"เวยเวย...หลานรักของทวด"
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้จ้าวเวยเวยที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวหันไปมอง เธอเห็นร่างของคุณย่าทวดจ้าวม่านฉีที่ควรจะนอนป่วยอยู่ที่บ้าน แต่กลับมาอยู่ที่นี่ในชุดกี่เพ้าที่ดูแข็งแรง ท่านกำลังยืนยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งมาให้เธออยู่ไม่ไกล
"คุณย่าทวด! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าท่านไม่สบายหรือคะ!" จ้าวเวยเวยถามด้วยความใและสับสน
จ้าวม่านฉียังคงยิ้มอย่างอบอุ่น "หลานรักของทวด ถึงเวลาที่หลานจะต้องไปแล้วนะ ย่ามารับ"
จ้าวเวยเวยมองไปที่ร่างของตัวเองที่นอนจมกองเือยู่บนพื้นถนน ก่อนจะหันกลับมามองย่าทวดด้วยความสงสัย
"คุณย่าทวดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ หรือว่า...คุณย่าทวดก็...?"
จ้าวม่านฉีพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่หลานสาวกำลังคิด "เวลาของย่าในโลกนี้ ได้หมดลงไปพร้อมกับหน้าที่ของย่าแล้ว และหน้าที่สุดท้ายของย่าก็คือการพาหลานไปส่ง"
"คุณย่าจะพาหนูไปที่ไหนคะ หนูตายแล้วใช่ไหมคะ" น้ำเสียงของเธอสั่นเครือไปด้วยความกลัวและความเศร้า
จ้าวม่านฉีอดสงสารหลานสาวไม่ได้ ที่ต้องมารับภาระอันหนักอึ้งของตระกูล “ใช่แล้ว...หลานรักของทวด อย่าได้เสียใจไปเลยนะ หลานจะได้เจอแม่อีกคนของหลาน เมื่อหลานไปที่นั่น”
“แม่อีกคน? คุณย่าทวดหมายความว่าอะไรคะ”เธอถามคุณย่าทวด
"เมื่อหลานไปถึงแล้ว หลานจะรู้สึกเอง ใกล้ถึงเวลาแล้ว หลานต้องตามย่าทวดไปได้แล้วนะ"จ้าวม่านฉีไม่ตอบคำถามหลานสาว
"ไม่! หนูไม่อยากไป! หนูไม่อยากตาย!" จ้าวเวยเวยร้องไห้ เธอไม่ต้องกลัวว่าจะอายใคร ในเมื่อตอนนี้เธอเป็แค่ิญญา และเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอพ่อ แม่ และน้องสาวอีกแล้ว เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
จ้าวม่านฉีเดินเข้ามาใกล้และโอบกอดหลานสาวเอาไว้ น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความปลอบโยน "ไม่ต้องกลัวนะหลานรัก การไปของหลานในครั้งนี้ เป็การช่วยเหลือตระกูลจ้าวของเรา และยังได้ช่วยเหลือแม่ของหลานอีกด้วย"
"แม่หรือคะ?แม่ที่ว่า…" จ้าวเวยเวยถามอย่างไม่เข้าใจ
"ใช่แล้ว..." จ้าวม่านฉีพยักหน้า "หลานคือลูกสาวคนโตของตระกูล และยังเป็ลูกสาวของ ผู้ที่สาปแช่งตระกูลของเราในอดีตอีกด้วย ภารกิจในครั้งนี้ของหลาน คือการกลับไปช่วยเหลือตัวเอง และแม่ในอดีตของหลาน ให้เธอไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนอดีตที่ผ่านมา"
จ้าวเวยเวยมองหน้าย่าทวดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง "คุณย่าทวดไม่เห็นเคยพูดเื่นี้ให้หนูฟังเลย!?"
"เพราะมันยังไม่ถึงเวลาอย่างไรเล่า แต่ตอนนี้หลานควรได้รับรู้แล้ว" จ้าวม่านฉีกล่าวและจับมือของหลานสาวเอาไว้แน่น เอ่ยต่อว่า "หลานคือความหวังสุดท้ายของตระกูลจ้าว หลานคือคนที่จะสามารถช่วยทุกคนได้"
จ้าวเวยเวยเงียบไปชั่วขณะ เธอจ้องมองไปที่ร่างของตัวเองอีกครั้งด้วยความเ็ป แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจกลับไปช่วยเหลือแม่ในอดีตของเธอ
"หนู...หนูจะทำได้จริง ๆ หรือคะ" เธออดที่จะถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือไม่ได้
จ้าวม่านฉีแย้มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หลานทำได้แน่นอน! หลานคือลูกหลานของตระกูลจ้าว หลานมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเสมอ"
จ้าวเวยเวยพยักหน้า น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเริ่มหยุดลง "ถ้าอย่างนั้น...หนูจะตามคุณย่าทวดไปค่ะ"
ทันทีที่จ้าวเวยเวยพูดจบ ร่างของคุณย่าทวดจ้าวม่านฉีก็เรืองแสงออกมา เธอดึงร่างิญญาของจ้าวเวยเวยให้เข้าไปใกล้ ก่อนที่แสงนั้นจะสว่างจ้าขึ้นจนปกคลุมทั้งสองร่างเอาไว้ และในชั่วพริบตานั้น ร่างของทั้งคู่ก็หายไปจากที่เกิดเหตุ เหลือไว้เพียงความวุ่นวายของผู้คน และเสียงไซเรนรถพยาบาล เสียงไซเรนรถตำรวจ
…
จ้าวเวยเวยนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะได้สติกลับมา ภาพแรกที่เห็นคือหญิงสาวในกระจก
หญิงสาวตรงหน้าสวยสะดุดตา ดวงตากลมโตเป็ประกายแจ่มใสราวกับแสงดาวบนท้องฟ้า แก้มอมชมพูระเรื่อ ขนตายาวงอน เวลากะพริบตาเหมือนผีเสื้อขยับปีก ริมฝีปากอิ่มสีแดงธรรมชาติที่เผยอเล็กน้อย ที่มุมปากมีลักยิ้มเล็ก ๆ เผยให้เห็นเมื่อยิ้มออกมา ดูจากหน้าตาแล้ว เธอคิดว่าหญิงสาวที่อยู่ในกระจกมีอายุไม่เกิด 12-13 ปี
จ้าวเวยเวยยกมือเล็ก ๆ ขึ้น เธอมองมือที่ขาวและบอบบาง นิ้วเรียวยาวสะอาด ก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือนี้ลูบไปตามใบหน้าของหญิงสาวในกระจกอย่างแ่เบา เพื่อยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หลังจากสำรวจใบหน้าและร่างกายใหม่จนมั่นใจแล้ว เธอก็มองไปรอบ ๆ ห้อง
จ้าวเวยเวยกวาดมองไปรอบห้องนอน แสงสลัวลอดผ่านม่านลูกไม้สีขาวบางเบาที่หน้าต่าง กระทบกับผนังสีครีมอ่อน ๆ ที่วาดลายดอกไม้เล็ก ๆ อย่างประณีต นี่ไม่ใช่ห้องนอนที่เธอคุ้นเคยในโลกอนาคต ทุกอย่างดูอ่อนหวานและหรูหราในแบบที่เธอไม่เคยัั
ใจกลางห้องคือเตียงไม้สี่เสาสูงโปร่ง ไม้สีเข้ม ขัดเงาวาว ม่านลูกไม้สีขาวเนื้อละเอียดถูกรวบไว้ข้างเสา เผยให้เห็นผ้าปูที่นอนผ้าไหมสีชมพูอ่อนนุ่มและหมอนอิงหลายใบที่ปักลายดอกไม้ต่าง ๆ อย่างสวยงาม ที่ปลายเตียงมีพรมขนสัตว์สีขาววางอยู่ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มเท้า
ข้างเตียงมีโต๊ะข้างเตียงขนาดเล็กวางโคมไฟตั้งโต๊ะกระเบื้องเคลือบที่มีลวดลายสวยงาม และหนังสือเรียนสองสามเล่ม ถัดไปเป็โต๊ะเครื่องแป้งไม้แกะสลักลวดลายอ่อนช้อยที่เธอกำลังนั่งอยู่ บนโต๊ะมีกระจกเงาบานใหญ่ล้อมกรอบทองเหลือง ขวดแก้วใส่น้ำหอมที่มีดีไซน์แปลกตา กล่องเครื่องประดับ และหวีสับทำจากไม้หอมวางเรียงรายอย่างเป็ระเบียบ
ตู้เสื้อผ้าไม้บานใหญ่สีน้ำตาลเข้มตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง บานประตูแกะสลักลวดลายดอกไม้และนกอย่างวิจิตรบรรจง
ถัดจากตู้เสื้อผ้าเป็มุมนั่งเล่นเล็ก ๆ มีโซฟาบุหนังสีฟ้าอ่อนและเก้าอี้เท้าแขนสไตล์ตะวันตกวางเข้าชุดกัน โต๊ะน้ำชาวางอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะมีชุดน้ำชาลายดอกไม้เคลือบสีหวาน
“นี่ฉันข้ามเวลามาจริง ๆ สินะ!” จ้าวเวยเวยกล่าวกับตัวเอง และมองภาพสะท้อนบนกระจกของตัวเอง จ้าวเวยเวยรู้สึกแปลก ๆ หลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของจ้าวเวยเวยคนนี้ เธอมีความรู้สึกคุ้นเคยกับร่างกายนี้ เหมือนกับว่ามันเป็ของเธอ และห้องนอนแปลกตาห้องนี้ เธอก็ยังรู้สึก...เหมือนเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน?
เสียงเคาะประตูก่อนจะมีเสียงของสาวใช้ดังเข้ามา “คุณหนูค่ะ คุณผู้หญิงให้มาเรียกคุณหนู ให้ลงไปกินข้าวเย็นที่ห้องอาหารค่ะ”
“ฉันรู้แล้ว กลับไปบอกคุณแม่ เดี๋ยวฉันลงไป” จ้าวเวยเวยตอบกลับไปอย่างเคยชิน ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน
“เ้าค่ะ คุณหนู” เสียงสาวใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกกลับไปที่ห้องอาหาร เพื่อรายงานคุณหญิงของบ้าน
…………………………………………………………………………………
แจ้งขอติดถุงแดงนะคะ ในตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันคะ