บทที่ 5 แยกตระกูล
นางนั้นทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามีของตัวเองนั้นไม่เป็ความจริง ไป๋หรงเฉินของนาง ชายผู้ซื่อสัตย์เสียสละและหยิ่งทรนงเช่นเขาเป็ไปไม่ได้ที่จะคิดก่อกบฎ แต่อย่างที่ทราบในวังวนการเมือง โอกาสพลาดพลั้งเพียงเสี้ยวลมหายใจก็อาจหมายถึงชีวิต โชคยังดีที่ป้ายทองพระราชทานเว้นโทษตายคุ้มครองตระกูล รอดพ้นจากคมดาบสังหารหมู่ ทว่า... โทษเนรเทศก็หนักหนาสาหัส กว่าสามสิบชีวิตต้องระเหเร่ร่อนสู่ชายแดนอันทุรกันดาร เคราะห์กรรมครั้งนี้ไม่มีใครปรารถนา ญาติพี่น้องที่เคยรักใคร่ก็เริ่มระแวงแคลงใจ ความยากลำบากมักเผยธาตุแท้ในจิตใจคน...
ความมืดมิดแห่งราตรีกาลเข้าปกคลุม ลมหนาวชายแดนพัดกระโชกแรง ซ้ำเติมความอ้างว้างในหัวใจของตระกูลไป๋ เปลวไฟกองเล็กๆ เต้นระริก ทอดเงาตะคุ่มของเหล่าผู้คนที่นั่งล้อมรอบ ใบหน้าแต่ละคนซูบผอม แววตาหม่นแสง ความทุกข์ยากจากการถูกเนรเทศ กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ
ไป๋หรงเฉินนั่งเงียบๆ ข้างกายคือฮูหยินที่ยังคงอ่อนแรง ลูกสาวตัวน้อยนอนหลับใหลในอ้อมแขน ภาพครอบครัวที่เคยอบอุ่นในเมืองหลวง เลือนรางราวความฝัน บัดนี้เหลือเพียงความเหน็บหนาว ความไม่แน่นอน และความเงียบงันที่น่าอึดอัด
ความยากลำบากแผ่ซ่านราวกับโรคระบาดกัดกร่อนสายสัมพันธ์ในตระกูลจากที่เคยแน่นแฟ้นกลับเริ่มปริแตกรอยร้าวเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้ง น้องรองและน้องสามของไป๋หรงเฉิน นั่งอยู่มุมหนึ่งของกองไฟ สีหน้าถมึงทึง แววตาฉายแววขุ่นเคือง ั้แ่ก้าวแรกที่ถูกเนรเทศ ความไม่พอใจก็ก่อตัวในใจ พวกตนไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ทั้งครอบครัวลูกเมียของพวกเขากลับต้องซวยซ้ำพลอยถูกลงโทษไปด้วย ความโกรธแค้นทั้งหมดจึงพุ่งตรงไปยังไป๋หรงเฉิน ผู้เป็ต้นเหตุแห่งเคราะห์กรรม
“ให้ตายเถอะ…” ไป๋จ้านพึมพำเสียงลอดไรฟัน
“ซวยจริงๆ ที่ต้องมาเจอเื่แบบนี้”
ไป๋เจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย
“ใครจะคิดว่าท่านเสนาบดีไป๋ผู้ยิ่งใหญ่ จะกลายเป็ฏไปได้” ในน้ำเสียงแฝงความเยาะเย้ย
“แล้วดูพวกเราสิ” ไป๋จ้านบ่นต่อ “ต้องระหกระเหิน ตกระกำลำบาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าสงสารฮูหยินกับลูกๆ ของข้าเหลือเกิน พวกเขาไม่เคยลำบากเช่นนี้มากก่อน”
“ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาน้ำหน้าญาติพี่น้อง ป่านนี้ข้าคงหนีไปตั้งตัวที่อื่นแล้ว” ไป๋เจิ้งเสริม “ไม่ต้องมาทนลำบากแบบนี้”
ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจสองพี่น้องคือ ความลับที่ญาติฝ่ายภรรยาแอบหยิบยื่นเงินทองให้ก่อนถูกเนรเทศ คนละ1000ตำลึง เงินก้อนโตที่พวกเขากะจะใช้ตั้งตัวในดินแดนใหม่ แต่ภาระค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางนั้นมากพวกเขาไม่้าที่จะใช้จ่ายเงินก้อนนี้ออกไป ความไม่พอใจจึงยิ่งทวีคูณ พวกเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้แบกภาระของทั้งตระกูล ทั้งที่เงินนั้นควรเป็ของพวกเขาแต่เพียงผู้เดียว
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” ไป๋จ้านเริ่มบ่นเสียงดังขึ้น “ทำไมเราต้องมาลำบากเลี้ยงดูคนพวกนี้ด้วย เงินของเรา… เราควรเก็บไว้ใช้เอง”
“ใช่” ไป๋เจิ้งเห็นด้วย “เงิน1000ตำลึง ไม่ใช่น้อยๆ เราควรเอาไปสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่ใช่เอามาละลายทิ้งกลางทางแบบนี้”
“ั้แ่เริ่มเดินทางมา พวกเราควักกระเป๋าจ่ายตลอด” ไป๋จ้านโอดครวญ “ทั้งอาหาร ยา ของใช้จิปาถะ เงินเราแทบหมดไปกับคนพวกนี้”
“แล้วดูพวกเขาสิ” ไป๋เจิ้งชี้ไปทางครอบครัวไป๋หรงเฉิน
“มีแต่คนอ่อนแอ ป่วยกระเสาะกระแสะ คอยแต่จะแบมือขอความช่วยเหลือ”
“ยิ่งคิดยิ่งโมโห” ไป๋จ้านกำมือแน่น “พวกเราไม่น่ามาซวยด้วยกันแบบนี้เลย”
“ใช่” ไป๋เจิ้งย้ำ “เป็เสนาดีๆ ไม่ชอบดันไปคิดกบฎ คิดได้อย่างไร..เฮ้อ ข้าโมโหจริงๆ ทำให้พวกเขาเดือนร้อนไปด้วยทั้งๆ ที่พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดหรือคิดกบฎเหมือนไป๋หรงเฉินเลย” ตอนนี้แม้แต่คำว่าพี่ใหญ่พวกเขาก็ไม่อยากจะเรียกแล้ว
บทสนทนาของสองพี่น้องดังลอดลมหนาว ทิ่มแทงหัวใจของผู้ที่ได้ยิน ไป๋หรงอี้ พี่น้องชายผู้ภักดีต่อพี่ชายใหญ่ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาได้ยินทุกคำ ทุกความเห็นแก่ตัวที่ญาติผู้น้องระบายออกมา
“พวกท่านกำลังพูดอะไรกัน?”
ไป๋หรงอี้ถามเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ ไม่ไกลกันนั้นครอบครัวของไป๋เจี้ยนซึ่งเป็อาของไป๋หรงที่อาศัยอยู่ในตระกูลเดียวกันนั้นครอบครัวของเขาที่มีคนอยู่ 5 คนก็โดนไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าไป๋เจี๋ยนนั้นยอมรับชะตากรรมนี้แล้ว เขาก็มองไปที่สองพี่น้องที่ว่าร้ายพี่ชายตัวเองด้วยความไม่พอใจเช่นกัน อย่างที่บอกในตอนที่ไป๋หรงเฉินอยู่ในอำนาจนั้น ทุกคนต่างก็สุขสบาย แม้แต่ครอบครัวของเขาที่เป็อา ไป๋หรงเฉินก็ดูแลทุกคนอย่างดีจริงๆ แต่ แต่มาตอนนี้ไป๋หรงเฉินตกต่ำเขาที่เคยได้รับบุญคุณนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแต่โทษโชคชะตาที่ไม่ดีเท่านั้นเอง และก่อนที่จะถูกเนรเทศมานั้นครอบครัวภรรยาของเขาก็แอบยัดเงินใส่มือมาให้เขาด้วยเหมือนกัน 500 ตำลึงแต่เพราะเดินทางมานานเงินพวกเขาก็เกือบจะหมดแล้วเช่นกัน
“ใช่พวกเ้าเป็พี่น้องกัน พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร” ไป๋เจี๋ยนเอ่ยตำหนิขึ้นมา
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งชะงัก หันมามองหน้าไป๋หรงอี้และไป๋เจี๋ยนด้วยสายตาไม่พอใจ
“แล้วพวกเ้ามายุ่งอะไรด้วย?” ไป๋จ้านถามเสียงกระด้าง เขานั้นไม่เคยนับถือไป๋เจี๋ยนอยู่แล้ว เขาจะพูดอะไรแล้วผิดตรงไหน เ้าไป๋เจี๋ยนยุ่งอะไรด้วย
“ข้ายุ่ง?” ไป๋หรงอี้หัวเราะเยาะ “พวกท่านกำลังพูดถึงพี่ใหญ่ของพวกเ้าไม่ดี ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็คนตระกูลเดียวกัน?”
“ก็แค่พูดความจริง” ไป๋เจิ้งเถียง “พวกเราแค่บ่นถึงความลำบาก มันผิดตรงไหน?”
“ความลำบาก?” ไป๋หรงอี้ทวนคำ “สิ่งที่พวกท่านพูด มันไม่ใช่แค่บ่นถึงความลำบาก แต่มันคือความเห็นแก่ตัว ความอกตัญญู!”
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งหน้าแดงก่ำ โกรธจัดที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้
“อกตัญญู?” ไป๋จ้านตวาด “เ้ากล้าว่าพวกเราอกตัญญูรึ?”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า?” ไป๋หรงอี้ตอบโต้ “พี่รองพี่สามพวกท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าใครเป็ผู้มีพระคุณต่อตระกูลไป๋ ใครที่ทำให้พวกท่านมีหน้ามีตา มีกินมีใช้สุขสบาย สามารถแต่งภรรยาที่มีฐานะ มาจนถึงทุกวันนี้?”
“มันก็แค่…” ไป๋เจิ้งพยายามเถียง
“อย่าปฏิเสธเลย” ไป๋หรงอี้ขัดขึ้น “พวกท่านรู้ดีแก่ใจ ว่าพี่ใหญ่เคยช่วยเหลือพวกท่านไว้มากแค่ไหน ตอนที่ตระกูลรุ่งเรือง พวกท่านอาศัยบารมีพี่ใหญ่ กอบโกยผลประโยชน์ จนร่ำรวยแต่พอถึงคราวลำบากกลับหันมาโทษพี่ใหญ่ คิดแต่จะเอาตัวรอด นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าญาติพี่น้อง?”
“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย!” ไป๋จ้านเถียงเสียงดัง
“พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วย ทำไมต้องเอาเงินของเรามาเลี้ยงคนอื่น!”
“เงิน?” ไป๋หรงอี้แค่นเสียง “พวกท่านเห็นแก่เงินทองมากกว่าน้ำใจ มากกว่าความเป็ญาติพี่น้อง ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ก็เงินมันสำคัญ!” ไป๋เจิ้งโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “ถ้าไม่มีเงิน เราจะเอาอะไรกินเอาอะไรใช้ในดินแดนกันดารแบบนี้?”
“เงินสำคัญ ข้าไม่เถียง” ไป๋หรงอี้ตอบ
“แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงิน คือจิตใจ คือความกตัญญู คือความเป็มนุษย์! พวกท่านลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้วหรืออย่างไร?” เขานั้นทราบดีว่าพี่ใหญ่นั้นสนับสนุนพี่รองและพี่สามมากขนาดไหน จนทำให้พวกเขากลายเป็คุณชายที่มีแต่คน้าที่จะแต่งเข้าตระกูล
บรรยากาศรอบกองไฟตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ญาติคนอื่นๆ ที่ได้ยินบทสนทนา ต่างพากันเงียบ บางคนเห็นด้วยกับไป๋หรงอี้ บางคนก็เห็นใจไป๋จ้านและไป๋เจิ้ง ความขัดแย้งภายในตระกูล ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
ไป๋หรงเฉินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหากลุ่มที่กำลังโต้เถียง ใบหน้าเขาเศร้าหมอง แววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“พอเถอะหรงอี้ อาไป๋เจี๋ยน” ไป๋หรงเฉินห้ามพี่น้องชายคนเล็กและอาของเขา “อย่าทะเลาะกันเลย”
“แต่ท่านพี่…” ไป๋หรงอี้ยังไม่ยอม
“ข้าได้ยินหมดแล้ว” ไป๋หรงเฉินพูดเสียงแ่ แต่หนักแน่น “สิ่งที่พวกเ้าพูด ข้าเข้าใจ”
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งมองหน้าไป๋หรงเฉินอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดเช่นนี้
“พวกเ้าโกรธพวกเ้าไม่พอใจข้าไม่ว่า”
ไป๋หรงเฉินกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าหลายคนโทษข้าว่าเป็ต้นเหตุของเื่ทั้งหมด”
“ก็ท่านนั่นแหละ…” ไป๋จ้านพึมพำ
“ใช่ ข้าอาจจะเป็ต้นเหตุ” ไป๋หรงเฉินยอมรับอย่างง่ายดาย “แต่ข้าก็ไม่เคยตั้งใจให้เื่มันเป็แบบนี้”
“แล้วตอนนี้จะทำยังไง?” ไป๋เจิ้งถาม “จะให้พวกเราทนลำบากแบบนี้ต่อไปรึ?”
“ข้ามีข้อเสนอ” ไป๋หรงเฉินพูด
“เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด เพื่อไม่ให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไป… เราแยกตระกูลกันเถิด”
คำประกาศิตของไป๋หรงเฉิน ดังกระหึ่มท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนถึงกับตะลึงงัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะตัดสินใจเช่นนี้
“แยกตระกูล?” ไป๋จ้านทวนคำ “หมายความว่า… ต่างคนต่างไป?”
“ใช่” ไป๋หรงเฉินยืนยัน “พวกเ้ามีเงินคนละ1000ตำลึง ข้าจะไม่แตะต้อง พวกเ้าจะเอาไปใช้จ่ายอย่างไรก็ตามใจ ส่วนข้าและครอบครัว… เราจะหาทางเอาตัวรอดเอง”
“แล้วคนที่เหลือล่ะ?” ไป๋หรงอี้ถามด้วยความกังวลเพราะอย่างที่บอกคนมากถึง 30 คนที่เดินทางด้วยกัน เขาไม่อยากจะใช้จ่ายกับพวกที่ไม่ใช่ครอบครัวของเขา
“ใครที่อยากตามข้ามา ข้าก็ไม่ห้าม” ไป๋หรงเฉินตอบ “แต่ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรจากใครอีก เราจะต่างคนต่างพึ่งพาตนเอง ไม่ต้องมีเื่เงินทองมาเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด การแยกตระกูล… ทางเลือกที่ไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยถึง บัดนี้กลับถูกนำเสนอขึ้นมาอย่างจริงจัง
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งมองหน้ากัน แววตาเป็ประกาย ข้อเสนอของไป๋หรงเฉินเหมือนเป็ทางออกที่พวกเขารอคอย
“ก็ดีเหมือนกัน” ไป๋จ้านพูดขึ้น “ข้าจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับพวกฏ” เขาย้ำคำว่า ‘ฏ’ อย่างจงใจ
“ใช่” ไป๋เจิ้งเห็นด้วย “แยกกันไป เราจะได้ใช้เงินของเราอย่างอิสระ ไม่ต้องแบ่งให้ใคร”
“เงิน1000ตำลึง น่าจะพอให้พวกเรารอด” ไป๋จ้านคำนวณในใจ “อย่างน้อยก็ตั้งตัวได้ หรือหาที่ปลอดภัยกว่านี้”
ในขณะที่ฝั่งไป๋จ้านและไป๋เจิ้ง เห็นดีเห็นงามกับการแยกตระกูล ญาติคนอื่นๆ กลับลังเล ใจหนึ่งก็กังวลเื่ปากท้อง หากแยกจากไป๋จ้านและพวกพ้อง จะเอาเงินที่ไหนมาประทังชีวิต อีกใจก็ยังคงภักดีต่อไป๋หรงเฉิน และรู้สึกผิดหวังกับความเห็นแก่ตัวของญาติผู้น้อง
“แล้วพวกเราล่ะ?” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น “ถ้าไม่ไปกับพวกนั้น เราจะทำยังไง?”
“อาจจะต้องร่วมทางกับท่านไป๋หรงเฉิน…” ญาติคนหนึ่งเสนอ “อย่างน้อยไป๋หรงเฉินก็เคยมีเส้นสาย อาจจะพอช่วยเราได้บ้าง”
“แต่เราจะไม่มีเงินเลยนะ” อีกคนแย้ง “จะเอาอะไรกินตลอดทาง?”
ไป๋หรงอี้มองหน้าพี่ชายใหญ่ด้วยความห่วงใย “ท่านพี่ ท่านแน่ใจแล้วหรือ? ที่จะแยกตระกูลกันจริงๆ?”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ไป๋หรงเฉินตอบเสียงหนักแน่น “ข้าไม่อยากให้พวกเราต้องแตกแยกกันเอง เพราะเื่เงินทอง เราเหลือกันแค่นี้ ถ้ายังจะมาห้ำหั่นกันเอง ก็คงไม่มีหวังรอด”
“แต่…” ไป๋หรงอี้ยังคงกังวล
“ไม่ต้องห่วง” ไป๋หรงเฉินตบบ่าพี่ชายรองเบาๆ “ใครที่ยังเชื่อมั่นในตัวข้า ก็ให้ตามข้ามา ส่วนใครที่อยากไปกับพวกนั้น ก็สุดแล้วแต่ใจ”
“ข้าจะอยู่กับท่านพี่” ไป๋หรงอี้ตอบอย่างหนักแน่น “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“ข้าด้วย!” ไป๋เจี๋ยนเอ่ยต่อและเสียงญาติคนอื่นๆ ขานรับตามมา “ข้าจะตามไป๋หรงเฉิน” “ข้าก็อยู่กับท่าน”
ในที่สุด การตัดสินใจก็เป็ที่แน่ชัด ตระกูลไป๋แตกออกเป็สองฝ่าย ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งนั้นรับไปเพียงแค่ครอบครัวของพวกเขาที่มีด้วยกันครอบครัวละ 4 คน ส่วนคนที่เหลือนั้นยอมติดตามไป๋หรงเฉินเช่นเดิน เมื่อตกลงกันได้ไป๋เจิ้งและไป๋จ้างนั้น้าที่จะให้แยกกันชัดเจนพวกเขาก็เดินไปหาหัวหน้าผู้ดูแลจางเจิง และให้เขาช่วยเขียนเอกสารการแยกตระกูลของตระกูลไป๋ พวกเขาไม่อยากจะให้คนที่เหลือกลับมาวุ่นวายกับพวกเขาอีก เช่นนั้นก็ทำให้มันชัดเจนไปเลย..
****
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้