เมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปอย่างเร่งรีบ หว่านฉือรู้ดีว่าเขาจะไปหาอวิ๋นอี้
ใน่สามปีที่นางจากไป หัวใจของเขาถูกโดยอวิ๋นอี้
ยกโทษให้นางด้วยที่นางทนดูมิได้จริงๆ พระชายาที่ด้อยกว่านางในทุกด้านมีความดีกระไรกัน ที่สามารถทำให้หรงซิวหลงใหลเช่นนั้นได้
ต้องรู้ก่อนว่าเมื่อก่อนหรงซิว ใส่ใจและรักนางมาก
บุรุษพึ่งพามิได้กันสักคนจริงๆ หรือ?
หว่านฉือนั่งอยู่ริมเตียง ถอนหายใจยาว
มีการเคลื่อนไหวจากทางประตูห้อง นางเงยหน้าขึ้น เห็นสาวใช้เหลียนเหอมองดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยกกระโปรงขึ้นแล้วเดินเข้ามาช้าๆ
หว่านฉือยักคิ้วมองเหลียนเหอ นางเข้าใจแล้วบอกคนด้านนอกว่าคุณหนู้าพักผ่อน จากนั้นจึงปิดประตู
“กลับไปแล้วหรือ?”
“เขาไปที่เรือนอื่น ไปหาพระชายาเจ็ดเพคะ” เหลียนเหอรู้ว่านางถามถึงหรงซิวพลันถามอีกครั้งด้วยความเป็กังวล “คุณหนูเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? น้ำเย็นเช่นนั้น ข้าเกรงว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว”
“ทนไม่ไหวก็ต้องทน” หว่านฉือกัดฟันกรอด "มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้เข้าจวนเขา!"
เหลียนเหอกัดริมฝีปาก พูดอย่างลังเลมาก "ทว่า...ตามสถานะของคุณหนู จะต้องยอมไปเป็สนมขององค์ชายเจ็ดนะเพคะ จะไม่เป็การลดตัวหรือเพคะ ”
“เ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็สนมไปตลอดงั้นหรือ?” หว่านฉือพ่นลม “สามปีก่อน ตำแหน่งพระชายาเคยเป็ของข้า สามปีต่อมาข้าเพียงแค่เอาของของข้าคืน จะเอากลับมาให้หมดทีละอย่าง"
ตำแหน่งพระชายาเป็ของนาง หรงซิวก็เป็ของนางเช่นกัน
อวิ๋นอี้ครองตำแหน่งนั้น เท่ากับเป็การขวางทาง จะต้องจัดการ อวิ๋นอี้จะต้องชดใช้
นางได้ครองตำแหน่งสามปีก็มากพอแล้ว
เหลียนเหอกังวลใจ ยังคงไม่มีความมั่นใจ “แต่คุณหนูเ้าคะ...ข้าคิดว่า...”
“เ้าคิดกระไร?” สายตาคมกริบกวาดไป แฝงไปด้วยความดูถูกเล็กน้อย “คิดว่าหรงซิวมิได้ชอบข้าแล้วหรือ?”
“มิใช่เ้าค่ะ...” เหลียนเหอจะกล้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร นางใจึงก้มลงคุกเข่า อ้อนวอนขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงอ่อน “มิใช่นะเพคะ! ข้าเพียงคิดว่าองค์ชายดูจะใส่ใจพระชายามาก คุณหนู...”
หว่านฉือยกนิ้วขึ้นกรีดกรายเส้นผมของนาง คว้าผมมาด้านหน้า แล้วใช้นิ้วลูบเบาๆ
นางดูภูมิใจและเย้ยหยัน “เมื่อก่อนหรงซิวก็ใส่ใจข้ามากเช่นกัน ข้าจะกลัวไปทำไม? อวิ๋นอี้ดีกว่าข้าตรงที่ใดบ้างหรือ? นางเป็แค่ตัวคั่นเวลาในยามที่หรงซิวเหงา นางเป็แค่ตัวแทนของข้า ในตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว ตัวแทนที่มิมีประโยชน์ใด หรงซิวจะใส่ใจนางอย่างไรก็ต้องกลับมาอยู่ข้างกายข้า! รู้หรือไม่!”
"ข้ารู้...ข้ารู้เ้าค่ะ..." เหลียนเหอใ ไม่กล้าแม่แต่จะเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปเฝ้าดูสองผู้นั้นก่อนนะเพคะ?”
“ไปเถิด อย่าให้ผู้ใดรู้เล่า”
เหลียนเหอรีบลุกขึ้น และในตอนที่จะออกไปก็ถูกเรียกไว้อีกครา
เสียงเบาๆ ของหว่านฉือ ดังมาจากด้านหลังอย่างช้าๆ “ข่าวลือพวกนั้นที่ให้เ้าไปปล่อย อย่าลืมจัดการให้เรียบร้อย ข้าได้ยินมาว่าหรงซิวตรวจสอบอยู่ ข้ามิอยากให้สาวมาถึงข้าได้”
“คุณหนูอย่าได้กังวลเพคะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
"อืม..." ได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว หว่านฉือก็ยืนขึ้น โบกมือให้นาง "ออกไปเถิด"
เหลียนเหอเดินออกมา ถอนหายใจแล้วถึงได้เดินออกไป และมุ่งหน้าไปยังเรือนอื่น
นางหวนคิดถึงสามปีที่ผ่านมา
เดิมคิดว่าคุณหนูต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าใช้เวลารักษากับเซียนหมอสามปี อาการป่วยของคุณหนูดีขึ้นเรื่อยๆ แต่นิสัยของคุณหนูยิ่งร้ายขึ้นเรื่อยๆ
ในอดีตนางเป็คนอ่อนโยน ใจกว้างก็กลับกลายเป็คนเห็นแก่ตัวและเ้าเล่ห์
ดูเหมือนจะมิรู้จักนางแล้ว
เห้อ......
ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็แค่ทาส คุณหนูเป็เ้านาย จะด่าว่านาง นางก็ทำได้เพียงอดทน
เหลียนเหอจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คิดมากเกินไป จึงมิได้สังเกตว่าข้างหน้านางมีคน นางจึงชนเข้าอย่างจัง
“ไอหยา!”
ชนโดนจมูกเจ็บจนน้ำตาไหล นางเอามือปิดจมูกแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธเคือง กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็หรงซิว
“อง...องค์...องค์ชายเจ็ด!”
เหลียนเหอประหลาดใจมาก นางรีบมองไปรอบๆ มาถึงอีกเรือนโดยมิรู้ตัว ทว่าที่แปลกไปกว่านั้นคือ เมื่อครู่หรงซิวมิได้ไปหาพระชายาหรือ เหตุใดถึงยังไม่เข้าไปอีก?
หรงซิวชำเลืองมองนาง พ่นลมหายใจเบาๆ "ลุกขึ้นเถิด!"
"ขอบพระทัยเพคะ..." เหลียนเหอพูดเสียงเบา "ฝ่าามาหาพระชายาใช่หรือไม่เพคะ เหตุใดยังไม่เข้าไปเล่าเพคะ มิรู้ว่าอยู่ที่ใดหรือเพคะ? เดี๋ยวข้านำไปนะเพคะ”
หรงซิวมิรู้ตำแหน่งของอวิ๋นอี้จริงๆ รู้เพียงว่านางอยู่อีกเรือนหนึ่ง ทว่าเมื่อมาถึงอีกเรือน ก็พบว่าพื้นที่กว้างเกินไป
หากเขาจะเข้าไปดูเองทีละห้อง คงจะเสียเวลามาก
ข้อเสนอของเหลียนเหอถือเป็การให้ถ่านกลางหิมะ [1] เขารีบพูดตามนั้น "เช่นนั้นเ้านำทางเถิด”
ด้วยความช่วยเหลือของนาง หลังจากเดินไปสักพัก หรงซิวก็ได้มายืนอยู่หน้าห้อง
เขามองให้เหลียนเหอเดินออกไป แล้วเคาะประตูเอง
“ผู้ใดกัน!” เสียงไม่พอใจของอวิ๋นอี้ดังมาจากข้างใน "มิรู้หรือว่าข้ากำลังอารมณ์เสีย!"
ฟังน้ำเสียงของนาง ปากที่เกร็งอยู่ของหรงซิวผ่อนคลายออก แต่กลับเปลี่ยนเป็เส้นตรงอีก เพราะเขานึกถึงหว่านฉือ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด
“ไม่พูดหรือ?” อวิ๋นอี้ในห้องขมวดคิ้ว นางเงยหน้าขึ้น ถือพู่กันอยู่ในมือ มองจากแสงแล้ว ที่ประตูน่าจะมีคนสิ “ถ้าจะไม่พูดกระไรก็ไม่ต้องเคาะ!”
หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว
ไทเฮาลงโทษกระไรไม่ลงโทษ กลับลงโทษให้นางคัดหนังสือ
นางเขียนอักษรแต่ละตัวก็ยากจะตายอยู่แล้ว ให้มาคัดหนังสืออีกนี่มันฆ่านางชัดๆ
น่าสงสารนางที่ต้องตายทั้งที่อายุน้อย เพราะต้องคัดหนังสือ หากวันหนึ่งมีเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ นางคงจะเป็ผู้ที่ตายได้อย่างน่าอนาถที่สุด
“อวิ๋นเออร์ ข้าเอง" หรงซิวเปล่งเสียง ทำให้นางวางพู่กันลงทันใดแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
เมื่อนางเปิดประตูไปก็เป็บุรุษของนางจริงๆ
นางคิดอยู่ว่าเงาที่ได้เห็นเมื่อครู่คุ้นตามาก
“มาแล้วหรือเพคะ!” อวิ๋นอี้มาจูงมือเขาพาเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้ม หรงซิวประหลาดใจกับความกระตือรือร้นอย่างกะทันหันของนาง ไม่พูดกระไรจนกระทั่งถูกนางกดลงบนโต๊ะ เขาถึงได้เข้าใจความหมายของนาง
ทำตัวน่ารักหวังผลสินะ
“ฝ่าา ท่านเก่งไปเสียทุกเื่ งั้นช่วยข้าคัดหน่อยสิเพคะ ดูสิเพคะข้าคัดเองได้เพียงนี้ ถ้าจะให้คัดร้อยรอบ จะต้องถึงปีจอเดือนมะแม [2] แน่ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! หากจะต้องคัดอีกร้อยรอบ ข้าต้องหมดแรงตายเป็แน่!” นางพูดอ้อนอย่างน่าสงสาร
“ได้สิ” หรงซิวคว้ามือของนาง เห็นว่าเลอะหมึกดำเต็มไปหมดก็อดมิได้ที่จะยิ้ม “เมื่อก่อนเ้าเคยชอบเขียนหนังสือ วาดรูปมากที่สุดเลยนะ”
อวิ๋นอี้พูดขึ้นทันที “เป็เพราะว่าเมื่อก่อนชอบมากไงเพคะ ตอนนี้ถึงไม่ชอบแล้ว คนเราต้องเปลี่ยนกันบ้างจริงหรือไม่”
“อื้ม อวิ๋นเออร์พูดถูก” หรงซิวลุกขึ้น มองออกไปข้างนอก “ตอนนี้เรากลับบ้านกันเถิด เมื่อครู่ท่านย่าพูดแล้วว่าเ้ากลับไปเขียนที่บ้านได้”
“เช่นนั้นกลับบ้านฝ่าาต้องช่วยข้าเขียนนะเพคะ” นางไม่ลืมเสนอเงื่อนไข
“แน่นอนสิ หากข้าไม่เขียนแล้วจะให้เ้าเขียนหรือ?” เขายิ้มแล้วเอามือของนางมาแตะริมฝีปากตัวเองแล้วจูบลงแ่เบา “ถึงเ้าจะยอมได้ แต่ข้ายอมมิได้หรอก มือเล็กๆ นี้มีไว้เพื่อตีข้า มิใช่มีไว้เพื่อเขียนหนังสือ"
อวิ๋นอี้ถูกเกลี้ยกล่อมจนหน้าชื่นตาบาน ทำให้ความคับข้องใจที่ได้รับในจวนหว่านฉือกับความโมโหเล็กๆ สลายหายไปจนหมด
เชิงอรรถ
[1] ให้ถ่านกลางหิมะ 雪中送炭 หมายถึง ให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที
[2] ปีจอเดือนมะแม 猴年马月หมายถึง วันเวลาที่ไม่มีจริง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้