แน่นอนว่าโจวหลู่ชิงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเหยียนอู๋อวี้ ในเมื่อนางเอ่ยถึงเื่นี้แล้ว เขาจึงเป่าปากด้วยท่าทีโล่งใจและกล่าวว่า “ทางไทเฮาลงมือไม่ง่ายนัก เสนาบดีเหยียนเป็คนจัดการเื่พันธมิตรมาโดยตลอด หนังสือสัญญาพันธมิตรคาดว่าคงอยู่ในจวนเสนาบดี เพียงแต่ในจวนมีองครักษ์คุ้มกันแ่าและมีทหารม้าเกราะดำคอยปกป้องอยู่ หลายปีมานี้ข้าคิดหาวิธีมาโดยตลอด ทว่าจวนเสนาบดีคุ้มกันหนาแน่น ไม่สามารถแอบเข้าไปได้เลย”
“ทหารม้าเกราะดำ?” เหยียนอู๋อวี้ขมวดคิ้วแน่น “เสนาบดีเหยียนฝึกทหารม้าเกราะดำั้แ่เมื่อใด?”
โจวหลู่ชิงส่ายศีรษะ “เป็ทหารม้าเกราะดำของแม่ทัพเมื่อตอนนั้น”
“แล้วตกไปอยู่ในมือเสนาบดีเหยียนได้อย่างไร?” เหยียนอู๋อวี้ใสุดขีด ทหารม้าเกราะดำของตระกูลอวิ๋นภักดีต่อตระกูลอวิ๋นเสมอมา และมีความเกลียดชังเสนาบดีเหยียนอย่างลึกซึ้ง เหตุใดทหารม้าเกราะดำจึงเชื่อฟังคำสั่งจากเขา เป็เื่ที่ยากจะเชื่อจริงๆ
โจวหลู่ชิงก้มศีรษะลง “เื่นี้ก็แปลกสำหรับข้าเช่นกัน เพียงแต่เพราะไม่เคยติดต่อกับทหารม้าเกราะดำและเข้าไปในจวนไม่ได้ จนถึงตอนนี้จึงยังไม่ได้สิ่งใดมา หากนายหญิงตามหาหัวหน้าทหารม้าเกราะดำได้ บางทีอาจตรวจสอบบางอย่างได้”
บิดานางเป็ผู้ก่อตั้งทหารม้าเกราะดำด้วยมือตนเอง ต่อมากองทหารนี้สร้างความดีความชอบด้านการรบในกองทัพ ยามที่ส่งต่อให้นางดูแล ทหารเหลือเพียงแค่สองพันคน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนแข็งแกร่งทรงพลัง ถึงขั้นต้านทานกองทัพห้าหมื่นคนได้
ยามที่นางเดินทัพทำาในปีนั้น บิดากลัวว่าจะเกิดเื่ไม่คาดคิดกับนาง เขาจึงทิ้งไว้ให้นางหนึ่งพันคน ส่วนที่เหลือให้อยู่ในกองทัพชั่วคราว
ตามเหตุผลแล้วการที่มีทหารม้าเกราะดำหนึ่งพันคน เป็ไปไม่ได้ที่ตระกูลอวิ๋นจะถูกสังหารไม่เหลือในคราเดียว ฝ่าออกจากเมืองหลวงยังทำได้ อย่างน้อยก็สามารถคุ้มกันออกไปได้ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน
สุดท้ายทหารม้าเกราะดำของนางก็ถูกคนฆ่าตาย เหลือเพียงสิบกว่าคนที่หลบหนีออกไปได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว และทหารม้าเกราะดำนับพันที่อยู่ในมือบิดาก็ยิ่งไม่มีปัญหาหากพวกเขาสองพ่อลูกเป็ผู้สั่งการ
ทว่าไฉนสุดท้าย...…
ปีนั้นเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่?
ในใจเหยียนอู๋อวี้เกิดความสงสัย ทว่านางมั่นใจมากว่าตนเองต้องไปจวนเสนาบดีแห่งนี้สักรอบ!
เมื่อคิดถึงเื่เหล่านี้ นางนึกถึงเื่บางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยปากถาม “เหตุใดมือซ้ายของฉีตงหยวนจึงถูกคนตัดเอ็นมือขาด?”
โจวหลู่ชิงเผยสีหน้าสงสาร “หลังจากท่านแม่ทัพเกิดเื่ ฉีตงหยวนเคยคิดจะไปกราบทูลฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง ทว่ากลับถูกมหาบัณฑิตฉีห้ามไว้ เขาถูกบังคับไม่ให้ออกหน้าเพื่อความปลอดภัยของทั้งตระกูล ไทเฮาถึงพอใจที่เขารู้สถานการณ์ของตระกูลฉี หลังจากเื่ตระกูลอวิ๋นสงบลงแล้วจึงสั่งให้ฉีตงหยวนฝึกทหาร จากนั้นก็ส่งเขาไปกำราบาที่แคว้นชายแดนเล็กๆ ฉีตงหยวนเพิ่งตั้งหลักได้ ขณะอยู่ในกองทัพเขาก็พยายามค้นหาหลักฐานที่ตระกูลอวิ๋นถูกใส่ความอย่างไม่เป็ธรรม ต่อมาในาวุ่นวายครั้งหนึ่งเขาถูกคนลอบโจมตีตัดมือซ้าย โชคดีที่หมอหลวงซางต่อมือเขากลับไปใหม่ได้อีกครั้ง นับแต่นั้นเป็ต้นมาเขาก็ถือกระบี่ไม่ได้อีก ต่อมาฮ่องเต้จึงส่งเขากลับมาเป็แม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์”
เหยียนอู๋อวี้ใจนพูดไม่ออกอยู่นาน เขาถูกคนลอบโจมตีในา อีกฝ่ายไม่ได้ตัดมือขวา แต่กลับตัดมือซ้ายที่เขาถืออาวุธ เื่นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน!
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าสงสัย “ทว่าเขาก็ยังถือกระบี่ด้วยมือขวาได้”
โจวหลู่ชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตือนเสียงเบา “ไม่รู้ว่านายหญิงฝึกวรยุทธ์หรือไม่ ในฐานะคนที่ฝึกวรยุทธ์ การโจมตีในครั้งนี้ไม่เพียงตัดมือซ้ายเขา ทว่ายังตัดความศรัทธาในใจเขาไปด้วย”
หลังจากเหยียนอู๋อวี้เงียบไปนานพลันเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “นางกำนัลที่ท่านมอบให้ข้าวันนี้เชื่อใจได้หรือไม่?”
โจวหลู่ชิงพยักหน้าทันที “กระหม่อมเป็คนฝึกเองกับมือ แม้ฉายเหรินส่งไปทำงานที่อื่น พวกเขาพอมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้าง สามารถปกป้องนายหญิงใน่วิกฤตได้พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้เข้าใจแจ่มแจ้งจึงมิได้เอ่ยอันใดอีก
โจวหลู่ชิงยืนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มอบหมายสิ่งใดอีกจึงคิดจะเปิดปากขอตัวจากไป ทว่ากลับไม่คาดคิดว่านางจะเงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงเบา “ท่านโจว ใช้เนื้อวัวเถิด”
สีหน้าของโจวหลู่ชิงแข็งค้าง ภายในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด จากนั้นพลันเห็นนางยืนขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้เขา ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ต่อมาข้าแอบฆ่าวัวฆ่าแกะของชาวหูในกองทัพ พบว่าเนื้อวัวอร่อยกว่าเนื้อหมู น่าเสียดายที่แคว้นต้าเซวียนสั่งห้ามฆ่าวัว เว้นเสียแต่ท่านจะเข้าสนามรบ มิฉะนั้นเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มชิมรส”
ท่าทางของโจวหลู่ชิงที่แต่เดิมงองุ้มนอบน้อมเล็กน้อยพลันยืดตรงเป็ไม้บรรทัดทันที ดวงตาเปล่งประกายแปลกประหลาด เขามองสตรีเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
ปีนั้นยามที่เขาออกจากจวนอวิ๋นไปทำหน้าที่อื่น นางยังเป็เพียงแค่เด็กหญิงตัวน้อย แม้ยังไม่เติบใหญ่ แต่ปานบนใบหน้านั้นกลับไม่เคยจางหายไป ทว่าสตรีเบื้องหน้างดงามเลอโฉม เขาไม่มีทางหาเงาคนคนนั้นในความทรงจำจากร่างนางได้เลย
ทว่าเขากลับต้องสงสัยอย่างยิ่ง นางรู้เื่ราวเหล่านี้ได้อย่างไร หากมิใช่เพราะนางเคยผ่านประสบการณ์ในสนามรบมาด้วยตนเอง
เหยียนอู๋อวี้พอใจกับการแสดงออกของเขายิ่งนัก นางยกยิ้มมุมปากเหมือนเด็กน้อยในปีนั้น “ข้ารู้ว่าท่านมีความสงสัย วันหลังท่านจะเชื่อเอง ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ทำให้บิดาข้าผิดหวัง และช่วยข้าล้างแค้นให้สำเร็จ”
โจวหลู่ชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ตลอดทางกลับเรือนเขายังคงรู้สึกมึนงงปนสงสัยไม่หาย
ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับมิได้รู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนเขา
นางนึกขึ้นมาได้ว่าปีนั้นตนเองเคยถามบิดาว่าหากตระกูลอวิ๋นมีภัย นางควรทำอย่างไร?
เวลานั้นนางยังไม่ได้พบกับซ่งอี้เฉินและสมองก็ยังไม่เลอะเลือน เมื่อนางคิดถึงเื่นี้ เพียงเพราะได้ยินเื่การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดในราชสำนัก และเป็ห่วงตระกูลอวิ๋นอย่างไร้เดียงสาก็เท่านั้น
บิดากลับพึงพอใจมากและบอกตรงๆ ว่านางโตแล้ว บิดาจึงพานางไปห้องหนังสือ เรียบเรียงรายชื่อคนในแคว้นจ้าวและคนในตระกูลฉี ระหว่างนั้นยังมีรายชื่อบางส่วนเรียงต่อๆ กัน สุดท้ายยังมีอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งก็คือโจวหลู่ชิงนั่นเอง
ในเวลานั้นนางนึกถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของคนสำคัญในวัยเด็ก ในใจอยากรู้อยากเห็นมากว่าทำอย่างไรจะได้เป็เหมือนคนที่บิดาเชื่อใจ
ทว่าบิดากลับหยิบรายชื่อขึ้นมา จากนั้นพลันจุดไฟเผาพลางทอดถอนใจหนึ่งประโยค “หวังว่าจะไม่ต้องใช้มันตลอดไป”
ต่อมาความเป็ห่วงที่ไร้เดียงสานั้นกลับกลายเป็จริง
บิดาเลี้ยงดูบุตรสาวได้ไม่ดีพอ เป็นางที่ผลักตระกูลอวิ๋นไปสู่ทางตันด้วยมือตนเอง
ความทุกข์ทรมานในยามนี้นางสมควรได้รับมันแล้ว
สมควรได้รับกรรม!
ทว่าตระกูลอวิ๋นเป็ผู้บริสุทธิ์
นางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลอวิ๋นทั้งหมด
เหยียนอู๋อวี้เก็บซ่อนความรู้สึกสำนึกผิดที่โหมกระหน่ำอยู่ในใจแล้วเรียกป้าโฉ่วที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามาถาม “หากเอ็นที่มือขาดแล้ว ยังต่อกลับไปได้หรือไม่?”
ป้าโฉ่วรู้ว่างนางถามถึงผู้ใด “หากต่อในเวลานั้นอาจต่อกลับได้ ทว่าแม่ทัพฉีสูญเสียมันไปนานแล้ว เกรงว่าคงยากมากเพคะ”
“ยากมาก แล้วมีวิธีหรือไม่?” เหยียนอู๋อวี้ได้ยินบางอย่างในประโยคจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ
ป้าโฉ่วพยักหน้าพลางกล่าว “เว้นเสียแต่เปิดแผลอีกรอบแล้วต่อใหม่ ทว่าคนธรรมดาอาจทนไม่ไหวเพคะ”
นั่นมันโหดร้ายเกินไปแล้ว มือซ้ายใช้การไม่ได้ เขาจึงฝึกกระบี่ด้วยมือขวา ทว่าโจวหลู่ชิงพูดถูก ความศรัทธาในใจถูกตัดขาดไปพร้อมกัน ยากเกินกว่าที่จะต่อขึ้นมาใหม่
ป้าโฉ่วที่อยู่ด้านข้างกล่าวเตือนเสียงเบา “นอกจากนี้ ต่อให้คุณหนูมีวิธี ตอนนี้แม่ทัพฉีก็อาจจะยังไม่เชื่อใจคุณหนู”
เหยียนอู๋อวี้ถอนหายใจแล้วเอนกายพิงข้างเตียง เื่ที่ป้าโฉ่วพูดนั้นเป็ความจริง
ผู้หนึ่งเป็นางสนม ผู้หนึ่งเป็แม่ทัพ ยามนี้นางกับเ้าลิงน้อยเป็เพียงแค่คนแปลกหน้า หาก้ารักษาเ้าลิงน้อยก็ต้องหาวิธีเข้าใกล้เขาให้ได้
การเข้าใกล้เขากลับเป็ปัญหาที่ยากแก้ไข ตัวตนของพวกเขาทั้งสองคนเป็ประเด็นอ่อนไหวมากเกินไป เมื่อเวลาผ่านไปกลับจะทิ้งจุดอ่อนไว้ให้ผู้อื่นจับพิรุธได้
เพราะสาเหตุนี้นางจึงยิ่งเกลียดชังคนในวังหลวง
เ้าลิงน้อยถูกศัตรูลอบโจมตีตัดเอ็นที่มือง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เห็นได้ชัดว่าคนในราชวงศ์กลัวว่าเขาจะค้นพบบางอย่างเข้าจึงคิดจะปิดปากเขา เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะโชคดีเช่นนี้ และเนื่องจากตัวตนกับความดีความชอบด้านการรบของฉีตงหยวน พวกเขาจึงไม่ได้ลงมือสังหารเพราะกลัวว่าขุนนางจะรู้สึกผิดหวังและประชาชนจะไม่พอใจ
หากเป็อุบัติเหตุ ซางจือิจะต่อเอ็นมือที่ขาดแล้วไม่ติดได้อย่างไร?
ดูแล้ว ความโง่เขลาของนางทำร้ายมากกว่าตระกูลอวิ๋น
แม้คิดจะชดเชยสิ่งที่กระทำลงไป ทว่าสุดท้ายแล้วก็ก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเอาตนเองไม่รอด จะให้เอากำลังที่ไหนไปชดเชย
พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก พระจันทร์เต็มดวงแล้วก็หายไป นางเหลือเวลาไม่มากแล้ว