยิ่งก้มศีรษะให้ต่ำกว่าเดิมจนใบหน้าแทบจะแนบติดกับพื้น เนื้อตัวสั่นระริกรุนแรงกว่าเดิม ไม่กล้าส่งเสียง
ผู้คุมกลุ่มนั้นคิดจนท้องฟ้าทะลุก็คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะมาที่คุกหลวง แล้วยังมาเพราะคดีขององค์ชายห้าด้วย
แต่จะมาเพราะองค์ชายห้า หรือมาเพราะฉีหวางเฟยกันแน่?
มู่จื่อหลิงคร่ำครวญกับตนเอง หมอนี่ไปที่ใดก็ล้วนเปล่งประกายที่นั่นจริงๆ ต่อให้เป็คุกหลวงที่มืดครึ้มหนาวเหน็บ ในยามนี้ก็ดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่งเพราะการมีอยู่ของเขา
ช่างเป็คนที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วก็โมโหเองจริงๆ! เหตุใดฐานะจึงได้แตกต่างกันมากมายเพียงนั้น
ทันทีที่พระพุทธรูปเช่นหลงเซี่ยวอวี่มา พวกผู้คุมที่ประจบประแจงสิงกู้เหวิน อาศัยบารมีผู้อื่นข่มนางเมื่อครู่นี้ ครู่เดียวก็เหี่ยวเฉาเสียแล้ว บัดนี้แม้แต่ศีรษะก็ไม่กล้าเงยขึ้นมา
สิงกู้เหวินก็เป็เช่นกัน วินาทีก่อนหน้ายังคุยโวโอ้อวดกับนางอย่างกำเริบเสิบสาน วินาทีหลังเห็นหลงเซี่ยวอวี่ก็หมอบอยู่บนพื้นเหมือนสุนัข แม้แต่ผายลมยังไม่กล้า
“พูด!” พริบตาเดียวความอดทนของหลงเซี่ยวอวี่ก็หมดลง สายตาเฉียบขาดพุ่งไปยังสิงกู้เหวิน
น้ำเสียงเย็นเยียบนี้ ความเฉียบขาดนี้ ทำให้คนทั้งหมดสั่นสะท้าน!
แม้สิงกู้เหวินจะก้มศีรษะต่ำ แต่ยังคงสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาเฉียบขาดอันเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่พุ่งมา เขาอ้าปากอย่างสั่นเทา “ทูล...ทูลท่านอ๋อง ขุนนางต่ำต้อยมาสอบถามนักโทษเกี่ยวกับเื่บางอย่างในคดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นสอบสวนได้ความอันใด?” หลงเซี่ยวอวี่ถามอย่างเฉยเมย ยามนี้ใครก็เดาความหมายในคำพูดของเขาไม่ออก
“ยัง...ยังมิได้สอบสวนออกมาพ่ะย่ะค่ะ!” สิงกู้เหวินยังตอบอย่างสั่นเทา
หลงเซี่ยวอวี่เหลือบมองหนังสือรับสารภาพบนพื้นแล้วดึงสายตากลับมาภายในชั่ววินาที ราวกับมิได้มองเห็นสิ่งใด
“ในเมื่อยังมิได้สอบสวนออกมา เช่นนั้นก็สอบสวนต่อไป เปิ่นหวางเองอยากดูนักว่าศาลต้าหลี่สอบสวนนักโทษอย่างไร” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยปากอย่างเฉยชา
และบัดนี้เองกุ่ยเม่ยก็ย้ายเก้าอี้ไท่ซื่อที่ไม่ทราบว่าไปย้ายมาจากที่ใดเข้ามาหนึ่งตัว หรูหรามีราคาเสียยิ่งกว่าตัวที่สิงกู้เหวินนั่ง เขาวางไว้ด้านหลังหลงเซี่ยวอวี่อย่างเงียบเชียบ
หลงเซี่ยวอวี่เหมือนมีดวงตางอกออกมาด้านหลัง มองก็ล้วนไม่มอง นั่งลงอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม ทุกการเคลื่อนไหวนั้นเสมือนาาที่ทอดมองไปยังใต้หล้า เพียงแค่เห็นก็ทำให้คนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง
มู่จื่อหลิงตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก โรครักความสะอาดของหมอนี่สาหัสจริงๆ ด้วย แม้แต่เก้าอี้ที่สิงกู้เหวินนั่งแล้วก็ไม่ยอมนั่ง และเก้าอี้ที่นั่งยังต้องหรูหราสง่างามถึงเพียงนั้น
แต่ตอนนี้หมอนี่ต้องก่อเื่แบบใดกัน?
วันนี้ยอมลดเกียรติมาคุกหลวงเพราะมาช่วยนางใช่หรือไม่? แต่เหตุใดยามนี้ต้องให้สิงกู้เหวินสอบปากคำนางเล่า?
ถ้าหมอนี่ฆ่าเตาหมังเตาปา เช่นนี้เขาย่อมรู้ว่าเมื่อครู่สิงกู้เหวินมิได้กำลังสอบสวนนาง แต่้าทำให้นางยอมรับผิดโดยตรง
เหตุใดยามนี้เขายังมีอารมณ์สุนทรีย์อยากดูสิงกู้เหวินสอบสวนคดีเล่า นี่ไม่เหมือนฉีอ๋องเสียเลย
สิงกู้เหวินถูกหลงเซี่ยวอวี่ทำให้สับสนงงงวยเช่นกัน วันนี้ฉีอ๋องมาคุกหลวงเพื่อดูเขาสอบสวนคดี หรือมาเพราะเหตุผลอื่น?
และเมื่อครู่นี้เตาหมังเตาปาก็ตายด้วยน้ำมือของฉีอ๋อง ตอนนี้ฉีอ๋องมาพูดเช่นนี้ หมายความว่าอันใดกันแน่?
หลงเซี่ยวอวี่เห็นสิงกู้เหวินไม่ขยับเขยื้อน ก็ถามอย่างเย็นเยียบ “ทำไม เพราะเปิ่นหวางอยู่ เ้าจึงไม่กล้าสอบสวนต่อแล้ว?
เช่นนั้น้าให้เปิ่นหวางออกไป ให้เ้าสอบสวนต่อหรือไม่?”
แม้เปลือกนอกที่หลงเซี่ยวอวี่พูดจะเป็คำพูดเกรงใจ แต่กลับไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ในคำพูดนั้นกดดันผู้อื่น ไร้ซึ่งความ้าเคลื่อนไหว
“ข้า...ข้าน้อยมิกล้า” สิงกู้เหวินตื่นตระหนกไม่เป็สุข ไขมันทั่วทั้งกายกำลังสั่นไหว
ฉีอ๋องยิ่งพูดเช่นนี้เขาก็ยิ่งหวาดกลัว สอบสวน? เขาจะสอบสวนอย่างไร วันนี้เป้าหมายของเขาคือทำให้มู่จื่อหลิงยอมรับผิด และมิได้มาเพื่อสอบปากคำ
“ไม่กล้าหรือ? เ้าไม่กล้าทำให้นักโทษคุกเข่า? หรือไม่กล้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับนักโทษ?” แม้น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่จะราบเรียบไร้คลื่นลม สงบเยือกเย็น แต่กลับทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวจนตัวสั่นเป็ลูกนก
บัดนี้ผู้คุมทั้งหมดเข้าใจแล้วฉีอ๋องมาด้วยเหตุผลใด
ความหมายวาจานี้ของฉีอ๋องมิใช่เพียงถามสิงกู้เหวินว่ามิกล้าให้ฉีหวางเฟยคุกเข่าแก่เขา หรือมิกล้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับฉีหวางเฟย!
ยามนี้คำพูดของฉีอ๋องคือการยอมรับโดยปริยายว่ามู่จื่อหลิงยังเป็หวางเฟย ผู้ใดกล้าให้นางคุกเข่า ผู้ใดกล้าใช้ทัณฑ์ทรมานนาง
และเมื่อครู่นี้สิงกู้เหวินก็ขวัญกล้าเทียมฟ้า กล้าให้ฉีหวางเฟยคุกเข่าแด่เขา กล้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับหวางเฟย
ยามนี้พวกเขาเสียใจแล้วที่ฟังคำพูดของสิงกู้เหวิน จองหองพองขนใส่ฉีหวางเฟย และพวกเขาก็รู้แล้วว่าผู้ที่เพิ่งหยุดยั้งไม่ให้เตาหมังเตาปาใช้ทัณฑ์ทรมานกับฉีหวางเฟยก็คือฉีอ๋อง
ดูท่าแล้วฉีอ๋องต้องรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทั้งหมดเป็แน่ หากฉีอ๋องกล่าวโทษลงมา ต่อให้พวกเขามีศีรษะมากมายก็ไม่พอให้หลุดออกจากบ่า!
ได้ยินคำพูดของฉีอ๋อง สิงกู้เหวินก็ยิ่งตื่นตระหนก เหตุใดเขาจึงนึกไม่ถึงว่าวันนี้ฉีอ๋องจะมาเพราะหวางเฟย
ยามนี้ฉีอ๋องถามเช่นนี้ชัดเจนว่ากำลังซักถามเขา เหตุใดเมื่อครู่จึงขวัญกล้าเทียมฟ้าให้ฉีหวางเฟยคุกเข่าแด่เขา และยังกล้าลงทัณฑ์หวางเฟย
“ท่าน...ท่านอ๋อง ข้าน้อยมาสอบปากคำนักโทษตามรับสั่งของฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” สิงกู้เหวินยังหมอบอยู่บนพื้นนิ่ง ไม่กล้าขยับแม้แต่ครึ่งส่วน
ตอนนี้เขาไร้ซึ่งหนทาง เมื่อเทียบกับฮองเฮา เขาหวาดกลัวฉีอ๋องผู้เ็าและกระหายเืผู้นี้มากกว่า เพียงแต่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้ฉีอ๋องจะมาด้วยตนเองเพราะเื่ของมู่จื่อหลิง
บัดนี้เขาเหยียบตะปูเข้าให้แล้ว ผู้ใดจะไปคิดว่าฉีอ๋องที่เ็าไร้ความรู้สึกจะมาคุกหลวงเพราะสตรีผู้หนึ่ง!
สิงกู้เหวินตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทุกคนรู้ดีว่า ที่ฉีอ๋อง้าจริงๆ ก็คือคำตอบนี้!
ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็รู้ว่าเหตุใดหลงเซี่ยวอวี่ต้องพูดไร้สาระกับสิงกู้เหวินมากมาย ที่แท้เดินแผนไปทีละขั้นทำให้สิงกู้เหวินสำรอกออกมาเอง
เพียงแต่เมื่อได้ยินคำนี้ของสิงกู้เหวินนางก็รู้สึกขบขันโดยไม่รู้ตัว!