คิ้วของหมอจ้าวขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็ให้คำตอบเดียวกับที่หมอหลินให้ไว้ก่อนหน้านี้
“ฝ่า...ฝ่าา กระหม่อมไร้ความสามารถ ชีพจรขององค์ชายสามอ่อนมากจนแทบจะไม่เหลือเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องเงียบลงไปทันที
หมอหลวงจากในวังสองคนต่างพูดกันขนาดนี้แล้ว เื่นี้จะต้องไม่เป็ความเท็จอย่างแน่นอน
คิ้วที่ขมวดแน่นของฮ่องเต้ค่อยๆ คลายออก ความสงสัยได้หายไปจนหมดแล้ว
ส่วนองค์ชายห้าตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนจะเป็ความจริง นั่นหมายความว่าแผนที่เขาใส่ร้ายจี๋โม่หานก็สูญเปล่า
องค์ชายห้าคิดได้ดังนั้นก็กำหมัดแน่นทันที แต่ต่อมาก็คิดได้อีกว่า จี๋โม่หานจะตายแล้ว เช่นนั้นแผนนี้ก็ไม่จำเป็แล้ว อีกทั้งเมื่อจี๋โม่หานตายไปแล้วก็ตัดภัยที่จะตามมาได้ตลอดกาล เช่นนี้ก็ลดปัญหาของเขาไปได้หลายเื่
“ไร้ประโยชน์ พวกเ้าล้วนแต่ไร้ประโยชน์” ถึงแม้ความสงสัยในใจจะหมดไปแล้ว แต่เบื้องหน้าจะต้องเสแสร้งสักหน่อย ฮ่องเต้ทำท่าโกรธแล้วกล่าวอย่างฉุนเฉียว “เจิ้นเลี้ยงพวกเ้าเอาไว้ก็ทำอะไรไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุก”
“เอาเถิด เสด็จพี่” จี๋โม่หานเอ่ยเสียงอ่อนแรง “เสด็จพี่ไม่ต้องไปลงโทษพวกเขาหรอก ร่างกายของข้า ในใจย่อมรู้ดี อย่างไรก็อยู่มาได้นานขนาดนี้แล้ว ก็ถือว่าเป็การปลดปล่อยก็แล้วกัน”
ใบหน้าของฮ่องเต้แสดงความเ็ปออกมา “น้องอย่าคิดมากเลย ่นี้ก็รักษาร่างกายดีๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ทรงมีงานมากมายให้ต้องทำ ไม่ต้องเป็ห่วงข้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพวกฮ่องเต้ออกไปแล้ว พวกหลิงชวนถึงได้ถอนหายใจออกมา
จี๋โม่หานเองก็ไม่ได้มีท่าทางใกล้ตายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็น “หลิงชวน พยุงข้าลุกขึ้น”
หลิงชวนพยุงจี๋โม่หานลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อตัวนอกให้ “องค์ชายสาม ดูเหมือนว่าแผนของคุณหนูซูจะได้ผลพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชายสาม เมื่อครู่ที่ท่านแกล้งทำนั้นเหมือนจริงมากพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมไม่รู้มาก่อนก็เกือบจะเชื่อไปแล้ว” พอจิ่งฉือคิดถึงการแสดงของจี๋โม่หานเมื่อครู่ก็ถอนหายใจออกมา “แต่ฮ่องเต้คนนั้นก็เสแสร้งได้ปลอมมากเลยนะ แล้วก็องค์ชายห้าอีกคน ตอนที่ได้ยินหมอหลวงบอกว่าชีพจรขององค์ชายสามอ่อนมาก ข้าเห็นมุมปากของพวกเขาแทบจะเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ น่ารังเกียจ”
จิ่งฉือพูดแล้วก็ทำเสียงถุยลงพื้น
แน่นอนว่าจี๋โม่หานรู้ว่าฮ่องเต้กับองค์ชายห้ามีความคิดเช่นไร หากตนป่วยใกล้ตายจริงๆ เช่นนั้นก็เป็ไปตามที่พวกเขา้า ตอนนี้ทั้งสองก็ผ่อนความระมัดระวังต่อตนลงแล้ว ดังนั้นแผนต่อไปของเขาจึงสะดวกขึ้นมาหน่อย อีกทั้งขอแค่องค์ชายห้าผ่อนการป้องกันลง สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็เื่ที่เป็ประโยชน์อย่างมาก
“องค์ชายสาม ต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
จี๋โม่หานออกคำสั่งเสียงเข้ม “เ้าไปที่จิ่นชางเก๋อแล้วหาวิธีส่งข่าวไปให้คุณหนูซู แล้วก็ดูว่าทางด้านเชียนซวินจือมีข่าวอะไรหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงชวนไปทำตามคำสั่งทันที
หนิงหยวนฟังคำสั่งชองซูิเยว่แล้วรออยู่ที่จิ่นชางเก๋อตลอด ตอนที่ได้ข่าวจากจวนองค์ชายสามก็รีบกลับไปรายงานซูิเยว่ทันที
ได้ยินว่าฮ่องเต้มาตรวจสอบแล้วก็ไม่พบอะไร ซูิเยว่จึงถอนหายใจ ต่อมาก็ดูที่แผนทางด้านจี๋โม่หาน ตอนนี้นางทำได้แค่เอาเข็มทองออก แต่ตอนนี้ยังกลางวันอยู่จึงลงมือไม่สะดวก นางวางแผนว่ารอให้ตอนกลางคืนก่อนแล้วค่อยไป
อีกด้านหนึ่งหลังจากที่หลิงชวนนำข่าวไปส่งให้ซูิเยว่แล้ว การตรวจสอบจากทางด้านของเชียนซวินจือก็ออกมาแล้ว
หลิงชวนเอาผลการตรวจสอบมารายงานให้จี๋โม่หานฟังอย่างละเอียด
“องค์ชายสาม คุณชายเชียนไปตรวจสอบตามสถานที่ที่คุณหนูซูให้มาแล้ว พบว่าตอนนี้มีสองสถานที่ที่เป็ที่ทิ้งร้าง แต่เวลาที่ทิ้งร้างไปนั้นยังผ่านไปได้ไม่นาน ส่วนอีกสองที่เป็ฐานลับที่องค์ชายห้าเอาไว้ฝึกทหารพลีชีพจริงพ่ะย่ะค่ะ ที่หนึ่งอยู่ในบ้านหลังเก่าแถวชานเมือง ส่วนอีกที่หนึ่งอยู่ที่หอโคมเขียวในเมือง คนของคุณชายเชียนตอนนี้ก็อยู่ที่นั่น ด้านในฐานลับมีกี่คนนั้นตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียด แต่คาดว่าคงจะไม่ถึงหนึ่งพันคนพ่ะย่ะค่ะ”
จี๋โม่หานฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสั่งออกมา “ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว เฝ้าอยู่ที่นั่นไว้ก่อน ตอนนี้องค์ชายห้าได้ลดความระวังต่อเปิ่นหวังลงแล้ว”
“เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะทำลายฐานขององค์ชายห้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” จื๋อหลันถาม “ให้กระหม่อมไปรวมคนมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ต้อง” จี๋โม่หานยกมือขึ้น “ตอนนี้เปิ่นหวังยังถูกฮ่องเต้ขังอยู่ในวัง จะลงมือจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เื่นี้พวกเราสามารถยืมมือคนอื่นจัดการแทนได้”
“พ่ะย่ะค่ะ” เพียงครู่เดียวหลิงชวนก็ส่งพู่กันกับกระดาษให้จี๋โม่หาน
จี๋โม่หานยกพู่กันขึ้นเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วส่งให้หลิงชวน “เ้าเอาจดหมายนี้แอบไปส่งให้องค์รัชทายาท ต่อไปพวกเราก็แค่นั่งดูเสือสู้กันก็พอ”
“สุดยอดไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” จิ่งฉือพอได้ยินก็ตาวาว “ปกติแล้วองค์รัชทายาทไม่สู้กับองค์ชายห้า ตอนนี้จุดอ่อนขององค์ชายห้าไปอยู่ในมือของเขาแล้ว ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จองค์รัชทายาทต้องไปตรวจสอบดูแน่นอน เช่นนั้นเื่นี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราอีก ทั้งยังล้างความสงสัยขององค์รัชทายาทออกไปได้ด้วย”
เพียงครู่เดียวหลิงชวนก็ออกไปทำงานที่จี๋โม่หานมอบหมายให้
จี๋โม่หานนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้ายากจะคาดเดา แผนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น ต่อไปก็แค่เก็บตาข่ายกับดัก
ซูิเยว่มาในตอนกลางคืน ทางด้านจิ่นชางเก๋อจี๋โม่หานก็ได้ทิ้งคนรับผิดชอบเอาไว้แล้ว ตอนที่ซูิเยว่ออกมาจากทางลับ จี๋โม่หานก็กำลังรอนางอยู่ด้านข้างพอดี
ซูิเยว่มองพิจารณารอบๆ ถึงได้พบว่าตัวเองกำลังอยู่กลางศาลาที่เรือนหลังของจี๋โม่หาน พื้นด้านหลังนางพับปิดรูด้านล่างและต่อกับพื้นแผ่นอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ จนมองไม่ออกเลยว่ามีอะไรผิดปกติ
“นั่งสิ” มุมปากของจี๋โม่หานประดับรอยยิ้ม ขอแค่ซูิเยว่มา บรรยากาศรอบตัวเขาก็แผ่กลิ่นอายอ่อนโยนออกมา พวกจิ่งฉือที่มองอยู่ด้านหลังถึงกับเหม่อไป
“หม่อมฉันมาเอาเข็มทองออกให้ท่าน เก็บไว้นานนั้นไม่ดี” ซูิเยว่มาหาเขาตอนกลางคืนก็เพราะเื่นี้
“ได้สิ”
นางเข้าไปในห้องกับจี๋โม่หาน ตอนที่แทงเข็มเข้าไปนั้นง่าย แต่เวลาจะเอาออกนั้น หากยังมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ก็ไม่อาจทำได้
ประตูที่อยู่ด้านหลังทั้งสองคนปิดเข้าหากัน ใบหน้าของจิ่งฉือก็พลันปรากฏขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขายื่นหน้าเข้าไป อยากจะเอาตัวไปแนบกับประตูแล้วเงี่ยหูฟัง แต่ก็ถูกจื๋อหลันดึงคอจากด้านหลังลากออกไปก่อน
“เอ๋ เอ๋ ท่านพี่ปล่อยข้านะ” จิ่งฉือดิ้น องค์ชายสามที่เป็แบบนี้นั้นแปลกใหม่สำหรับเขามาก เขาจึงอยากดูให้มากขึ้นหน่อย
จื๋อหลันอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เื่ของเ้านายก็ยังไปแอบฟัง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”
ภายในห้อง ซูิเยว่ตามจี๋โม่หานเข้ามาในห้องก่อนจะหยุดฝีเท้าลง
ซูิเยว่กอดอกยืนพิจารณาจี๋โม่หานจากบนลงล่างหนึ่งรอบ นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยปาก “ถอดเสื้ออกเพคะ”
มือของจี๋โม่หานที่กำลังแกะคอเสื้อออกก็หยุดชะงักแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “แม่หนูรอไม่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ?”
ซูิเยว่ที่เห็นมาหลายครั้งจนชินแล้ว หน้าจึงค่อยๆ หนาขึ้นมาไม่แดงอีกแล้ว ความกล้าเองก็เพิ่มขึ้น จี๋โม่หานพูดเช่นนี้นางก็ไม่อายอีกแล้ว ดวงตาจ้องคนตรงหน้าแล้วพูดหยอก “ใช่สิ ไยท่านยังไม่รีบถอดอีก”
ถึงแม้ซูิเยว่จะเคยเห็นในตอนที่ฝังเข็มให้จี๋โม่หานขณะแช่น้ำยามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะเบิกตากว้างไม่ได้ นางพูดได้เลยว่า ถึงแม้จี๋โม่หานจะนั่งอยู่บนรถเข็นมานานหลายปี แต่รูปร่างนั้นถือว่าดีมาก