กดดัน กดดันมาก!
“ข้าก็ชอบสถานการณ์แบบนี้นะ”
“ถ้าไม่มีแรงกดดันแล้วข้าจะสามารถพัฒนาตัวเองเร็วๆ ได้อย่างไร”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้แข็งแกร่งคือศัตรูที่เขาเกลียดที่สุด”
“ไก้อู๋ซวง เ้าจะเป็แรงบันดาลใจให้ข้าพัฒนาตัวเองเพื่อเอาชนะเ้า!”
เห็นได้ชัดว่าหลัวเลี่ยไม่ใช่คนที่กลัวความยากลำบาก เขาชอบความยากลำบากมาก เพราะความยากลำบากนี้เป็ตัวกระตุ้นทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้มากขึ้น
หลัวเลี่ยมั่นใจว่าสมบัติรูปัจะต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิประจิมไท่อีและระฆังจักรพรรดิประจิมอย่างแน่นอน เมื่อเขามั่นใจเช่นนี้แล้วเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น เขานำแรงกดดันที่ได้รับจากไก้อู๋ซวงกลับไปที่โรงเตี๊ยมด้วยเพื่อให้เป็ชนวนในการฝึกฝนวรยุทธ์ของตนเอง
เมื่อหลัวเลี่ยหันตัวกลับมาเพื่อเตรียมตัวกลับโรงเตี๊ยมเขาก็เห็นว่าเกาอวิ๋นเหลิงกำลังเดินเข้ามาหาเขา
“ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปสิ พวกเรามาคุยกันหน่อยดีหรือไม่” เกาอวิ๋นเหลิงเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ
เกาอวิ๋นเหลิงถือได้ว่าเป็ศิษย์อันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักอูอวิ๋นเซียน ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วดินแดนเหยียนหวง นอกจากนี้เขายังได้รับการยอมรับว่าเป็หนึ่งในอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด
ส่วนหลัวเลี่ยก็คือผู้แข็งแกร่งที่กล้าสังหารไก้อู๋ซวง
การปะทะกันระหว่างพวกเขาทั้งสองได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
มีผู้คนมากมายที่อยู่รอบๆ พวกเขาต่างเข้ามามุงดูสถานการณ์นี้
บางคนถึงกับะโร้องให้พวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน ซึ่งถือว่าเป็เื่ปกติที่พบเห็นได้โดยทั่วไป
“เ้ากับข้ามีเื่อะไรที่ต้องคุยกันหรือ” หลัวเลี่ยไม่สนใจเกาอวิ๋นเหลิง
เกาอวิ๋นเหลิงพูดนิ่งๆ ว่า “คงเป็ชะตาลิขิตชักนำคนที่ฝึกเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมเหมือนกันให้ได้มาพบกัน เ้าว่าไหม”
หืม?
หลัวเลี่ยที่ไม่ได้สนใจเกาอวิ๋นเหลิงในตอนแรกประหลาดใจขึ้นมาทันที
ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ส่งเสียงประหลาดใจเช่นกัน
“เกาอวิ๋นเหลิงฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมจริงๆ ด้วย”
“มิน่าเขาถึงได้ชื่อว่าเป็ศิษย์อันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักอูอวิ๋นเซียนก่อนที่ไก้อู๋ซวงจะปรากฏตัวขึ้นมา เขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
“น่าสนใจ บางทีพวกเขาอาจจะต่อสู้กันจริงๆ สักครั้งก็เป็ได้”
ไม่เพียงแต่คนอื่นๆ ที่ประหลาดใจ หลัวเลี่ยก็ประหลาดใจเช่นกัน
หลัวเลี่ยไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าเกาอวิ๋นเหลิงก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมด้วย เขาพูดได้เพียงว่าสำนักอูอวิ๋นเซียนเก็บความลับนี้ได้ดีมากจริงๆ
“เ้าคิดว่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมจะสามารถเอาชนะเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายได้หรือไม่” หลัวเลี่ยถามคำถามแทงใจดำออกมาตรงๆ
เมื่อเกาอวิ๋นเหลิงได้ยินคำถามนี้ มุมปากของเขาก็กระตุกและท่าทีนิ่งสงบก่อนหน้านี้ของเขาก็พังทลายลงทันที
แน่นอนว่าการที่เกาอวิ๋นเหลิงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมได้ย่อมเป็สิ่งที่น่าภาคภูมิใจและตัวเขาเองก็เป็คนที่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว
แต่ไก้อู๋ซวงผู้นั้นกลับฝึกฝนเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายได้
หากเกาอวิ๋นเหลิงบอกว่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมดี ก็มิใช่หมายถึงเขาคิดว่าหลัวเลี่ยจะสามารถสังหารไก้อู๋ซวงอีกครั้งได้หรอกหรือ
แต่หากเกาอวิ๋นเหลิงบอกว่าเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายดี ก็จะมิใช่ว่าเขาดูแคลนตัวเองหรอกหรือ และคนที่ถือว่าตัวเองเป็อัจฉริยะย่อมไม่มีทางยอมรับสิ่งนี้ได้แน่
เกาอวิ๋นเหลิงพูดเสียงดังว่า “เคล็ดวิชาไม่เหมือนกัน ผู้ที่ฝึกฝนไม่ใช่คนเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมแตกต่างกันมาก”
“เ้าหมายความว่าพลังจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมของเ้าแข็งแกร่งกว่าพลังจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมของข้าหรือ” หลัวเลี่ยถาม
“แน่นอน!”
เกาอวิ๋นเหลิงยังพูดด้วยความมั่นใจอีกว่า “เมื่อครั้งที่ข้าอยู่ในระดับผู้ฝึกตน ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานวโคจรห้าธาตุที่เป็หนึ่งในสิบยอดเคล็ดวิชา ข้าใช้พลังได้ทั้งห้าธาตุ และเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมก็เหมาะสมกับธาตุไฟ ดังนั้นตัวข้าที่ฝึกฝนทั้งสองเคล็ดวิชาย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าเ้าเป็แน่”
หลัวเลี่ยยกยิ้มบางๆ และพูดว่า “เช่นนั้นเ้าคิดว่าเ้ากับไก้อู๋ซวง ใครแข็งแกร่งกว่ากัน”
หลัวเลี่ยกำลังพูดกดดัน
หลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและแอบยิ้ม การปรากฏตัวในครั้งนี้ของเกาอวิ๋นเหลิงเป็การที่เขาหาเื่ให้ตัวเองแท้ๆ ทุกคำถามของหลัวเลี่ยกำลังขุดหลุมฝังเกาอวิ๋นเหลิงและปล่อยให้เกาอวิ๋นเหลิงตกลงไปในหลุมนี้ด้วยตนเอง และถ้าเกาอวิ๋นเหลิงไม่กล้าตอบก็เท่ากับว่าเขาเสียหน้าแล้ว
“ระดับของข้าก็ไม่ต่างจากนางมาก” เกาอวิ๋นเหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะให้คำตอบ
หลัวเลี่ยหัวเราะออกมาก่อนจะเดินออกไป
เกาอวิ๋นเหลิงถามเสียงต่ำ “เ้าหัวเราะอะไร”
“ถ้าเ้าอยู่ในระดับเดียวกับไก้อู๋ซวง และนางก็เคยถูกข้าสังหารไปแล้วหนึ่งครั้ง เช่นนั้นก็หมายความว่าเ้าอ่อนแอกว่าข้าไม่ใช่หรือ ยังต้องพูดอะไรอีก” หลัวเลี่ยเดินออกมาจากสถานการณ์นี้
เกาอวิ๋นเหลิงที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมีสีหน้าดำคล้ำ เขาที่หยิ่งยโสและภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอดจะทนรับคำดูถูกเหยียดหยามจากหลัวเลี่ยได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ว่าไก้อู๋ซวงต้องสังหารหลัวเลี่ยด้วยตนเอง เขาคงทำไปแล้ว
ในทางตรงกันข้าม หลัวเลี่ยไม่ได้คิดจริงจังกับเื่นี้เลย หากมีคน้าต่อสู้กับเขา เขาก็เต็มใจต่อสู้ด้วยเสมอโดยไม่ออมมือเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจ
หลัวเลี่ยกลับไปที่โรงเตี๊ยม
มีคนมาที่นี่หนึ่งคน
เขาคือหลี่จิ้งแห่งด่านเฉินถังกวนซึ่งเป็ศิษย์ของหรานเติง
การปรากฏตัวของหลี่จิ้งทำให้หลัวเลี่ยประหลาดใจมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่จิ้งถึงมาที่นี่
หลังจากที่ทั้งสองทักทายกันอย่างสุภาพแล้ว หลัวเลี่ยก็พูดเข้าประเด็น “ไม่ทราบว่าที่ผู้าุโมาหาข้ามีเื่อะไรหรือ”
“การที่ข้ามาเมืองหลวงแห่งแคว้นเหยียนหลงในครั้งนี้เพราะข้าได้รับความไว้วางใจจากคนบางคนให้มาพบเ้า” หลี่จิ้งพูดจุดประสงค์ออกมา
หลัวเลี่ยก็แปลกใจเช่นกันที่คนอย่างหลี่จิ้งกลับสนใจการต่อสู้ระหว่างเขากับไก้อู๋ซวง มันดูไม่น่าจะเป็ไปได้เพราะหลี่จิ้งเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
“ผู้าุโโปรดชี้แจงด้วย” หลัวเลี่ยพูด
“อวี้ติงเจินเหรินซึ่งเป็อาจารย์อาของข้า้ารับเ้าเป็ศิษย์” หลี่จิ้งกล่าว
หลัวเลี่ยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนี้ ความโกรธพลุ่งพล่านในใจของเขา แต่เขาก็อดทนและพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “เพราะหยางเจี้ยนสินะ”
หลี่จิ้งถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้า
“ในสายตาของอวี้ติงเจินเหริน ข้าหลัวเลี่ยผู้นี้นับว่าเป็ตัวอะไร” หลัวเลี่ยกล่าวอย่างเ็า “หรือคิดว่าตนเองเป็บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่จะทำอะไรก็ได้ ข้าต้องจุดพลุฉลองเลยหรือไม่ที่มีบรรพชนสนใจอยากรับข้าเป็ศิษย์เพียงเพราะอยากจะได้เด็กคนนั้นมากเป็ศิษย์ด้วย? ในสายตาของอวี้ติงเจินเหรินข้ามีค่าให้พูดถึงเท่านี้หรือ”
“คุณชายหลัว ข้าหลี่จิ้งขอพูดตามตรง แม้ว่าเื่นี้จะเป็ข้อห้ามของพวกเราในการพูดเช่นนี้ แต่ข้าก็อยากจะชื่นชมการกระทำของท่านมาก” หลี่จิ้งพูด
หลัวเลี่ยพูดว่า “หากผู้าุโพูดเช่นนี้เพราะ้าเกลี้ยกล่อมให้ข้าไปเป็ศิษย์ ข้าก็ขอให้ผู้าุโหยุดเถิด ข้าหลัวเลี่ยผู้นี้ก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน”
หลี่จิ้งมองไปที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลัวเลี่ย เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำปฏิเสธที่รุนแรงเช่นนี้ หลัวเลี่ยปฏิเสธอย่างชัดเจนมาก ทั้งๆ ที่คนคนนั้นคืออวี้ติงเจินเหรินผู้ซึ่งเป็บรรพชนที่ดีที่สุด แม้ว่าอาจไม่เก่งกาจเท่าบรรพชนข่งเซวียนและบรรพชนลู่ยา แต่ก็ยังถือว่าเป็หนึ่งในบรรพชนที่มีพลังส่งผลต่อดินแดนเหยียนหวงมานานหลายพันปีแล้ว หากใครได้เป็ศิษย์ของอวี้ติงเจินเหรินก็เท่ากับว่าเป็เกียรติแล้ว แต่หลัวเลี่ยกับต่อต้านโอกาสนี้อย่างรุนแรง
“เพื่อที่จะสามารถอยู่บนดินแดนเหยียนหวงต่อไปได้ หากไร้ซึ่งผู้ค้ำจุนเื้ัย่อมไม่อาจเติบโต” หลี่จิ้งกล่าวอย่างอดทน “ข้าได้เห็นกับตาตัวเองมามากมายว่าอัจฉริยะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สุดท้ายก็ล้มเหลวไปไม่ถึงระดับกายทองคำและระดับบรรพชนเพราะทะนงตัวมากเกินไป ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองและกักเก็บความแค้นไว้ชั่วชีวิต”
“ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น ยกตัวอย่างเื่การต่อสู้ระหว่างคุณชายหลัวและไก้อู๋ซวง ไก้อู๋ซวงมีบรรพชนอูอวิ๋นเซียนคอยช่วยเหลือทำให้นางเกิดขึ้นใหม่เป็ครั้งที่สอง และครั้งนี้นางต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเป็แน่ หากเ้าไม่ได้พบกับปาฏิหาริย์ เ้าคงเอาชนะนางไม่ได้ หรือต่อให้เ้าชนะนางมาได้ เ้าคิดว่าเ้าจะสามารถอยู่รอดในดินแดนเหยียนหวงนี้ต่อไปได้หรือ? มันเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่ศิษย์ของสำนักอูอวิ๋นเซียนที่จะตามไล่ล่าเ้าแต่กลุ่มคนที่้าประจบสำนักอูอวิ๋นเซียนก็จะตามไล่ล่าเ้าด้วยเช่นกัน แล้วเ้าจะรับมือกับผลของมันได้หรือ หากไร้ผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง ต่อให้จะเป็อัจฉริยะที่หาตัวจับยากเพียงไรก็มีแต่จะต้องตายทั้งนั้น”
“แม้ว่าเื่หยางเจี้ยนที่เทพได้กำหนดเอาไว้ว่าต้องเป็ศิษย์ของอวี้ติงเจินเหริน แต่เพราะการปรากฏตัวของเ้าทำให้มันเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์อาของข้าจึงไม่มีทางเลือกและรับเ้าเป็ศิษย์ แต่ถ้าเ้ามีสถานะเป็ศิษย์ของอวี้ติงเจินเหริน เ้าก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์หลังจากที่เ้าสังหารไก้อู๋ซวงนั้นได้ และตราบใดที่เ้าไม่ตาย เ้าก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองควรค่าแก่การเป็ศิษย์ของบรรพชนจริงๆ ผลประโยชน์ที่ดีเช่นนี้ แม้ว่าจะทำให้เ้าเสียหน้าแต่ก็ดีกว่าความตายที่กำลังจะมาเยือนอย่างแน่นอน”
หลัวเลี่ยยืนขึ้นและหันหลังให้หลี่จิ้ง เขามองไปยังก้อนเมฆบนท้องฟ้าด้านนอกแล้วตอบว่า “หยางเจี้ยนบอกว่าเขา้าหาอาจารย์ที่เป็วีรบุรุษ ที่จริงแล้วข้าไม่ใช่คนในความ้าของเขา ในสายตาของข้า วีรบุรุษนั้นสูงส่งมาก และข้าไม่ใช่วีรบุรุษ ข้าหวาดกลัวความตาย ข้าเป็คนโลภ ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าก็มีความเป็คนและมีศักดิ์ศรี” หลัวเลี่ยหวนนึกถึงตอนที่เขามาถึงดินแดนเหยียนหวงครั้งแรก ตอนแรกเขาหลอกใช้หลิวหงเหยียนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และจนถึงตอนนี้เื่นี้ก็ยังติดอยู่ในใจของเขา “แทนที่จะเรียกว่าตัวเองสูงส่ง ข้าคงพูดได้แค่ข้าคิดว่าดินแดนแห่งนี้เืเย็นเกินไป แม้ว่าข้าจะไม่สามารถชักจูงผู้อื่นให้รู้ถูกรู้ผิดได้ แต่อย่างน้อยข้าก็หวังว่าข้าจะสามารถทำให้ตัวเองอบอุ่นขึ้นได้”