เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เสิ่นเมิ่งเฟยก็ตื่นขึ้นมาด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างเต็มเปี่ยม
ร่างกายยังรู้สึกหนักอึ้งและมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวจากพิษไข้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงเก่า เดินไปที่มุมหนึ่งที่เป็พื้นที่เล็กๆ สำหรับทำอาหาร ต้องบอกว่าแม้ห้องเช่านี้จะเล็กและโทรมมาก แต่ก็มีการจัดสรรพื้นที่ไว้อย่างดี นอกจากเพียงห้องน้ำที่ต้องใช้รวมกัน
เธอตักข้าวสารใส่หม้อใบเล็ก เติมน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ ก่อนจะวางหม้อไว้บนเตาถ่าน
หญิงสาวนั่งยองๆ ริมเตา มองเปลวไฟที่เต้นระริกและค่อยๆ เริ่มรู้สึกหิว
ระหว่างที่รอโจ๊กเดือด เธอก็เดินไปหยิบยาที่ซื้อมาเมื่อวานมากิน พร้อมจิบน้ำอุ่นที่เหลืออยู่เล็กน้อยในกระบอกน้ำ
หลังจากผ่านไป 20 นาที กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโจ๊กก็ลอยแตะจมูก เธอตักใส่ชามใบเก่า โรยเกลือเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ตักกินอย่างช้าๆ ทุกคำที่กลืนลงคอส่งความอบอุ่นให้กระจายทั่วร่างกาย
ตามที่คาดไว้ รสชาตินั้นไม่ค่อยดีนัก แค่พอกินได้เท่านั้น
เสิ่นเมิ่งเฟยไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เธอสามารถทำตามทุกเมนูที่เห็นในวิดีโอสั้นตามแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ เรียกว่าอยู่ในระดับที่ทำอาหารได้ ซึ่งอย่างน้อยก็รับประกันว่าเธอจะไม่อดตายอย่างแน่นอน
ดังนั้น แม้ว่าเมื่อวานจะได้รับเพียงทักษะการทำอาหารเพียงชนิดเดียวก็สามารถปลอบใจเธอได้แล้ว
จากนั้น หญิงสาวก็เพิ่งจะนึกได้ว่าวันนี้เธอสามารถสุ่มได้อีก 1 ครั้ง
“ระบบ เปิดกล่องสุ่ม!”
ทันใดนั้นภาพของเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง เธอจ้องมองอย่างลุ้นระทึก แต่สุดท้ายไม่ว่าจะคาดหวังแค่ไหน สิ่งที่กลิ้งออกมาก็ยังเป็กล่องไม้อยู่ดี
[ยินดีด้วย! คุณได้รับทักษะ: เย็บเสื้อผ้า]
[ระดับความชำนาญปัจจุบัน: ยอดฝีมือ (0/2) ]
เอาล่ะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนแต่มีประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น
เธอเลิกสนใจสิ่งนี้ชั่วคราวและเริ่มเตรียมของอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จ้องมองสิ่งต่างๆ ด้วยความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อืม... แล้วเธอจะขนของทั้งหมดนี้ไปยังไงล่ะ?
ไม่ต้องพูดถึงวัตถุดิบพวกนั้นเลย แค่เพียงเตาถ่าน กระทะเหล็ก และอุปกรณ์หลักๆ ก็หนักเกินแรงที่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะแบกไปจนถึงหน้าประตูบ้านไหวแล้ว
เธอนึกถึงรถเข็นเก่าๆ ที่เห็นจอดทิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของลานบ้านเช่า มันเป็รถเข็นไม้สองล้อที่ดูผุพังและเต็มไปด้วยสนิม แต่ในสายตาของเสิ่นเมิ่งเฟยตอนนี้ มันคือเป็สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด
หญิงสาวจึงรีบเดินออกจากห้องและตรงไปยังห้องของเ้าของบ้านเช่าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
เธอเคาะประตูเรียกไม่กี่ครั้ง ไม่นานนัก ประตูก็แง้มเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่มีริ้วรอยตามวัย แต่ผิวค่อนข้างขาว และดูดีกว่าผู้หญิงชาวนาในชนบทที่อายุน้อยกว่ามาก
จ้าวหลานฮวาเปิดประตูออกมาด้วยท่าทีสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ “เธอเป็ผู้เช่าใหม่ใช่ไหม? มีอะไรหรือเปล่า?”
“สวัสดีตอนเช้าค่ะป้าจ้าว” เสิ่นเมิ่งเฟยทักทายอย่างสุภาพ “คือ...ฉันเห็นว่ามีรถเข็นอยู่ที่ลานบ้าน ถ้าหากคุณยังไม่ใช้มันเร็วๆ นี้ ฉันจะขอยืมไปใช้ก่อนสักวันสองวันได้ไหมคะ?”
หญิงวัยกลางคนถามกลับด้วยความประหลาดใจ “รถเข็นนั่นน่ะเหรอ? เธอจะใช้มันทำอะไร?”
เสิ่นเมิ่งเฟยพูดอย่างเขินอาย “ฉันอยากจะลองทำของเล็กๆ น้อยๆ ไปขายดู ฉันสัญญาว่าจะเอากลับมาคืนที่เดิมตอนเย็นแน่นอน และถ้ามันชำรุดระหว่างทาง ฉันจะรับผิดชอบค่าซ่อมแซมเองค่ะ”
จ้าวหลานฮวาพยักหน้าและโบกมืออย่างใจเย็น “เอาสิ เอาไปใช้เถอะ แล้วก็ระวังด้วยล่ะ มันเก่าแล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะรีบไปลากรถเข็นเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสนิมกลับมาและทำความสะอาดอย่างตั้งใจ จากนั้นก็วางเตา ถ่าน กระทะ แป้งที่นวดหมักเตรียมไว้เมื่อคืน และอุปกรณ์ที่จำเป็อื่นๆ ลงบนรถเข็นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลากออกจากตรอกเล็กๆ มุ่งหน้าออกไปหาสถานที่ตั้งร้านที่จับตามองไว้เมื่อวาน
แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอแสงสีทองอ่อนๆ อากาศยังคงเย็นสบาย แต่ท้องถนนกลับเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นแล้ว เสียงกระดิ่งจักรยานดังขึ้นเป็ระยะๆ ผู้คนในชุดทำงานเรียบง่ายกำลังปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยังโรงงาน ไอน้ำร้อนๆ ลอยขึ้นมาจากร้านขายซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ข้างทาง กลิ่นหอมของอาหารเช้าโชยเข้าจมูก จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะแวะซื้อเป็ของว่างรองท้อง
ในที่สุด เธอก็มาถึงถนนแยกใกล้กับโรงงานทอผ้าและไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่นี่คือจุดที่คนงานจำนวนมากต้องเดินผ่านเพื่อไปทำงาน เป็ทำเลที่เหมาะสมแก่การตั้งร้านมาก สังเกตได้จากแผงโจ๊ก ซาลาเปาและของว่างที่เรียงรายกันอยู่
เมื่อเห็นว่าวันนี้มีผู้มาใหม่ สายตาหลายคู่ก็หันมาจับจ้องที่เสิ่นเมิ่งเฟยอย่างสำรวจ โดยพยายามสังเกตว่าเธอมาขายอะไรที่จะทับซ้อนหรือแย่งลูกค้าของพวกเขาหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร แผงขายของที่เพิ่มขึ้นอีกแผง ก็คือคู่แข่งที่แย่งรายได้อีกหนึ่งคนอยู่ดี
เสิ่นเมิ่งเฟยเพิกเฉยต่อพ่อค้าแม่ค้าเ่าั้ เมื่อได้มุมที่เหมาะสม เธอก็จอดรถเข็นไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ เริ่มลงมือจัดร้านอย่างคล่องแคล่ว
หญิงสาวก่อไฟในเตาถ่านและวางกระทะเหล็ก ทาน้ำมันหมูบางๆ รอจนกระทะร้อนจึงนำแป้งที่เตรียมไว้คลึงเป็แผ่น โรยต้นหอมแล้วม้วนก่อนวางลงกระทะ
ไม่นาน กลิ่นแป้งและต้นหอมอันเป็เอกลักษณ์ก็เริ่มดึงดูดความสนใจของคนที่เดินไปมา
ไม่ใช่ว่าไม่มีคนที่ไม่เคยกินแพนเค้กต้นหอมมาก่อน แต่กลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศตอนนี้ช่างดูแตกต่างออกไปจากที่ผ่านมา…
ชายคนหนึ่งที่เป็หัวหน้าคนงานจากไซต์ก่อสร้าง เขาเดินตรงมาเพื่อไปทำงานตามปกติ จากนั้นก็ถูกกลิ่นหอมล่อลวงระหว่างทาง จนอดใจจะเลี้ยวกลับมาดูไม่ได้
เขาเพิ่งสังเกตเห็นร้านเล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามาในวันนี้ โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังทอดแป้งอย่างคล่องแคล่ว ทักษะของเธอดูชำนาญมากจนเหมือนนิ้วของเธอกำลังเต้นรำ ขณะที่คลึงแป้งไปมาให้เป็แผ่นกลม
ชายวัยกลางคนจ้องมองแพนเค้กในกระทะที่เริ่มเหลืองกรอบได้ที่ ด้วยความสงสัยว่าทำไมด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเป็ธรรมดานี้ ทำไมถึงให้ความรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาได้นะ?
ถึงขั้นทำให้ััได้ถึงความเหนือชั้นบางอย่าง?
หากเสิ่นเมิ่งเฟยได้ยินเสียงในใจของเขา เธอก็คงจะตอบได้เพียงว่า ทั้งหมดล้วนเป็พรจากทักษะของระบบยังไงล่ะ!
