“เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ท่านมิควรลดเกียรติคุกเข่าให้กับคนแก่ใกล้ตายอย่างข้า”
“ข้าเพียงคุกเข่าเพื่อขอร้องท่าน มิถือเป็การลดเกียรติแต่อย่างใด หนทางที่จะช่วยชีวิตผู้คนในนครใหญ่ ให้รอดพ้นจากพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์ เป็สิ่งที่ข้าควรทำ” คำพูดขององค์รัชทายาท แม้เป็วาจาที่ราบเรียบชายชรากลับรู้สึกถึงความจริงใจและตั้งมั่นนั้น ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าไปจูงพระหัตถ์ขององค์รัชทายาท พาเดินเข้ามายังที่พักอีกส่วน ที่อยู่ด้านในลึกเข้าไป สองเท้าของชายหนุ่มเดินผ่านลำธารใสไปได้สักระยะ คิ้วสองข้างก็ขมวดติดกัน
“ภายในถ้ำเช่นนี้ เหตุใดจึงมีลำธารไหลเป็สายตลอดเวลา อีกทั้งภายในก็กว้างใหญ่” ชายชรายิ้มอ่อนแล้วหันมาบอกกับองค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ถ้ำนี้เป็ถ้ำที่ศิษย์ชั่วของข้าเสกขึ้นมา ใช้วิชาเวทขั้นแปดรวมกับขั้นหก ทุกอย่างจะอยู่คงถาวรเช่นนี้สืบไปนานแสนนาน” องค์รัชทายาทมองถ้ำที่วิจิตรด้วยสายตาแน่นิ่ง ไม่แปลกใจทำไมศิษย์ของท่านผู้เฒ่าหานตงจึงหลงทำชั่ว เพราะฤทธิ์ของวิชาเวทขั้นแปดนั้นยิ่งใหญ่สุดพรรณนาได้ เมื่อสำเร็จแล้วจะส่งผลให้วิชาเวทขั้นอื่น ๆ มีพลังมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
องค์รัชทายาทหวนนึกถึงวิชาเวทขั้นหกของตัวเองที่ว่าวิเศษหนักหนานั้น ยังเสกได้เพียงกระท่อมเล็ก ๆ และสิ่งของที่ไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อใดที่สำเร็จวิชาเวทขั้นแปดแล้ว จึงสามารถมีพลังเสกสิ่งของได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งเป็ไปตามที่ตำรากล่าวไว้ไม่มีผิด สองเท้ายังคงเดินตามชายชราไปอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มาถึงสวนด้านใน ซึ่งเป็แหล่งกำเนิดลำธารใสนั้น คือน้ำตกที่ไหลมารวมกันเป็แอ่งกว้าง มีปลาแหวกว่าย และดอกบัวเกิดขึ้นในแอ่งน้ำอย่างสวยงาม
“ข้าจะสอนแนวทางการสำเร็จวิชาเวทขั้นแปดให้กับท่าน และหากข้าทำผิดพลาดอีก ผลกระทบจะยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนเป็พันเท่า เพราะท่านมีทั้งอำนาจล้นฟ้าด้วยฐานันดร อีกทั้งวิชาเวทที่กล้าแกร่ง สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วหากท่านหลงผิดคิดชั่วแบบศิษย์ข้าล่ะก็ ทั่วทั้งใต้หล้าจะไม่มีใครหยุดท่านได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ท่านจงสังหารข้าเสีย” ชายชราหันมาพูดกับองค์รัชทายาทด้วยสายตาตั้งมั่น ก่อนหันไปหยิบกระดาษสีขาวลงหมึกจดบันทึกคำกล่าวของเขาเอาไว้ แล้วนำไปแปะที่ผนังถ้ำ การกระทำแปลกประหลาดของท่านผู้เฒ่าหานตงทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย
“ท่านทำอันใด”
“คำสั่งเสีย”
“เหตุใดต้องสั่งเสีย” ชายชราแปะกระดาษแผ่นนั้นเสร็จจึงหันใบหน้าเคร่งขรึมกลับมายังองค์รัชทายาท
“ขั้นตอนการฝึกวิชาเวท ที่ตำรามิได้บันทึกไว้ ก็คือการคลายวิชาเวทขั้นหนึ่งถึงขั้นเจ็ดออกให้หมด ต่อจากนั้นพลังที่ฝึกเข้าไปใหม่จะทำลายความจำให้หายไป” ชายหนุ่มชะงักครู่หนึ่งแล้วถามต่อด้วยเสียงสั่นเครือ
“หมายความว่าความจำของข้าจักหายไปเช่นนั้นฤา” ชายชราพยักหน้าแล้วเดินกลับมายังโต๊ะหิน
“การจะคลายวิชาเวทขั้นหนึ่งถึงขั้นที่เจ็ดออกนั้น ต้องใส่กระแสสมาธิอันบริสุทธิ์เข้าไปคลายพลัง” ชายหนุ่มยังคงขมวดคิ้วแปลกใจ เพราะในตำราที่เขาอ่านมานั้น ไม่มีตำราใดกล่าวว่าต้องคลายพลังเวทเก่าออกทั้งหมด
“หากท่านไม่คลายพลังเวทขั้นหนึ่งถึงเจ็ดออกก่อน พลังทั้งหมดจักตีกันปั่นป่วน เสมือนกับสิ่งที่ละเอียดอ่อนเข้าไปเจอกับทรายหยาบ ในเมื่อพื้นฐานไม่เหมือนกันก็จักต่อต้านกัน แลยังเป็ผลเสียทำให้พลังสับสนวุ่นวาย ร้ายที่สุดคือมิสามารถลำดับขั้นของพลังเวทตัวเองได้” ชายชราอธิบายช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในขณะที่องค์รัชทายาทฟังอย่างตั้งใจ
“ในส่วนของการคลายพลังเวทเก่าออกนี้ ด้วยพลังสมาธิอันละเอียดอ่อนและบางเบาจะเข้าไปปรับระบบภายในของผู้ฝึกให้มีความละเอียดอ่อนเท่าเทียมกัน จึงจะรวบกำลังเป็พลังเวทขั้นแปดได้ ในระยะแรก การฝึกของท่านจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดห้ามผู้ใดรบกวน เมื่อระบบภายในถูกสมาธิอันบริสุทธิ์ปรับให้ละเอียดอ่อนเท่ากันแล้ว ความจำในส่วนลึกนับเป็สิ่งหยาบ คล้ายกับทรายหยาบก็จักถูกปรับให้ละเอียดลง ขั้นตอนนี้ท่านก็จะสูญเสียความทรงจำไปโดยปริยาย ระยะแรกท่านจักจำอันใดมิได้ แม้แต่ข้าท่านเองก็อาจจะลืมเลือน” ชายหนุ่มนั่งฟังด้วยแววตาแน่นิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินมายังแอ่งน้ำ แล้วทอดสายตาทบทวนบางอย่างด้วยความไม่มั่นใจ
“เช่นนั้นแล้ว....” สายพระเนตรส่อแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้าเขาใช้เวลาหมดไปกับตำราพวกนั้นมาอย่างยาวนาน ครั้นเมื่อเจอท่านผู้เฒ่าหานตงแล้ว กลับต้องแลกด้วยความทรงจำที่ว่างเปล่า จึงจักสำเร็จวิชาเวทขั้นแปดได้
ในห้วงเวลาความคิดกลับปรากฏเป็ใบหน้าแสนอ่อนหวานของซูเจิน ไม่ว่าเป็กิริยา น้ำเสียง ตามด้วยท่าทาง ทุกอิริยาบถของนาง ปรากฏชัดในความทรงจำขององค์รัชทายาท
“ข้าจักลืมทุกอย่างเช่นนั้นฤา” เขาถามย้ำกับชายชราอีกครั้ง
“ท่านมิต้องกังวล ความจำจะค่อย ๆ ทยอยกลับมาทีละน้อย และ เมื่อใดที่ท่านจำได้ว่าท่านเป็ใคร มีจุดประสงค์อย่างไรแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจักวางใจให้ท่านกลับนครใหญ่ได้ เพื่อทำตามจุดมุ่งหมายต่อไป” พูดจบชายชราจึงเดินไปหยิบพู่กัน นำมาวางที่แท่นหินแล้วหมุนสามรอบ โถงหินด้านในค่อย ๆ เปิดออก โถงนี้ใช้เป็ที่เก็บตัวได้เป็อย่างดี
“แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนนั้น ท่านต้องฝึกสมาธิอันบริสุทธิ์ให้ได้ก่อน มันใช้เวลายาวนาน ตามแต่ความสามารถของผู้ฝึก ขั้นตอนนี้มิมีผู้ใดกำหนดได้” ชายชรากล่าวพูดพร้อมกับเดินนำชายหนุ่มเข้าไป
แคว้นจ้านหลิวในยามนี้ องค์าาเริ่มกลับมาดำเนินงานราชการ หลังจากใช้เวลารักษาเยียวยาจิตใจอยู่นานพอสมควร เสียงขลุ่ยของซูเจียวเป่าแว่วอยู่ในสวนเหมยเต็ง ทำให้พระาาเดินตามเสียงไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเห็นราชธิดาประทับอยู่กับซือซิง นางตั้งมั่นตั้งใจฝึกฝนฝีมือตัวเองอยู่ทุกวี่วัน จนพระาาประทับใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายืนมองจับจ้องไปยังธิดาพร้อมความหวัง
“ท่านพ่อ” ซูเจียววางขลุ่ยลงแล้วเดินเข้ามาหาราชบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ซือซิงเ้าออกไปก่อน” องค์าาหันพระพักตร์สั่งเนื้อเสียงเข้ม ด้วยมีความบางอย่างต้องเจรจา ทำความเข้าใจกับซูเจียวเป็การส่วนตัว
“เพคะ” ให้หลังนางกำนัลแล้ว พระาาจึงพาราชธิดาซูเจียวเดินมายังจุดเก็บบันทึกโบราณที่ซอกหิน ก่อนพลังเวทที่มือวูบขี้นเพื่อปลดพันธนาการ แล้วเผยให้เห็นบันทึกโบราณดังกล่าวปรากฏชัดเจน
“นี่มันเป็บันทึกสำคัญที่ท่านพ่อ...ถึงกับ...ลงมือฆ่าลี่เซียน” หญิงสาวพูดพลางแววตาระริก หวนนึกถึงเหตุการณ์อันน่าสะใจในครานั้น ด้วยบันทึกนี้เป็สาเหตุให้ชีวิตของซูเจิน ต้องประสบกับความยากลำบาก จนอาจถึงกับไร้ลมหายใจท่ามกลางป่าเขาไปแล้วก็เป็ได้
“ใช่” พระาายอมรับ แล้วค่อย ๆ ดึงบันทึกนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ออกช้า ๆ พลันหันพระพักตร์มองใบหน้าของราชธิดาซูเจียวครู่หนึ่ง บัดนี้นางเติบโตมากพอที่ควรรู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิตเขา มือหนายื่นบันทึกโบราณนั้นให้กับซูเจียว
“เ้าจงอ่านให้ขึ้นใจ” น้ำเสียงราบเรียบพูดเป็คำสั่ง
“หะ ให้ข้าอ่านเช่นนั้นฤา บันทึกนี้สำคัญกับท่านมาก เหตุใจจึง..”
“ข้าอนุญาตให้เ้าอ่าน” ซูเจียวเห็นความตั้งมั่นของราชบิดาจึงรับบันทึกนั้นมาเปิดอ่าน
“ในบันทึกกล่าวว่า ดอกเฟิ่งเซียนทิพย์ เคยทำให้นครใหญ่ปั่นป่วน” หญิงสาวตั้งใจอ่านต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองราชบิดา
“แม่นางเหมยเซินล่ะท่านพ่อ นางเป็ใคร” หญิงสาวกล่าวด้วยวาจาใคร่รู้
“นางหายสาบสูญไปอย่างที่บันทึกกล่าวไว้ แต่จุดประสงค์หลักของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้น” ซูเจียวขมวดคิ้วไม่เข้าใจบางอย่าง พลางหรี่ตามอง
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรเพคะ” พระาาเดินเบี่ยงวรกายไปทางด้านซ้ายของสวนเหมยเต็ง
“สิ่งที่ข้ารอมานานแสนนาน หาใช่คำตอบว่าแม่นางเหมยเซินเป็ผู้ใด หายสาบสูญได้อย่างไร แต่สิ่งที่ข้ารอนั่นคือ การล่มสลายของแคว้นก่งเหว่ย” หญิงสาวดวงตาเบิกกว้าง
“หากถึงคราวล่มสลายแล้ว ข้าหวังเป็อย่างยิ่งว่าแคว้นจ้านหลิวของเราจะสามารถขึ้นเป็นครใหญ่แทนที่แคว้นก่งเหว่ยได้ ลูกหลานของเราก็จะมีอำนาจเต็มมือ”
“แคว้นก่งเหว่ยจะล่มสลายได้อย่างไร ในเมื่อเป็นครใหญ่มานานหลายแสนปี”
“เมื่อแม่น้ำเปลี่ยนสี กฎของเบื้องบนกล่าวว่าเมื่อใดที่แม่น้ำเปลี่ยนสี อำนาจของแคว้นก่งเหว่ยก็จะจบลง ดังนั้นพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์จะทำให้น้ำเปลี่ยนเป็สีดำ” ชายชราหวนนึกถึงอดีต เขาเคยแอบได้ยินบางอย่างที่ไม่ควร ย้อนกลับไปนานแสนนานครั้งที่ทุกแคว้นต้องจัดให้ส่งบรรณาการไป เขาเป็หนึ่งในคณะที่ถูกพระราชบิดา ส่งตัวให้ไปเยี่ยมชมความงามของนครใหญ่