บทที่ 5 แยกตระกูล
นางนั้นทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามีของตัวเองนั้นไม่เป็ความจริง ไป๋หรงเฉินของนาง ชายผู้ซื่อสัตย์เสียสละและหยิ่งทรนงเช่นเขาเป็ไปไม่ได้ที่จะคิดก่อฏ แต่อย่างที่ทราบในวังวนการเมือง โอกาสพลาดพลั้งเพียงเสี้ยวลมหายใจก็อาจหมายถึงชีวิต โชคยังดีที่ป้ายทองพระราชทานเว้นโทษตายคุ้มครองตระกูล รอดพ้นจากคมดาบสังหารหมู่
ทว่า... โทษเนรเทศก็หนักหนาสาหัส กว่าสามสิบชีวิตต้องระเหเร่ร่อนสู่ชายแดนอันทุรกันดาร เคราะห์กรรมครั้งนี้ไม่มีใครปรารถนา ญาติพี่น้องที่เคยรักใคร่ก็เริ่มระแวงแคลงใจ ความยากลำบากมักเผยธาตุแท้ในจิตใจคน...
ความมืดมิดแห่งราตรีกาลเข้าปกคลุม ลมหนาวชายแดนพัดกระโชกแรง ซ้ำเติมความอ้างว้างในหัวใจของตระกูลไป๋ เปลวไฟกองเล็ก ๆ เต้นระริก ทอดเงาตะคุ่มของเหล่าผู้คนที่นั่งล้อมรอบ ใบหน้าแต่ละคนซูบผอม แววตาหม่นแสง ความทุกข์ยากจากการถูกเนรเทศ กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ
ไป๋หรงเฉินนั่งเงียบ ๆ ข้างกายคือฮูหยินที่ยังคงอ่อนแรง ลูกสาวตัวน้อยนอนหลับใหลในอ้อมแขน ภาพครอบครัวที่เคยอบอุ่นในเมืองหลวง เลือนรางราวความฝัน บัดนี้เหลือเพียงความเหน็บหนาว ความไม่แน่นอน และความเงียบงันที่น่าอึดอัด
ความยากลำบากแผ่ซ่านราวกับโรคระบาด กัดกร่อนสายสัมพันธ์ในตระกูลจากที่เคยแน่นแฟ้นกลับเริ่มปริแตกรอยร้าวเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ไป๋เจิ้ง และ ไป๋จ้าน น้องรองและน้องสามของไป๋หรงเฉิน นั่งอยู่มุมหนึ่งของกองไฟ ห่างออกมาจากกลุ่มใหญ่เล็กน้อย ทั้งสองลอบแบ่งเสบียงอาหารแห้งชิ้นดีให้ลูกเมียตัวเองกินอย่างลับๆ โดยไม่คิดเผื่อแผ่หลานเล็กๆ ที่กำลังหิวโหย สีหน้าของพวกเขาถมึงทึง แววตาฉายแววขุ่นเคือง ั้แ่ก้าวแรกที่ถูกเนรเทศ ความไม่พอใจก็ก่อตัวในใจ
"ให้ตายเถอะ… ข้าล่ะเกลียดกลิ่นคนป่วยพวกนี้จริงๆ" ไป๋จ้านพึมพำเสียงลอดไรฟัน พลางปรายตามองไปทางไป๋อวี้เจียวที่นอนซมอยู่ "ซวยจริงๆ ที่ต้องมาเจอเื่แบบนี้"
ไป๋เจิ้งพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรุนแรง
"ใครจะคิดว่าท่านเสนาบดีไป๋ผู้ยิ่งใหญ่ จะกลายเป็ฏไปได้ คิดได้อย่างไรที่จะทรยศต่อแคว้นตัวเอง " น้ำเสียงของเขาแฝงความเยาะเย้ยและดูแคลนอย่างปิดไม่มิด แม้จะรู้ว่าไม่เป็ความจริงแต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาจะคิดอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็สิ่งที่ไป๋หรงเฉินทำนั้นมันทำให้พวกเขาลำบากไปด้วย
"แล้วดูพวกเราสิ" ไป๋จ้านบ่นต่อ "ต้องระหกระเหิน ตกระกำลำบาก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าสงสารภรรยากับลูก ๆ ของข้าเหลือเกิน พวกเขาผิวพรรณบอบบาง ไม่เคยต้องมาตากลมหนาวหรือกินของชั้นเลวเช่นนี้มาก่อน"
"ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาน้ำหน้าญาติพี่น้อง ข้าอยากจะหนีไปที่อื่นแล้ว" ไป๋เจิ้งเสริม "ไม่ต้องมาทนลำบากแบกภาระพวกตัวถ่วงแบบนี้"
ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจสองพี่น้องคือ ความลับที่ญาติฝ่ายภรรยาแอบหยิบยื่นเงินทองให้ก่อนถูกเนรเทศ คนละ 1,000 ตำลึง เงินก้อนโตที่พวกเขากะจะใช้ตั้งตัวในดินแดนใหม่ แต่ภาระค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางนั้นมาก พวกเขาไม่้าที่จะใช้จ่ายเงินก้อนนี้ออกไป ความไม่พอใจจึงยิ่งทวีคูณ พวกเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้แบกภาระของทั้งตระกูล ทั้งที่เงินนั้นควรเป็ของพวกเขาแต่เพียงผู้เดียว
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” ไป๋จ้านเริ่มบ่นเสียงดังขึ้นจงใจให้ได้ยินไปทั่ว “ทำไมเราต้องมาลำบากเลี้ยงดูคนพวกนี้ด้วย เงินของเรา… เราควรเก็บไว้ใช้เอง ดูสิ! ยานั่นก็แพง อาหารก็เปลือง กับอีแค่เด็กใกล้ตายคนหนึ่ง ทำไมต้องให้ทุกคนมาอดอยากเพื่อยื้อชีวิตนางด้วย!"
คำพูดที่พาดพิงถึงหลานสาวตัวน้อยทำให้บรรยากาศเงียบกริบ แต่ไป๋เจิ้งกลับผสมโรงทันที “ใช่! เงิน 1,000 ตำลึง ไม่ใช่น้อย ๆ เราควรเอาไปตั้งเนื้อสร้างตัวเมื่อไปถึงที่หมาย ไม่ใช่เอามาละลายทิ้งกลางทางแบบนี้ ั้แ่เริ่มเดินทางมา พวกเราควักกระเป๋าจ่ายตลอด ทั้งอาหาร ยา ของใช้จิปาถะ เงินเราแทบหมดไปกับคนพวกนี้"
เขาชี้นิ้วไปทางครอบครัวไป๋หรงเฉินอย่างหยาบคาย “มีแต่คนอ่อนแอ ป่วยกระเสาะกระแสะ คอยแต่จะแบมือขอความช่วยเหลือ ยิ่งคิดยิ่งโมโห พวกเราไม่น่ามาซวยด้วยกันแบบนี้เลย เป็เสนาดี ๆ ไม่ชอบ ดันไปคิดฏ คิดได้อย่างไร..เฮ้อ ข้าโมโหจริง ๆ ทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วยทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดหรือคิดฏเหมือนไป๋หรงเฉินเลย”
ตอนนี้แม้แต่คำว่าพี่ใหญ่พวกเขาก็ไม่อยากจะเรียกแล้ว เรียกขานชื่อห้วนๆ ราวกับเรียกคนแปลกหน้า ไม่ใช่พี่ใหญ่ที่พวกเขาเคยเคารพ
บทสนทนาอันแสนเห็นแก่ตัวของสองพี่น้องดังลอดลมหนาว ทิ่มแทงหัวใจของผู้ที่ได้ยิน ไป๋หรงอี้ น้องชายผู้ภักดีต่อพี่ชายใหญ่ ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “พวกท่านกำลังพูดอะไรกัน? นั่นหลานของพวกท่านนะ! นั่นพี่ชายของพวกท่าน!”
ไป๋หรงอี้ถามเสียงเข้ม ไม่ไกลกันนั้นครอบครัวของ ไป๋เจี๋ยน ซึ่งเป็อาของไป๋หรงเฉินที่อาศัยอยู่ในตระกูลเดียวกันนั้นครอบครัวของเขาที่มีคนอยู่ 5 คนก็โดนไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าไป๋เจี๋ยนนั้นยอมรับชะตากรรมนี้แล้ว เขาก็มองไปที่สองพี่น้องที่ว่าร้ายพี่ชายตัวเองด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
อย่างที่ทราบ ตอนที่ไป๋หรงเฉินอยู่ในอำนาจ ทุกคนต่างก็สุขสบาย แม้แต่ครอบครัวของเขาที่เป็อา ไป๋หรงเฉินก็ดูแลทุกคนอย่างดีจริงๆ แต่มาตอนนี้ไป๋หรงเฉินตกต่ำ เขาที่เคยได้รับบุญคุณจึงสำนึกเสมอ แตกต่างจากสองคนนี้สิ้นเชิง
“ใช่พวกเ้าเป็พี่น้องกัน พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร” ไป๋เจี๋ยนเอ่ยตำหนิขึ้นมา
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งชะงัก หันมามองหน้าไป๋หรงอี้และไป๋เจี๋ยนด้วยสายตาเหยียดหยาม “แล้วพวกเ้ามายุ่งอะไรด้วย?” ไป๋จ้านถามเสียงกระด้าง เขานั้นไม่เคยนับถือไป๋เจี๋ยนอยู่แล้ว “ตัวพวกเ้าเองก็เป็ภาระเหมือนกันนั่นแหละ อย่ามาทำเป็ปากดี!”
“ข้ายุ่ง?” ไป๋เจี๋ยนย้อนถามเสียงสั่น “พวกท่านกำลังพูดถึงพี่ใหญ่ของพวกเ้าไม่ดี ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็คนตระกูลเดียวกัน?”
“ก็แค่พูดความจริง!” ไป๋เจิ้งเถียงข้างๆ คูๆ “พวกเราแค่บ่นถึงความลำบาก มันผิดตรงไหน? หรือเ้าจะเถียงว่าที่เป็แบบนี้ไม่ใช่เพราะความโง่ของไป๋หรงเฉิน!”
“ความลำบาก?” ไป๋หรงอี้ตะคอกกลับ “สิ่งที่พวกท่านพูด มันไม่ใช่แค่บ่นถึงความลำบาก แต่มันคือความเห็นแก่ตัว ความอกตัญญู! จิตใจพวกท่านทำด้วยอะไร!”
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งหน้าแดงก่ำ โกรธจัดที่ถูกด่าแทงใจดำ “อกตัญญู? เ้ากล้าว่าพวกเราอกตัญญูรึ?”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า?” ไป๋หรงอี้สวนกลับทันควัน “พี่รองพี่สาม พวกท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าใครเป็ผู้มีพระคุณต่อตระกูลไป๋! ใครที่ส่งเสริมให้พวกท่านมีหน้ามีตา มีกินมีใช้สุขสบาย สามารถแต่งภรรยาที่มีฐานะร่ำรวยมาจนถึงทุกวันนี้? ยามมีสุขท่านเสพสุขยิ่งกว่าใคร ยามมีทุกข์ท่านกลับจะถีบหัวส่งคนแรก!”
“มันก็แค่… เื่ในอดีต!” ไป๋เจิ้งเถียงเสียงแข็ง “อดีตกินไม่ได้ และอดีตเป็สิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่อาจจะกลับไปแก้ไข!”
“อย่าปฏิเสธเลย” ไป๋หรงอี้ขัดขึ้น “พวกท่านรู้ดีแก่ใจ ว่าพี่ใหญ่เคยช่วยเหลือพวกท่านไว้มากแค่ไหน ตอนที่ตระกูลรุ่งเรือง พวกท่านอาศัยบารมีพี่ใหญ่ กอบโกยผลประโยชน์ จนร่ำรวย แต่พอถึงคราวลำบากกลับหันมาโทษพี่ใหญ่ คิดแต่จะเอาตัวรอด นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าญาติพี่น้อง? นี่มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก!”
“หุบปากนะ! มันไม่เหมือนกันสักหน่อย!” ไป๋จ้านะโลั่น เต้นเร่าๆ ด้วยความโมโห “พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วย ทำไมต้องเอาเงินของเรามาเลี้ยงคนอื่น!”
“เงิน?” ไป๋หรงอี้แค่นเสียงหัวเราะอย่างสมเพช “พวกท่านเห็นแก่เงินทองมากกว่าน้ำใจ มากกว่าสายเื ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ก็เงินมันสำคัญ!” ไป๋เจิ้งโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “ถ้าไม่มีเงิน เราจะเอาอะไรกินเอาอะไรใช้ในดินแดนกันดารแบบนี้? จะให้ข้าเอาเงินไปละลายแม่น้ำเพื่อรักษาคนป่วยที่รอก็วันตายงั้นรึ? ฝันไปเถอะ!”
“เงินสำคัญ ข้าไม่เถียง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงิน คือจิตใจ คือความกตัญญู คือครอบครัว พวกท่านลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้วหรืออย่างไร?” ไป๋หรงอี้มองพี่ชายทั้งสองด้วยสายตาผิดหวังถึงที่สุด
บรรยากาศรอบกองไฟตึงเครียดจนแทบขาดผึง ญาติคนอื่น ๆ ที่ได้ยินบทสนทนา ต่างพากันเงียบกริบ บางคนเบือนหน้าหนีด้วยความละอายแทน
ไป๋หรงเฉินที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขายกมือขึ้นลูบผมของลูกสาวตัวน้อยที่ยังหลับตาอยู่... แววตาของเขาสั่นไหวด้วยความเ็ปลึกๆ ไม่ใช่เพราะลำบากกาย แต่เพราะหัวใจถูกกรีดแทงด้วยคำพูดของน้องๆในไส้ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหากลุ่มที่กำลังโต้เถียง
“พอเถอะหรงอี้ ท่านอาเจี๋ยน” ไป๋หรงเฉินเอ่ยห้าม น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่ยังคงความสง่างาม “อย่าทะเลาะกันเลย มันน่าสมเพชพอแล้ว”
“แต่พี่ใหญ่… พวกเขา…” ไป๋หรงอี้พยายามจะแย้ง
“ข้าได้ยินหมดแล้ว” ไป๋หรงเฉินตัดบท “สิ่งที่พวกเ้าพูด ข้าเข้าใจชัดแจ้ง”
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งมองหน้าไป๋หรงเฉินอย่างระแวง ไม่คิดว่าเขาจะออกมาพูดด้วยตัวเอง
“พวกเ้าโกรธ พวกเ้าไม่พอใจ ข้าไม่ว่า” ไป๋หรงเฉินกล่าวต่อ สายตากวาดมองน้องชายทั้งสองอย่างว่างเปล่า “ข้ารู้ว่าหลายคนโทษข้าว่าเป็ต้นเหตุของเื่ทั้งหมด”
“ก็ท่านนั่นแหละที่เป็ต้นเหตุจริงๆ” ไป๋จ้านพึมพำ เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมรับผิด
“ใช่ ข้าอาจจะเป็ต้นเหตุ” ไป๋หรงเฉินยอมรับอย่างราบเรียบ “แต่ข้าก็ไม่เคยตั้งใจให้เื่มันเป็เช่นนี้ ไม่เคย้าให้พี่น้องต้องมาตกระกำลำบากกับข้าด้วยเลย”
“แล้วตอนนี้จะทำยังไง?” ไป๋เจิ้งถามเสียงแข็ง “จะให้พวกเราทนลำบากแบบนี้ต่อไปรึ? ลูกเมียของข้าผิดอะไรด้วยถึงจะต้องมาลำบากแบบนี้ ท่านคิดดูเองเถอะ ดูสภาพลูกเมียข้าสิ ผอมแห้งจนจะเหลือแต่กระดูกแล้ว!” (ทั้งที่ความจริงลูกเมียของพวกเขายังดูดีกว่าคนอื่นมากนัก)
ไป๋หรงเฉินมองไปที่ครอบครัวของน้องทั้งสอง ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
“ข้ามีข้อเสนอ” เขาเอ่ยช้าๆ ชัดๆ
“เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด เพื่อไม่ให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไป… ในเื่การต้องถูกเนรเทศนั้นข้าไม่อาจจะทำอันใดได้ เพราะเป็บัญชาจากฮ่องเต้ เอาเช่นนี้... ในเมื่อพวกเ้าไม่้าที่จะสิ้นเปลืองกับคนอื่นๆ และรังเกียจที่จะร่วมทางกับข้า เช่นนั้นพวกเ้าก็ดูแลเฉพาะครอบครัวของพวกเ้าเถิด ข้าเสนอให้พวกเรา... แยกตระกูลกัน!!”
คำประกาศิตของไป๋หรงเฉิน ดังกระหึ่มท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนถึงกับตะลึงงัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกล้าตัดขาดเช่นนี้
“แยกตระกูล?” ไป๋จ้านทวนคำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความยินดี “หมายความว่า… ต่างคนต่างอยู่? ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก?”
“ใช่” ไป๋หรงเฉินยืนยัน “พวกเ้ามีเงินคนละ 1,000 ตำลึง ข้าจะไม่แตะต้องแม้แต่แดงเดียว พวกเ้าจะเอาไปใช้จ่ายอย่างไรก็ตามใจ ส่วนข้าและครอบครัว… เราจะหาทางเอาตัวรอดเอง”
“แล้วคนที่เหลือล่ะ?” ไป๋เจิ้งรีบถามดักคอทันที ด้วยความกังวลว่าจะมีตัวหารเพิ่ม เพราะคนมีมากถึง 30 คน เขาไม่อยากจะควักเนื้อเพื่อคนนอก
“ใครที่อยากตามข้ามา ข้าก็ไม่ห้าม” ไป๋หรงเฉินตอบ “แต่ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรจากใครอีก เราจะต่างคนต่างพึ่งพาตนเอง ไม่ต้องมีเื่เงินทองมาเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด การแยกตระกูล… ทางเลือกที่ไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยถึง บัดนี้กลับถูกนำเสนอขึ้นมาอย่างจริงจัง
ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งหันมองหน้ากัน แววตาเป็ประกายวาววับราวกับเห็นทองคำ ข้อเสนอของไป๋หรงเฉินเหมือนเป็์โปรดที่พวกเขารอคอยมาตลอดทาง
“ก็ดีเหมือนกัน!” ไป๋จ้านรีบพูดขึ้น กลัวพี่ใหญ่จะเปลี่ยนใจ “ข้าจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับพวกฏให้เสื่อมเสียเกียรติวงศ์ตระกูลอีก!” เขาย้ำคำว่า ‘ฏ’ ใส่หน้าพี่ชายอย่างจงใจ
“ใช่!” ไป๋เจิ้งรีบเสริม “แยกกันไปให้เด็ดขาด เราจะได้ใช้เงินของเราอย่างอิสระ ไม่ต้องแบ่งให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น”
“เงิน 1,000 ตำลึง น่าจะพอให้พวกเรารอด” ไป๋จ้านคำนวณในใจแล้วยิ้มเยาะ “อย่างน้อยก็ตั้งตัวได้ หรือหาที่ปลอดภัยเมื่อถึงที่หมาย ส่วนใครจะอดตายก็เื่ของมัน!”
ในขณะที่ฝั่งไป๋จ้านและไป๋เจิ้ง เห็นดีเห็นงามกับการแยกตระกูลและแสดงท่าทีดีใจจนออกนอกหน้า ญาติคนอื่น ๆ กลับลังเล ใจหนึ่งก็กังวลเื่ปากท้อง หากแยกจากไป๋จ้านและไป๋เจิ้ง จะเอาเงินที่ไหนมาประทังชีวิต เพราะพวกเขารู้ว่าไป๋หรงเฉินนั้นเงินไม่เหลือแล้ว อีกใจก็ยังคงภักดีต่อไป๋หรงเฉิน และรู้สึกผิดหวังกับความเห็นแก่ตัวของญาติผู้น้องจนไม่อยากจะร่วมทางด้วย
“แล้วพวกเราล่ะ?” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น “ถ้าไม่ไปกับพวกนั้น เราจะทำยังไง?”
“อาจจะต้องร่วมทางกับไป๋หรงเฉิน…” ญาติคนหนึ่งเสนอ “อย่างน้อยไป๋หรงเฉินก็เป็คนดี มีคุณธรรม ไม่ทิ้งพวกเราแน่”
“แต่เราจะไม่มีเงินเลยนะ” อีกคนแย้ง “จะเอาอะไรกินตลอดทาง?”
ไป๋หรงอี้มองหน้าพี่ใหญ่ด้วยความห่วงใยและศรัทธา “พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจแล้วหรือ? ที่จะแยกตระกูลกันจริงๆ?”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ไป๋หรงเฉินตอบเสียงหนักแน่น แววตามั่นคง “ข้าไม่อยากให้พวกเราต้องแตกแยกกันเอง เพราะเื่เงินทอง เราเหลือกันแค่นี้ ถ้ายังจะมาห้ำหั่นกันเอง ก็คงไม่มีหวังรอด สู้ตัดเนื้อร้ายทิ้งไปเสียยังดีกว่า”
“แต่…” ไป๋หรงอี้ยังคงกังวล
“ไม่ต้องห่วง” ไป๋หรงเฉินตบบ่าพี่น้องรองเบา ๆ “ใครที่ยังเชื่อมั่นในตัวข้า ก็ให้ตามข้ามา ส่วนใครที่อยากไปกับพวกนั้น ก็สุดแล้วแต่ใจ”
“ข้าจะอยู่กับท่านพี่” ไป๋หรงอี้ตอบอย่างหนักแน่น เดินมายืนข้างกายพี่ชายทันที “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะขอร่วมเป็ร่วมตายกับท่าน!”
“ข้าด้วย!” ไป๋เจี๋ยนเอ่ยต่อและเสียงญาติคนอื่น ๆ ขานรับตามมา “ข้าจะตามไป๋หรงเฉิน แม้จะอดตายข้าก็ยอม!” “ข้าก็อยู่กับท่าน ดีกว่าไปอยู่กับคนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้น!”
ในที่สุด การตัดสินใจก็เป็ที่แน่ชัด ตระกูลไป๋แตกออกเป็สองฝ่าย ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งนั้นรับไปเพียงแค่ครอบครัวของพวกเขาที่มีด้วยกันครอบครัวละ 4 คน
เมื่อตกลงกันได้ ไป๋เจิ้งและไป๋จ้านรีบกุลีกุจอเดินไปหาหัวหน้าผู้ดูแล นายกองจางเจิงทันที พวกเขาเร่งเร้าให้ช่วยเขียนเอกสารการแยกตระกูลอย่างเป็ลายลักษณ์อักษร พวกเขากลัว... กลัวว่าหากวันหน้าไป๋หรงเฉินรอดตายได้ จะกลับมาขอส่วนแบ่ง หรือมาวุ่นวายกับพวกเขาอีก เช่นนั้นก็ทำให้มันชัดเจนไปเลย ตัดขาดกันชาตินี้ไปเลยยิ่งดี!
*****
