รถม้ายังคงแล่นไปด้านหน้า สองอาหลานด้านในรถยังคงตื่นตะลึง
ตำราในมือของหยินหัว ด้วยความเลินเล่อจึงตกลงไปกองอยู่บนพื้นรถ เผยอให้เห็นชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าปก ‘รวมกวีขององค์หญิงอี’
“ท่านอารอง เด็กหญิงคนเมื่อครู่ใช่ภูตหรือไม่ ท่านไม่ได้กล่าวว่าม้าป่ามิมีใครจับมันได้ไม่ใช่หรือ ไฉนเ้าม้าป่าตัวเมื่อครู่จึงยอมไปกับเด็กหญิงคนนั้นแล้วเล่า” หยินสงรู้สึกงงงวย ในใจมีคำถามนับร้อยนับพัน
หยินหัวยังคงนิ่งอึ้ง จึงไม่ได้สนใจหลานชายข้างกายตน ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็ตบเข่าฉาดขึ้นทันใด แล้วกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ได้แล้ว ได้แล้ว ทิวทัศน์เมื่อครู่ข้าคิดบทกวีหนึ่งที่ใช้บรรยายมันได้แล้ว คล่องแคล่วว่องไวจนใจหาย แก่นแก้วดูคล้ายัแล่น”
เป็ครั้งแรกที่หยินสงไม่ได้หัวเราะท่านอารองของตนยามร่ายกวี ทั้งยังกล่าวตามซ้ำอีกสองครา “ข้าคิดบทกวีหนึ่งที่ใช้บรรยายมันได้แล้ว คล่องแคล่วว่องไวจนใจหาย แก่นแก้วดูคล้ายัแล่น ท่านอารอง ข้ารู้ว่ากวีบทนี้ใช้พรรณนาถึงนางฟ้า ท่านก็คิดว่านางเป็นางฟ้าเช่นกันใช่หรือไม่ หรือนางจะเป็ภูตกัน”
“คงมิใช่หรอก บนโลกนี้ไม่มีภูตหรือผีสางอันใด คงเป็เพียงคนบนทุ่งหญ้าเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่าบนทุ่งหญ้าห่างไกลเช่นนี้จะมีคนที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้ายิ่งเฝ้าฝันจะได้เห็นโฉมหน้าขององค์หญิงแคว้นเชินแล้ว”
หยินหัวเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ชาวแคว้นซีไม่ได้เคารพราชวงศ์เท่าใดนัก เพราะการค้าของแคว้นซีเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นกลุ่มที่มีตำแหน่งสูงสุดก็ยังคงเป็ตระกูลพ่อค้าที่ค้าขายมานับร้อยปี อำนาจของราชวงศ์จึงอ่อนแอนัก
ตระกูลหยินนับว่าเป็หนึ่งในสี่ตระกูลที่เรืองอำนาจที่สุด จะว่าไปแล้วองค์หญิงก็นับว่าเป็บุคคลธรรมดาสำหรับเขา
“ข้าไม่สนใจองค์หญิงหรอก เรียนั้แ่เช้าจรดเย็นเช่นนั้นคงเหนื่อยน่าดู ท่านอารองว่าพวกเราจะได้เจอเด็กหญิงบนหลังม้าคนเมื่อครู่อีกหรือไม่ นางงดงามนัก”
หยินหัวที่กำลังดื่มน้ำอยู่ เมื่อได้ยินหลานชายกล่าวว่าเด็กหญิงบนหลังม้างามก็พลันพ่นน้ำในปากพรืดออกมา
หลานชายของเขาเริ่มจะรู้แล้วหรือว่าเด็กหญิงนั้นงามหรือไม่งาม
ทว่าเมื่อครู่ก็ห่างไกลกันถึงเพียงนั้น เขาเองก็ยังเห็นแค่เพียงราง ๆ รู้สึกเพียงว่าท่าทางของนางก็น่ามองดี ทว่ารูปร่างหรือใบหน้ากลับเห็นไม่ชัด อีกทั้งดูท่าก็น่าจะเป็เด็กหญิง ทว่าเขานั้นไม่สนใจเด็กหญิงเท่าใดนัก
“ก็น่าจะเป็ไปได้กระมัง หากเ้าชอบนาง พี่สะใภ้รักเ้าถึงเพียงนี้ ก็ให้ส่งคนมาขอเสียก็สิ้นเื่” หยินหัวตอบเด็กชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หยินสงพลันหน้าแดงก่ำ เมื่อมองหน้าท่านอารองแล้วก็รู้ว่าเขากำลังล้อเลียนตนอยู่ เขาแค่กล่าวว่านางสวย เกี่ยวอะไรกับเื่ขอนางเป็ภรรยากัน หยินสงจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง ไม่สนใจท่านอารองของตนอีกต่อไป
เมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หยินสงจึงเห็นว่ารถม้าไม่ได้วิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าอีกต่อไป แต่กำลังวิ่งอยู่บนถนนเรียบกว้างสายหนึ่ง
รถม้าเมื่อย่ำมาจนถึงถนนเส้นใหญ่ก็ไม่โคลงเคลงดังที่ผ่านมา
ถนนเส้นนี้กว้างขวางนัก ราวกับรถม้าสี่คันจะสามารถวิ่งขนานกันในเวลาเดียวกันได้ ยามนี้หยินหัวไม่ได้อ่านหนังสืออีกต่อไป แต่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นกัน เมื่อรถม้าวิ่งต่อไปอีกสักครู่ ก็เห็นว่าข้างหน้ามีูเาอยู่ลูกหนึ่ง
ูเาลูกนี้อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาราวกับเทพเซียนนำมันมาทิ้งไว้กลางทุ่งหญ้าก็ไม่ปาน ตั้งตระหง่านอยู่เดียวดาย อีกทั้งทั้งสองข้างทางของถนนยังมีผ้าหลากสีโบกสะบัดอยู่มากมาย
ลมบนทุ่งหญ้าโบกพัดแรง ผ้าเ่าั้ยามต้องลมก็ส่งเสียงพึ่บพั่บ มองเห็นแล้วให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์อย่างบอกไม่ถูก
“ท่านอาๆ ท่านว่าคนบนทุ่งหญ้าโง่งมหรือไม่ ท่านยังเคยบอกว่าพวกเขายากจนมากนี่ แล้วเอาผ้าหลากสีมาแขวนเช่นนี้จะไม่เป็การสิ้นเปลืองหรือ” หยินสงเอ่ยถาม
หยินหัวเองก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายเช่นไร ทว่าก่อนมาเขาก็ศึกษามาบ้าง จึงได้รู้ว่าสาเหตุหลักที่ตลาดแห่งนี้สร้างขึ้นก็เพราะที่นี่สามารถทอผ้าขนสัตว์ได้ แต่เหตุผลที่ลึกลับกว่านั้นคือที่นี่สามารถนำอาวุธจากแคว้นจิงมาขายได้โดยตรง
แคว้นจิงมีปัญหาวุ่นวายเื่การควบคุมในแคว้นมานานนับปี ราชวงศ์ของแคว้นก็แก่งแย่งขั้วอำนาจไม่หยุดหย่อน มีคนลอบเอาอาวุธในแคว้นมาขายก็ไม่นับว่าแปลก เพียงแต่เมื่อก่อนนั้นแอบกระจายขายไปยังที่ต่างๆ ไม่เคยขายให้หมู่บ้านห่างไกลครั้งเดียวก็เป็จำนวนมากมายถึงเพียงนี้
“ข้าเคยได้ยินมาว่าคนป่าเถื่อนที่นี่ทั้งล้าหลังและเบาปัญญา บางทีอาจจะ้าใช้ผ้าพวกนี้มาแสดงฐานะว่าตนร่ำรวยก็เป็ได้ พวกเราไม่จำเป็ต้องสนใจหรอก ถึงอย่างไรเราก็เพียงแค่มาเที่ยวเล่น”
รถม้ายิ่งวิ่งก็ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที บนนั้นบางคราก็มีรถม้าคันอื่นสวนไปสวนมา ทว่าต่างก็วิ่งอย่างเป็ระเบียบอย่างยิ่ง รถขาไปนั้นให้ชิดขวา ส่วนรถขาออกก็ต้องชิดซ้าย
เื่นี้ทำให้ทั้งหยินหัวและหยินสงรู้สึกประหลาดใจนัก คาดไม่ถึงว่าดินแดนรกร้างป่าเถื่อนจะมีระเบียบถึงเพียงนี้
ตลาดนั้นราวกับอยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินก็ไม่ปาน บ้านเรือนปลูกเรียงเป็แนวกากบาทอย่างเป็ระเบียบตั้งอยู่หน้าูเา
ถนนก็กว้างขวางจนสามารถขี่ม้าผ่านได้ หลังตลาดยังมีประตูใหญ่โต ประตูทางเข้านี้มิใช่ฝีมือของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นจากหน้าผาธรรมชาติ จากไกลๆ ยังเห็นได้ว่า้ามีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่าหมู่บ้านไป๋กู่แขวนอยู่
ตลาดแห่งนั้นอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองจริงหรือ ไฉนจึงเล่นใหญ่เล่นโตถึงเพียงนี้เล่า
ทว่าที่นี่ก็มีคนสัญจรไปมาอย่างครึกครื้น หยินหัวไม่ได้เอ่ยปากบ่นอันใด ถึงอย่างไรก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่ควรหาเื่วุ่นวายใส่ตัว
ตามกฎทุกคนต้องจ่ายเงินค่าเข้า แล้วจึงให้คนตรวจสอบก่อนครั้งหนึ่ง จึงจะปล่อยให้เข้าไปได้
ทว่าค่าเข้าก็ใช้เงินน้อยนัก ใช้เพียงแค่สิบอีแปะ เงินสิบอีแปะหากจะใช้เข้าเมืองย่อมไม่มีทางเสียดาย
หยินหัวคิดว่าที่พวกเขาเก็บเงินจำนวนนี้คงเพียงเพราะอยากจะตรวจสอบคนเข้าออกเท่านั้น เพราะเพียงแค่สิบอีแปะ กระทั่งชาวนาที่เดินอยู่ข้างทางก็ยังจ่ายไหว และก็ไม่แน่ว่าชาวนาเ่าั้ก็อาจจะเข้ามาเช่นกัน ทว่าหากไม่เก็บเงินสิบอีแปะนี้ คนที่มาก็คงจะไม่มากถึงเพียงนี้
หากละเว้นค่าเข้า ทุกคนย่อมต้องคิดว่าจะมาหรือไม่มาก็ย่อมได้ ทว่าหากต้องเสียเงิน ทุกคนย่อมจะกระตือรือร้นนำเงินมาจ่ายให้อย่างแน่นอน
หยินหัวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
เื่ที่ตลาดแห่งนี้เก็บค่าผ่านทางสิบอีแปะ แม้จะเป็เื่เล็ก ทว่าเขาราวกับกำลังได้เห็นเงาของหอซีโหลวในแคว้นซีของเขาเลยทีเดียว
เมื่อเข้ามาในตลาดแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่ช่างคึกคักผิดปกติ
ด้านนอกยังคงเป็ทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ทว่าด้านในกลับแน่นขนัดไปด้วยฝูงชนราวกับเป็เื่ปาหี่อย่างไรอย่างนั้น
หากไม่ได้มาเห็นกับตาตนเอง เขาคงคิดว่านี่เป็ปาฏิหาริย์แน่
ในตลาดสร้างถนนไว้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ความจริงก็เพื่อให้รถม้าสามารถวิ่งเข้ามาได้ ทว่าเพื่อความสะดวก พวกเขาจึงเลือกจอดรถม้าไว้ที่ลานจอดที่สร้างไว้เป็พิเศษเพื่อรถม้า แล้วจึงเดินไปแทน
สองอาหลานออกเดินไป ด้านหลังยังมีบ่าวรับใช้ตามมาอีกสองคน ดูแล้วเหมือนคุณชายทั่วไปที่กำลังเดินตามถนน ทันใดบนถนนกว้างก็มีคนเป่านกหวีดขึ้นเสียงแหลมราวกับอินทรีที่กำลังกู่ร้อง เมื่อสิ้นเสียงในชั่วพริบตาก็มีกลุ่มคนบนหลังม้าปรากฏกายขึ้น
กลุ่มคนบนหลังม้าที่มาถึงนั้นมีกันเพียงห้าคน ทว่าทุกคนกลับสวมอาภรณ์สีดำแบบเดียวกัน ทั้งบนอาภรณ์ของทุกคนยังปักรูปอินทรีไว้ตัวหนึ่ง ทุกคนดูแล้วช่างเหมือนกันหมด ทั้งยังมีไอสังหารที่กำลังโอบล้อมมาเช่นเดียวกัน
หยินหัวก็ยังไม่วายสังเกตเห็นว่าหนึ่งในกลุ่มคนชุดดำที่สวมหน้ากากขี่ม้ารั้งอยู่ท้ายแถวนั้น แท้จริงแล้วเป็สตรีนางหนึ่ง
สตรีนางนั้นมีท่อนขาเรียวยาว รูปร่างแข็งแรง แม้ไม่เห็นใบหน้าก็ย่อมรู้ได้ว่าเป็โฉมงาม ส่วนหยินสงยามเห็นคนกลุ่มนี้กลับรู้สึกว่าพวกเขานั้นหล่อเหลาเหลือเกิน อาภรณ์ที่คนเ่าั้สวมก็ล้วนดูดี เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเป็บุรุษ
“ท่านอารอง ท่านอารอง ข้าชอบการแต่งกายเช่นนี้นัก ท่านซื้อชุดแบบนี้ให้ข้าสักชุดเถิด” หยินสงดึงเสื้อออดอ้อนท่านอาข้างกาย
เขาไม่ชอบชุดที่ท่านแม่เตรียมมาให้ สีฟ้าอ่อนเ่าั้ดูแล้วอย่างกับสตรี ทั้งชุดเหล่านี้ยังอบธูปหอมมาอีก ช่างไม่ต่างอะไรกับสตรีเลยจริงๆ
ชายชราที่ยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น “พ่อหนุ่มเอ๊ย เสื้อผ้าเช่นนั้นหาซื้อไม่ได้หรอก มันเป็ชุดสำหรับหน่วยลาดตระเวนของหมู่บ้านไป๋กู่”
