ในห้องโถง ดนตรีที่กระฉับกระเฉงคลุมเครือและยั่วยุ หญิงสาวที่ร่ายรำก็งดงามราวกับปีศาจสาวที่เย้ายวน
มือของหรงซิวยังคงเคลื่อนไหว แต่ดวงตาของเขาเข้มขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาที่เย้ายวน รอยยิ้มที่มีเสน่ห์และการเต้นที่คลุ้มคลั่งเกินจริงนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
เสียงขลุ่ยค่อยๆ เร่งขึ้น ร่างกายของนางก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือราวกับหยกเล่นกับความคะนึงหา กระโปรงของนางโบกปลิว ดวงตาของนางเหมือนควันน้ำมิอาจจะพูดได้
ลมหายใจของหรงซิวค่อยๆ ช้าลง
นางช่างงดงามราวกับดอกไม้ในสายหมอก ดูเลื่อนลอย ราวกับดอกฝิ่นที่บอบบาง ถลำลึกลงไปในพริบตา
เขาเคยเห็นนางเต้นระบำนี้ ดึกดื่นราตรี อวิ๋นอี้อยู่กับเขา ราวกับว่ากำลังเต้นรำเพื่อเขาเพียงคนเดียว
ในตอนนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าภายใต้แสงไฟ สตรีของเขาจะมีเสน่ห์พร่างพรายได้เช่นนี้
นางสวมชุดสีแดงที่เสริมส่งนางมาก นางผิวขาว ที่จริงแล้วใส่เสื้อผ้าสีใดก็ออกมาสวยงามทั้งสิ้น
หรงซิวคอเกร็ง ไม่ทันได้รู้ตัว ก็เต้นจบบทเพลงแล้ว เขามองดูนางยืนตรงอย่างมั่นใจ ก้มตัวลงอย่างสง่างาม แล้วก็ยิ้ม
น่าสนใจ
ในเวลานี้เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าหัวใจของเขากำลังเต้นเร็ว
เขาหวั่นไหวเสียแล้ว
บางทีอาจเป็เพราะการแสดงออกของนางที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ในตอนที่นางไม่สนใจเขา
บางทีอาจจะเพราะในตอนที่นางเห็นบุรุษผู้อื่นแล้วน้ำลายสอ จึงกระตุ้นความหึงหวงและความอยากเอาชนะของเขา
บางทีอาจจะเป็ตอนที่นางยื่นเซียงหนางให้เขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ หัวใจของเขาถลำลึกกับแรงดึงดูดของนาง
หรงซิวไม่รู้ เขาไม่อยากจะไปคิดมากกับเื่พวกนี้ด้วย
คิดเื่พวกนี้จะมีประโยชน์กระไร อย่างไรเสียก็ตกหลุมรักเข้าแล้ว
เขาละสายตาจากหญิงสาวมิได้ นางยืนอยู่ตรงนั้น ตัวเล็กน่ารัก แต่ร่างกายของนางกลับมีพลังมหาศาล
“ดีมาก!”
ฮ่องเต้อวี่ซวนอารมณ์ตื้นตัน ดูจบอยู่นานแต่ยังไม่อาจจะคืนสติกลับมาได้ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นปรบมือ แม้แต่เสียงก็ยังประสมความตื่นเต้น “งดงามมาก! ดีมาก! พระชายาเจ็ด! เ้านี่ร้องคราเดียวก็ทำเอาคนตะลึงเลยนะ [1] !”
หมายถึงที่นางไม่เคยร่วมงานเลี้ยงใดๆ เลย
อวิ๋นอี้ยิ้ม ย่อตัวลงเคารพ "ขอบพระทัยสำหรับคำชมเพคะ ฝ่าาโปรดก็เป็พระกรุณาแล้วเพคะ!"
"ดีมาก ดีมากๆ! ข้าชอบ! ข้าชอบมาก! หรงซิว พระชายาของเ้านี่ไม่ธรรมดาเสียจริง! มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เ้ามิให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยง ตอนนี้ดูแล้ว ที่แท้ก็เป็เพราะจะขังสาวงามไว้ในห้องทองคำสินะ!" [2]
ฮ่องเต้อวี่ซวนดูมีความสุขจริงๆ ถึงขนาดพูดเื่ล้อเล่น
หรงซิวได้สติ พูดต่อจากคำขององค์ฮ่องเต้ “ฝ่าาขอรับ ก่อนหน้านี้ฮูหยินร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สบายต้องรักษาตัวอยู่ตลอด หลังจากอุบัติเหตุครานั้น ผู้ใดจะรู้ว่านางดีขึ้นมามาก ข้าคิดจริงๆ ว่าในเื่ร้ายย่อมมีเื่ดีอยู่"
"จริงอย่างเ้าว่า" ฮ่องเต้อวี่ซวนรู้ดีว่าเหตุการณ์นั้นหมายถึงกระไร ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยังคงชื่นชมอวิ๋นอี้
มีคนชมก็ต้องสุขใจเป็ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น คนชมยังเป็ถึงผู้เป็ใหญ่สูงสุดในราชวงศ์
อวิ๋นอี้ตอบคำถามของฮ่องเต้อวี่ซวนด้วยความเขินอาย
เช่นการแนะนำท่าเต้น และบอกว่าซ้อมมานานเพียงไรแล้วต่างๆ
ฮ่องเต้อวี่ซวนรู้ว่าควรอยู่ในขอบเขต หลังจากคุยกันประมาณสิบกว่าประโยค เขาก็โบกมือ ให้คนเอาของรางวัลมาให้มากมาย บอกว่านางเต้นเก่งที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
คำชื่นชมนี้สูงส่งเหนือสิ่งใด เหนือกว่าของรางวัลเป็ไหนๆ เพราะมันสามารถทำให้ซูเมี่ยวเออร์โกรธได้
หลังจากที่อวิ๋นอี้เต้นเสร็จ จึงสนใจสีหน้าของซูเมี่ยวเออร์ตลอด
เมื่อเห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็สีดำมืด เห็นไฟแห่งความริษยาในแววตาของนาง เห็นหมัดที่กำแน่นเหมือนไก่ที่ชนแพ้ ยิ่งทำให้เอวของนางยืดตรง
ไม่ได้ทำให้นางอับอาย แต่นางยังขโมยความสนใจไปอีก อวิ๋นอี้กระตุกยิ้ม เดาว่าตอนนี้ซูเมี่ยวเออร์คงจะโกรธมาก
เดิมนางอยากจะไปเย้ยซูเมี่ยวเออร์เสียหน่อย แต่กลับถูกหรงซิวเรียกไว้
ต่อหน้าคนจำนวนมาก อวิ๋นอี้หักหน้าหรงซิวมิได้ เพราะอย่างไรชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนผู้นี้ ในใจกลับคิดเล็กคิดน้อยมาก
นางเดินเข้าไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง เขายื่นมือออกมา บีบแก้มนาง อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว ในวินาทีต่อมามือของชายหนุ่มก็โอบเอวของนางไว้ ทั้งสองก็กลับไปนั่งที่ที่นั่งพร้อมกัน
“ข้าแสดงเป็อย่างไรบ้าง?” นางไม่อาจจะทนเก็บคำพูดไว้ได้ ยังไม่ทันจะนั่งลง ก็ถามออกมา
หรงซิวพยักหน้า "ดีมาก"
"จริงหรือเพคะ?" นางซ่อนความดีใจไว้ไม่ได้ ถึงถามอย่างตื่นเต้น
"อื้ม" หรงซิวยิ้ม แอบคิดในใจ จริงสิ นางเหมือนนางปีศาจจอมยั่วยวน ิญญาของเขาแทบจะโดนดูดไปเสียแล้ว
“ฝ่าาชอบหรือไม่เพคะ?” เมื่ออวิ๋นอี้ถามแบบนี้ นางก็หน้าแดงและไม่กล้าแม้แต่จะมองหรงซิว
หรงซิวฮึมฮัมเสียงต่ำ "คืนนี้ข้าจะบอกเ้า"
มีการเต้นที่เป็เอกลักษณ์ของอวิ๋นอี้ โดนเด่นพอแล้ว การชมความงามของผู้คนก็ยกระดับขึ้นมา การแสดงต่อๆ มา จึงไม่ได้สะดุดตามากนัก
ความสนใจของผู้คนลดลง
องค์ไทเฮาอายุมากแล้ว อยู่ร่วมงานได้กว่าชั่วยาม ก็เริ่มง่วงและกลับไปพักผ่อน
หลังจากนั้นองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาก็พากันออกจากงานไป งานเลี้ยงทั้งหมดก็มาถึงตอนท้าย
หรงซิวบอกให้อวิ๋นอี้รออยู่ตรงที่นั่ง เขาเดินไปหาเ้าชายสองคนแห่งราชวงศ์เป่ยิ หลังจากกระซิบกับพวกเขาไม่กี่ครา เขาก็มองย้อนกลับมามองอวิ๋นอี้ พูดต่ออีกไม่กี่ประโยคแล้วก็เดินกลับมา
“เมื่อครู่ไปพูดว่าข้ามาหรือเพคะ?” อวิ๋นอี้ถูกเขาอุ้มขึ้นมา พูดอย่างอ่อนแรง
ให้หลังนางดื่มเหล้าผลไม้ไปไม่น้อย ความเข้มข้นของเหล้าไม่สูงทั้งมีรสหวานอมเปรี้ยว อร่อย ดื่มไปเยอะอย่างไม่ทันรู้ตัว
ตอนที่ตระหนักได้ว่านางเวียนหัว เหล้าบนโต๊ะก็หมดไปแล้ว
หรงซิวเหลือบลงมองนาง เห็นนางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ดูเย้ายวนเกียจคร้าน ร่างกายส่วนล่างของเขาก็อดเกร็งมิได้
เขาไม่ตอบ อวิ๋นอี้เริ่มเอะอะ "เฮ้! ฝ่าา! ข้าถามอยู่นะ!"
"ถามกระไร?” เขาอุ้มนางขึ้นมา เดินออกไปข้างนอก ดีที่พวกเขาเดินออกมาเร็ว กลางทางไม่มีผู้ใด
อวิ๋นอี้สูดจมูก "ฝ่าาไปพูดเื่ไม่ดีของข้าใช่หรือไม่?"
"เปล่า"
"เปล่าหรือ? ฮึ่ม! ผู้ใดจะเชื่อ!" นางส่ายหัว พูดต่ออย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ "ฝ่าาแย่ที่สุด! เป็คนหน้าซื่อใจคดที่สุด!"
หรงซิวรู้ว่านางน่าจะเมาแล้ว ฟังคำพูดไร้สาระของนาง ดันหัวเราะออกมาได้ เขาพูดไปกับนาง "ทำไมข้าถึงแย่ที่สุด หน้าซื่อใจคดที่สุดเล่า?"
“ฝ่าาเป็ละกัน!” อวิ๋นอี้พูดเสียงดัง "ครั้งแรกที่ฝ่าาเห็นข้า ข้าก็คิดว่าท่านเป็คนหน้าซื่อใจคด!”
“......”
“ยังมีอีกนะ ข้าคิดว่าจริงๆ ท่านไม่ได้ชอบข้าเลย...โอ้ ไม่สิ..." นางแก้คำพูดตัวเอง "ไม่ชอบอวิ๋นอี้!"
"กระนั้นข้าชอบผู้ใด ?
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?" อวิ๋นอี้ถูกเขากอดอย่างอึดอัด หันตัวกลับมาเอาหน้าลูบหน้าอกเขา "ฝ่าาจะชอบผู้ใดก็ได้...อย่างไรก็เถิดอย่ามาชอบข้า..."
นางพึมพำ เสียงของนางเบา แต่หรงซิวหูดี แววตาของเขาค่อยๆ เย็นลง “เหตุใดจึงห้ามชอบเ้าเล่า?”
เขารู้ดีว่านางเมาแล้ว สิ่งที่นางพูดอาจเป็เื่ไร้สาระ แต่เขายังคงชวนนางคุยต่ออย่างไร้ยางอาย
“เพราะว่าข้า...” อวิ๋นอี้ถอนหายใจ เงยหัวขึ้นมาจากในอก ั์ตาของนางสดใสและมืดดำ ไม่รู้ว่าเมาจริงหรือเปล่า “ข้าไม่ใช่อวิ๋นอี้...ข้า...ข้ามาจากอีกที่หนึ่ง..."
"ที่ใด?"
"พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ!" อวิ๋นอี้อารมณ์ขึ้นเล็กน้อย นางขยับก้นไปมา หลังจากวุ่นวายในอ้อมกอดของเขาแล้วนางก็สงบลง
ตอนที่หรงซิวคิดว่านางหลับอยู่ นางก็ถอนหายใจเบาๆ
การถอนหายใจนั้นราวกับควันสีขาวในแสงจันทร์ นุ่มนวล ไร้ร่องรอย แต่กลับตกลงไปในหัวใจของเขา
ระยะทางจากวังสู่จวนองค์ชายมิได้ไกลนัก
หรงซิวไม่ได้พานางขึ้นรถม้า อุ้มนางกลับถึงห้องมาตลอดทาง
เซียงเหอรอมาทั้งคืน เมื่อเห็นทั้งสองกลับมา ก็ลุกขึ้นคำนับ “ฝ่าา พระชายาเป็...”
"นางเมา" หรงซิวพูดเบาๆ เขาวางอวิ๋นอี้ลงบนเตียง คลายคอเสื้อออก แล้วเหลือบมองเซียงเหอ “ไปเอาน้ำร้อนมา เอาผ้าเช็ดตัวมาด้วย”
เซียงเหอทำตามคำสั่ง เอาของมาให้จนครบ จากนั้นมองหรงซิวอย่างระมัดระวัง
“ออกไปเถิด” หรงซิวรับมา จุ่มผ้าเช็ดตัวลงในอ่าง แล้วสั่งเซียงเหอ “เ้าออกไปเถิด”
“เพคะ”
“อ๋อ ใช่” เขาคิดกระไรขึ้นมาได้อีก เรียกนางให้หยุด “ั้แ่บัดนี้จนถึงวันพรุ่ง ข้าไม่รับแขก เ้ากลับไปพักผ่อนเถิด มิต้องมาปรนนิบัติ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงใดๆ ก็ไม่ต้องเข้ามา”
เชิงอรรถ
[1] ร้องคราเดียวก็ทำเอาคนตะลึง不鸣则已,一鸣惊人 หมายถึง คนที่มีความสามารถอยู่เต็มเปี่ยม แต่ไม่แสดงออกมา เมื่อแสดงออกมาก็ทำให้คนตะลึงกับความเก่งกาจ
[2] ขังสาวงามไว้ในห้องทองคำ 金屋藏娇 หมายถึง เก็บหญิงผู้เป็ที่รักไว้คนเดียว ไม่ให้พบผู้คน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้