“นั่นเป็เพราะเ้าหาเื่ใส่ตัวเอง!” มู่ฮูหยินพูดตวาดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เ้าคุกเข่าลงขอขมาแม่นางเฟิงเดี๋ยวนี้!”
มู่ชิงหว่านเชิดหน้าขึ้น “อาศัยอะไรกัน ข้าไม่คุกเข่าให้นางหรอก! ข้าเป็คุณหนูพันชั่งของจวนสกุลมู่ เป็เช่นกิ่งทองใบหยก นางนับเป็สิ่งของอันใด แค่นางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่ง ชีวิตมีค่าเพียงต้นไม้ใบหญ้า กระทั่งถอดรองเท้าให้ข้าก็ยังไม่คู่ควร!”
เพียะ!
มู่ฮูหยินตวัดฝ่ามือตบฉาดเข้าให้ ไม่เพียงแต่มู่ชิงหว่านที่ถูกตบตีจนตะลึงงัน คนอื่นๆ ต่างตื่นตระหนกเช่นกัน
มู่ชิงหว่านกุมหน้าของตนเอง นางมองมารดาด้วยสายตาเจ็บช้ำน้ำใจ น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจเอ่อคลอดวงตา “ท่านแม่ ท่านตีข้าหรือ ท่านถึงกับตบตีข้าเพราะคนนอกคนหนึ่ง ข้าเกลียดท่าน!”
“หว่านเอ๋อร์!” อย่างไรก็เป็บุตรสาวที่ตนให้กำเนิดมา มู่ฮูหยินตบนางแล้วก็รู้สึกปวดใจนัก แต่จนปัญญาที่นางจำเป็ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วจะอธิบายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตบิดาสามี ได้อย่างไร
นางหันกลับมาคำนับเฟิ่งเฉี่ยนอย่างจริงใจ “แม่นางเฟิง หว่านเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่รู้ความ ท่านโปรดอย่าได้ถือสา!”
เฟิ่งเฉี่ยนดูละครอยู่ด้านข้างตลอดเวลา มุมปากของนางยกขึ้น “สิบหกปี ไม่เด็กแล้ว...”
หัวใจของมู่ฮูหยินหล่นวูบด้วยเข้าใจว่านางจะฉวยโอกาสสร้างความลำบากใจให้ตน ได้ยินเพียงนางพูดว่า “ทว่ามู่ฮูหยินวางใจได้ ขอเพียงนางไม่เป็ฝ่ายมาหาเื่ข้าก่อน ข้าจะไม่ถือสานาง แต่หากนางเป็ฝ่ายมาสร้างความยุ่งยากให้กับข้า...”
มู่ฮูหยินรีบกล่าวว่า “แม่นางเฟิงวางใจ ข้าจะดูแลนางให้ดี ไม่ปล่อยให้นางออกมาสร้างความยุ่งยากให้กับท่าน”
“ได้เช่นนั้นก็ดี” เฟิ่งเฉี่ยนพูดเรียบๆ
มู่ฮูหยินมองนางนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วพลันเกิดความรู้สึกประหลาดชนิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็เพียงเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง เหตุใดบนร่างของนางจึงมีบุคลิกน่าเกรงขามกว่านางเสียอีก สายตา กิริยา ล้วนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวน ลนลานทำอะไรไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่เพียงเป็ผู้มีพร์ของการเป็เทพอาหาร ยังมีความสามารถในการถอนพิษได้ อีกทั้งยังเป็ศิษย์น้องของเซียนพิษ รวมไปถึงยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ คนลักษณะเยี่ยงนี้หากก้าวหน้าต่อไปอีกจะเป็คนน่ากลัวเพียงใด ดูท่านางต้องอบรมสั่งสอนหว่านเอ๋อร์ให้ดี จะปล่อยให้นางออกไปหาเื่อีกฝ่ายไม่ได้ หาไม่แล้วผู้ที่ต้องตกเป็ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไม่แคล้วต้องเป็หว่านเอ๋อร์
“แม่นางเฟิงช่วยชีวิตบิดาของสามีข้า เป็ผู้มีพระคุณของจวนสกุลมู่ สกุลมู่ของพวกเรารู้สำนึกในบุญคุณและตอบแทนคุณเสมอมา หากแม่นางเฟิงมีเื่อันใดให้ช่วย ให้กล่าวออกมาได้เลย ขอเพียงเป็เื่ที่สกุลมู่ทำได้ จะบุกน้ำลุยไฟอย่างไม่รีรอ!”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าด้วยสีหน้าของผู้เปี่ยมคุณธรรม “ช่วยชีวิตคนหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น! ไท่ฟู่เป็อาจารย์ผู้มีพระคุณของฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็ท่านปู่ของพี่ใหญ่มู่ ไม่ว่าจะเพราะพระบัญชาหรือสหาย นี่เป็สิ่งที่ข้าควรทำทั้งสิ้น อีกประการหนึ่ง ฝ่าาเป็คนแยกแยะชัดเจน จะต้องไม่เอาเปรียบขุนนางที่สร้างคุณความดี ฝ่าา ถูกต้องหรือไม่เพคะ”
ครึ่งประโยคหลังจึงจะเป็ใจความสำคัญ!
ดวงตาของนางโค้งลงเมื่อหันไปยิ้มตาหยีให้เซวียนหยวนเช่อ ท่านนี่หนา เช่นนี้แล้วยังไม่ให้รางวัลก็คงจะเกินไปหน่อยกระมัง
เซวียนหยวนเช่อกลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เขานั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้า เอ่ยปากเสียงเย็น “กลับวัง”
พูดแล้วรถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัว
เฟิ่งเฉี่ยนปล่อยผ้าม่านลงแล้วหันมาทำหน้าผีใส่เขา ช่างเป็คนใจแคบอะไรเช่นนี้!
เขาพลันลืมตาขึ้นมากะทันหัน ดวงตาเ็านั้นกวาดมองมาและจ้องนางแน่วแน่
เฟิ่งเฉี่ยนที่ทำหน้าผีล้อเลียนเขาใบหน้าแข็งเกร็ง ประดักประเดิดอย่างที่สุด ดวงตาทั้งคู่ของนางมองขึ้น้าเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูดกับตนเองว่า “เอ๊ะ? ยุงไปไหนแล้ว ตัวเบ้อเริ่ม กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังกล้ากัด ดูสิว่าข้าจะตีเ้าให้ตายหรือไม่!”
มองดูท่าทางที่นางเสแสร้งทำเหมือนตบยุงอย่างเอาจริงเอาจังนั้นแล้ว หางตาของเซวียนหยวนเช่อโค้งลงเล็กน้อยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ด้านนอกรถม้า มู่ชิงเซียวอดที่จะก้าวตามไปสองก้าวไม่ได้ เขาคิดจะพูดแล้วอึกอัก เมื่อสักครู่มารดาสนทนากับแม่นางเฟิงเขาจึงไม่สะดวกที่จะสอดปาก เดิมทียังคิดจะสนทนากับแม่นางเฟิงอีกหลายประโยค ใครเลยจะรู้ว่าไม่มีแม้แต่โอกาส เขารู้สึกเศร้าใจ
แม่นางเฟิงจากไปเช่นนี้ เขาเกรงว่าคงยากที่จะได้พบนางอีกครั้ง นอกจาก...นอกจากนางสามารถเข้ามาเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนหง
ถูกต้อง เขาจะต้องทำเื่นี้ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดจึงจะดี!
ด้วยสติปัญญาและความสามารถของแม่นางเฟิงแล้ว เป็เพียงนางกำนัลคนหนึ่งถือว่าเสียดายความสามารถเกินไป!
เมื่อในใจมีเป้าหมาย เขารู้สึกสดใสขึ้นมาทันที
ไม่มีบทสนทนาตลอดการเดินทาง รถม้ามาถึงประตูด้านหน้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว
มีคนเข้ามาถวายบังคมเมื่อรถม้าหยุดสนิท
“หม่อมฉัน หลิวซื่อ และบุตรสาวเฟิ่งซินเหยา ถวายพระพรฝ่าาเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีเพคะ”
“ซินเหยาถวายพระพรพี่เขยเพคะ”
เฟิ่งเฉี่ยนกำลังคิดจะลงจากรถม้า ถึงกับรีบหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงจากข้างนอก
เฟิ่งเซินเหยาหรือ
มิใช่พวกเขาได้พบกันที่ป่าหมอกดำแล้วหรอกหรือ น้องสาวผู้มีนิสัยประหลาด
ไฉนนางจึงมาที่นี่ได้
ยังมีหลิวซื่ออีก น่าจะเป็ฮูหยินรองของสกุลเฟิ่ง หลิวเยว่เหมย กระมัง
เซวียนหยวนเช่อสังเกตท่าทีที่แปลกไปของนาง จึงมองนางเรียบๆ เอ่ยกับคนทั้งสองที่อยู่ด้านนอก “มีเื่อันใด”
ได้ยินเสียงของเขา หัวใจของเฟิ่งซินเหยาเบิกบานอย่างที่สุด นางเอ่ยปากออกมาทันทีว่า “พี่เขย หม่อมฉันมาเยี่ยมพระองค์เพคะ”
มารดาที่อยู่ด้านข้างออกแรงกระตุกชายอาภรณ์ของนางแรงๆ พร้อมกับส่งสายตาเป็สัญญาณไปที่เขา เฟิ่งซินเหยาจึงได้แต่เสริมอีกประโยคว่า “...ยังมีพี่สาว”
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตาขาวมองบน พอเถอะ มาเยี่ยมนางนั้นข้ออ้าง แต่ฉวยโอกาสเอาตัวมาใกล้ชิดเซวียนหยวนเช่อนั้นคือจุดประสงค์ที่แท้จริง!
ทันทีที่กลับมาถึงวังหลวงก็มีหญิงสาวมารุมล้อม คิดจะขวางก็ยังขวางไม่ได้ เซวียนหยวนเช่อ ท่านช่างเหลือเกินจริงๆ!
ได้ยินเสียงของหลิวซื่อที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้นอีกว่า “ฝ่าา หม่อมฉันเป็ตัวแทนของสกุลเฟิ่งมาเยี่ยมฮองเฮาเพคะ...”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง ได้ยินนางพูดต่ออีกว่า
“ได้ยินว่าฮองเฮามีความประพฤติไม่เหมาะสม ก่อเื่วุ่นวายมากมายภายในวัง ไม่เพียงแต่ล่วงเกินองค์หญิงหลานซิน ยังเกือบจะทำให้ไทเฮามีโทสะจนแทบสิ้นสติ ช่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเพคะ”
เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึม ฮูหยินรองผู้นี้ไหนเลยจะมาเยี่ยมนาง ชัดเจนเหลือเกินว่ามาหาเื่มากกว่า
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซวียนหยวนเช่อกำลังมองมานางอย่างใช้ความคิดด้วยสีหน้ารอดูละครฉากดีๆ
สีหน้าของนางจึงยิ่งดำทะมึนขึ้นอีก
ฮูหยินรองยังคงสาธยายต่อไปว่า “หลังจากท่านมหาเสนาบดีทราบเื่นี้เข้า เขาปวดใจยิ่งนัก เอาแต่กล่าวโทษตนเองที่มิได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี นางจึงได้ทำเื่ขายหน้าเช่นนี้ออกมา! ฝ่าาทรงทำถูกต้องแล้วเพคะที่ส่งตัวนางไปอยู่ตำหนักเย็น! ควรจะให้เด็กคนนี้ได้รับความลำบากบ้าง เมื่อได้รับบทเรียนแล้วอาจจะคิดว่าไม่มีใครสั่งสอนนางได้ ทำอันใดล้วนไม่มีกฎเกณฑ์!”
คิ้วของเซวียนหยวนเช่อเลิกขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีกฏเกณฑ์จริงๆ”
เฟิ่งเฉี่ยนถลึงตาใส่เขา ที่นางทำอยู่นี้เรียกว่าพยายามเป็ตัวของตัวเอง ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจ
ฮูหยินรองได้ยินคำพูดสนับสนุนของเขา ในใจพลันบังเกิดพลังและความมั่นใจขึ้นมาทันที “ั้แ่เล็กฮองเฮามีนิสัยละโมบในการกินแต่เกียจคร้านที่จะทำ อีกทั้งไม่ชอบเรียนรู้ ให้นางแต่งให้พระองค์ ทำให้พระองค์ไม่ได้รับความเป็ธรรมแล้วเพคะ”
ในสมองของเฟิ่งเฉี่ยนมีแต่ความมึนงง ฮูหยินรองผู้นี้ช่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
นางตวัดสายตามองเซวียนหยวนเช่อปราดหนึ่ง เขากลับมีท่าทีดูแล้วอารมณ์ดีไม่เบา ริมฝีปากที่มักจะเ็าอยู่เสมอนั้นชัดเจนเหลือเกินว่ากำลังยกยิ้ม
“เดิมทีท่านมหาเสนาบดีคิดจะมาอบรมฮองเฮาด้วยตนเองเพคะ แต่ด้วยงานในราชสำนักล้นมือ ท่านมหาเสนาบดีเกรงว่าจะเสียงาน ดังนั้นจึงมอบหมายให้หม่อมฉันเป็คนมาอบรมฮองเฮาให้ดี เพื่อมิให้นางทำให้สกุลเฟิ่งต้องอับอายขายหน้าเพคะ”
เซวียนหยวนเช่อฟังมาถึงตรงนี้ ก็ยกยิ้มอีก “ควรจะอบรมให้ดี”
พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินลงมาจากรถม้า
เมื่อเขาเดินผ่านร่างของเฟิ่งเฉี่ยน เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาเป็รอยยิ้มเยาะเย้ย นางโมโหจนต้องขบฟันแน่น
ทว่า ฮูหยินรองผู้นี้ไม่ได้มาดี และไม่ใช่เป็ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน เฟิ่งเฉี่ยนยังไม่อยากเผชิญหน้ากับนางตรงๆ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อผืนหนึ่งปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งหนึ่งของตนเอาไว้แล้วค่อยลงจากรถม้า