แม่นมฮวาออกไปนำของที่องครักษ์มอบให้เข้ามา ซูจิ่นซีจึงลงไปชั้นล่าง
แท้จริงแล้วที่เยี่ยโยวเหยามอบให้เป็สุราหนึ่งไหเล็ก
“หลินเฟิง นี่เกิดอันใดขึ้น? ” แม่นมฮวาถามขึ้น
“ท่านอ๋องพึ่งได้รับสุราดอกสาลี่ขาวมาไม่กี่ไห จึงให้ข้าน้อยนำมาส่งมอบให้พระชายาลองดื่มหนึ่งไห”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง
ซูจิ่นซีไม่แปลกใจ เช้าตรู่เพียงนี้เยี่ยโยวเหยายังให้คนมามอบสุราให้
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาทำเช่นนี้มีความหมายว่าอันใด
หรือเป็เพราะเยี่ยโยวเหยาตระหนักได้ว่าซูจิ่นซีอุตส่าห์ถอนพิษบนร่างกายให้ทว่าเขากลับตอบแทนบุญคุณความแค้นด้วยการทำเื่เช่นนั้น อีกทั้งยังไล่ซูจิ่นซีออกไปอีกในใจพลันเกิดความรู้สึกผิดจึงเปลี่ยนทิศทางมาขอโทษนางหรือ?
ไม่ใช่หรอกกระมัง?
ชั้นเชิงเช่นนี้ราวกับไม่ใช่วิสัยของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีเดาความคิดของเยี่ยโยวเหยาไม่ออก แต่หากทำให้เดาออกได้ง่ายดายเช่นนั้นก็ไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาแล้ว
ซูจิ่นซีไม่คิดนำเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้มาตอกย้ำให้ตนเองไม่ปล่อยวาง
เพราะต่อไปนางยังต้องอยู่ในจวนโยวอ๋องแห่งนี้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีเื่สำคัญมากเื่หนึ่งที่ต้องให้เยี่ยโยวเหยาช่วยเหลืออีกด้วย
“หลิวเฟิง ท่านอ๋องกำลังทำสิ่งใดอยู่? ข้า้าไปแสดงความขอบคุณเบื้องหน้าเขาแล้วก็มีเื่้าจะพูดคุยกับเขาด้วย”
“พระชายา ท่านอ๋องออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”
“ออกไปแล้วหรือ? ” ใยจึงเร็วถึงเพียงนี้ “ท่านอ๋องได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร? ”
ซูจิ่นซีถามออกมาแล้วก็รู้สึกว่าตนเองโง่เล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาเป็ใคร? ออกไปจัดการเื่ด้านนอกจะบอกผู้อื่นไว้ได้อย่างไรยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกใต้บังคับบัญชาเลย
หลินเฟิงส่ายหน้า
ซูจิ่นซีรู้สึกแค้นใจเล็กน้อย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ซูจิ่นซีก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำอีก ในใจพลันนึกถึงเื่ที่เฉินไท่เฟยถูกฮ่องเต้กักตัวให้อยู่ในวังตลอดเวลาตอนนี้นางยังคงสับสนกับเื่พิษตัวกู่ที่ไม่มีเบาะแสอันใดเลย
เื่ของเฉินไท่เฟย เดิมทีหลังจากซูจิ่นซีกลับมาที่จวนก็คิดจะอธิบายกับเยี่ยโยวเหยานาง้าเอ่ยขอโทษต่อหน้าเขาด้วยตนเอง ทว่าไม่มีโอกาสที่เหมาะสมเลย และไม่รู้ด้วยว่าในใจของเยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไรเช่นกัน
เมื่อนึกถึงเื่เหล่านี้ ภายในใจซูจิ่นซีที่วิตกกังวลอยู่แล้ว ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก
ในเมื่ออยู่เฉยๆที่เรือนอวิ๋นไคแล้วรู้สึกกังวลจนนั่งอย่างไรก็นั่งไม่ติดซูจิ่นซีจึงคิดออกไปเดินเล่น บางทีแมวที่ตาบอดอาจชนเข้ากับหนูที่ตายแล้ว [1] ก็ได้ นางอาจคิดหาวิธีการอันใดได้ ดีกว่าอยู่แต่ในห้องแล้ววิตกกังวล
“คุณหนู พวกเราจะไปที่ใดหรือเพคะ? ” ลวี่หลีถาม
“ไปเดินเล่น ลวี่หลี เ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีที่อยู่ในวังปกติแล้วชอบสิ่งใด? ”
“ชอบสิ่งใดอย่างนั้นหรือเพคะ? เื่นี้... ”
ลวี่หลีสับสนงงงัน
ซูจิ่นซีรู้ว่าคำถามที่ถามนั้นดูกว้างเกินไป ลวี่หลีคงตอบได้ยากด้วยเหตุนี้จึงถามละเอียดขึ้นอีกเล็กน้อย
“อย่างเช่นพวกนางในวังหลังอย่างไรเล่า”
“ชอบพวกอัญมณีเครื่องประดับ ดนตรี หมากรุก หนังสือ ภาพวาด แล้วยังมีชาด [2] แป้งน้ำ อะไรเทือกๆ นี้เพคะ! ทว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน เื่นี้ต้องดูว่าเป็ผู้ใดเพคะ”
ตามที่ซูจิ่นซีได้สังเกตในตำหนักจ้งหวา ฮองเฮาดูไม่เหมือนกับผู้ที่ให้ความสำคัญในอัญมณีเครื่องประดับดนตรี หมากรุก หรือหนังสือ ทว่าภาพวาดนั้น ซูจิ่นซีก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าฮองเฮาจะโปรดหรือไม่ส่วนชาดหรือแป้งน้ำ ดูเหมือนว่าในยุคนี้จะเป็ผลิตภัณฑ์จำเป็ของสตรีเหมือนกับสมัยปัจจุบันที่ใช้เพื่อดูแลผิวหรือแต่งหน้าอันใดทำนองนั้น
“ลวี่หลี ร้านแป้งหอมที่ดีที่สุดในเมืองตี้จิงคือร้านใดหรือ? ที่ขุนนางชั้นสูงและสกุลสูงศักดิ์มักแวะเวียนไปอุดหนุนกระไรทำนองนั้นน่ะ”
“คุณหนู ที่แท้ท่านคิดจะซื้อแป้งหอมหรือเพคะ? ร้านจวีเซียงฟางที่อยู่ทางใต้ของเมืองเพคะของที่นั่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียงแต่ได้ยินมาว่าสิ่งของแพงมาก! เมื่อก่อนในจวนของพวกเรามีเพียงคุณหนูใหญ่ที่สามารถซื้อของที่นั่นได้เพคะ”
“ไป พวกเราลองไปดู! ”
“อะไรนะ? คุณหนู ทว่าพวกเราไม่ได้พกเงินมามากมายเพียงนั้นนะเพคะ! ”
ลวี่หลีเบะปากคว่ำ
เดิมทีสินสอดทองหมั้นที่ฮั่วซื่อมอบให้กับซูจิ่นซีนั้นก็มีไม่มากเท่าไรบัดนี้ล้วนถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว แม้ว่าจวนโยวอ๋องจะให้เงินซูจิ่นซีทุกเดือนทว่าเงินของเดือนนี้ก็ให้มาตั้งนานแล้ว เงินของเดือนหน้าก็ยังมาไม่ถึงเงินเพียงเล็กน้อยเช่นนี้แม้แต่กล่องครีมสีแดงราคาถูกที่สุดในจวีเซียงฟางก็ยังไม่สามารถซื้อได้เลย!
“พวกเราไม่ซื้อ ก็ไปดูได้กระมัง? ”
ซูจิ่นซีอดพูดไม่ได้ จากนั้นจึงตรงไปทางทิศใต้ของเมือง
“แต่ว่า... คุณหนูอาจเจอคนรู้จักนะเพคะ หากเจอคนรู้จักแล้วไม่ซื้อของ ท่านอาจรู้สึกเสียหน้าได้นะเพคะ”
หนังตาของลวี่หลีกระตุกตลอดเวลา นางมักจะครุ่นคิดว่าอาจเกิดเื่อันใดที่ไม่ดีขึ้น
ซูจิ่นซีไม่ได้เอ่ยคำใดอีก ทั้งยังไม่มีคำอธิบายให้กับลวี่หลีว่าตนเองไปทำอันใด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีก็ถึงจวีเซียงฟางที่ลวี่หลีเอ่ยถึงแล้ว
ประตูด้านหน้ามีขนาดใหญ่มากและดูมีราศีมากเช่นกันสมกับเป็ร้านเครื่องหอมที่ดีที่สุดในเมืองตี้จิง การตกแต่งและลักษณะการออกแบบที่เป็เอกลักษณ์หรูหรา แม้แต่พนักงานในร้านก็ล้วนมีชุดเครื่องแบบเป็ของตนเอง อีกทั้งการวางตัวต่อสังคมและการบริการลูกค้าอย่างทั่วถึงอีกด้วย
ทันทีที่ซูจิ่นซีเข้าประตูไปก็มีหญิงงามนางหนึ่งในชุดสีเหลืองออกมาต้อนรับ
“ฮูหยินท่านนี้ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย เป็ครั้งแรกที่มายังร้านกระมัง?ร้านของพวกเรามีชาด แป้งน้ำ ผงหอม น้ำหอมและยังมีพวกอัญมณีเครื่องประดับเล็กน้อยฮูหยินท่าน้าดูสิ่งใดดีเ้าคะ? ”
ซูจิ่นซีมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ
“ข้า้าดูชาด แป้งน้ำแล้วก็น้ำหอมก่อน”
“ได้เ้าค่ะ ฮูหยิน! ของที่ท่าน้าอยู่ทางนี้เชิญเดินตามข้าน้อยมาได้เลย! ”
สตรีผู้นั้นพาซูจิ่นซีและลวี่หลีไปยังที่วางสินค้า “ฮูหยินเชิญท่านดูตามสบาย ชอบสินค้าตัวไหนสามารถบอกข้าน้อยได้ข้าน้อยจะช่วยถือให้เ้าค่ะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า ค่อยๆ ดูตู้สินค้าที่อยู่ด้างข้าง
ลวี่หลีตกตะลึงจนตาค้างพูดอันใดไม่ออกครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่นางมาที่จวีเซียงฟาง
เมื่อก่อนการมายังสถานที่เช่นจวีเซียงฟางนั้น นางไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อนคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสิ่งของที่มีระดับถึงเพียงนี้ ทำให้นางเปิดโลกเสียจริง!
ทันใดนั้น ดวงตาของซูจิ่นซีก็สว่างวาบขึ้น
น้ำหอม?
ในสมัยนี้ คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะเห็นขวดน้ำหอมจริงๆ มันช่างน่าเหลือเชื่อ
“ฮูหยินท่านนี้ สายตาของท่านช่างดีเสียจริงน้ำหอมกลิ่นนี้มีขายเฉพาะในร้านเราเ้าค่ะ ผ่านกรรมวิธีหลายสิบขั้นตอนจึงกลั่นกรองออกมาได้กลิ่นสะอาดบริสุทธิ์ หากท่านชอบ สามารถทดลองได้เ้าค่ะ”
พนักงานหญิงชุดสีเหลืองด้านข้าง มีไหวพริบสายตายอดเยี่ยม นางสามารถััได้ถึงความชอบของซูจิ่นซีนางเอ่ยแนะนำซูจิ่นซีและยังให้ทดลองใช้อีกด้วย
ซูจิ่นซีพ่นน้ำหอมลงบนข้อมือของตนเล็กน้อย นางนึกแปลกใจอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะเป็กลิ่นมู่หลานเซียง [3] ที่นางชอบที่สุดเสียด้วยยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นยังไม่แรงมาก เบาบาง ความเข้มข้นกำลังพอดี กระบวนการกลั่นของยุคสมัยนี้พัฒนาระดับจนสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เหมือนกับน้ำหอมสมัยปัจจุบันทุกประการโดยมิได้คาดคิดเลย
“แม่นาง น้ำหอมขวดนี้ขายเท่าไร? ”
ซูจิ่นซีถาม
“ฮูหยิน น้ำหอมมักเป็สิ่งที่มีอย่างกำจัดในร้านเราเสมอและกลิ่นมู่หลานเซียงนี้ยังได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่โดยเ้าของร้าน ดังนั้นจึงมีจำนวนน้อยมากราคาขายอยู่ที่ขวดละห้าแสนตำลึงเ้าค่ะ”
“กระไรนะ? ขวดเล็กเพียงนี้คาดไม่ถึงว่าจะเอาถึงห้าแสนตำลึง พวกเ้าขี้โกงเกินไปหน่อยกระมัง? ”
ลวี่หลีอ้าปากด้วยความใและะโออกไปตามตรง
จริงอย่างที่นางพูด ขวดน้ำหอมนั้นขนาดยังไม่เท่านิ้วหัวแม่มือในสายตาของคนทั่วไป หนึ่งขวดราคาห้าแสนตำลึงราวกับฝังคนทั้งเป็จริงๆ
เพียงแต่ว่าซูจิ่นซีเข้าใจดี ฝีมือในสมัยนี้กว่าจะสกัดสารน้ำหอมออกมาจากพืชไม้ดอกระย้าได้นั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาก็พูดแล้วว่า น้ำหอมเช่นนี้มีเพียงร้านจวีเซียงฟางของพวกเขาเท่านั้น และยังมีจำนวนจำกัดอีกด้วยไม่แน่ว่าทั่วฟ้าและแผ่นดินนี้อาจมีเพียงขวดนี้ขวดเดียวก็เป็ได้!
เช่นเดียวกันกับของที่หายาก เมื่อนำมาเทียบห้าล้านสองแสนตำลึงกับผลจื่อจูผลเดียวแล้วละก็ห้าแสนตำลึงก็ไม่เท่าไร
ทว่า... ซูจิ่นซีไม่มีเงินจริงๆ นี่! ไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้นจริงๆ !
อย่าพูดว่าห้าแสนตำลึงเลย ตอนนี้บนตัวของนางแม้แต่ห้าตำลึงเงินก็ยังไม่มี
ซูจิ่นซีมองดูน้ำหอมที่นางชอบมากในมือของตน ชอบเสียจนยากที่จะยอมรับ จนแทบจะบีบขวดแตกอยู่แล้ว
“ฮูหยินท่านนี้ หากท่านชอบ ข้าน้อยแนะนำว่าซื้อไปเถิดเ้าค่ะ! นี่เป็ขวดสุดท้ายของร้านเราแล้วนะเ้าคะ! อีกทั้งเ้าของร้านยังบอกอีกว่าหลังจากนี้จะไม่สกัดน้ำหอมกลิ่นมู่หลานเซียงนี้อีกแล้วด้วย! ”
ซื้อ?
เอาอันใดไปซื้อ?
ไม่ซื้อแล้วยังไม่อาจยิมยอมที่จะพลาดมันไป
หัวใจและตับ [4] ของซูจิ่นซีกำลังเ็ปอีกครั้ง
“แม่นาง น้ำหอมขวดนี้ข้ารับไว้แล้ว ข้าจะให้เงินเ้าสิบตำลึงช่วยห่อให้ข้าด้วย! ”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงอันน่าหลงใหลจากสตรีนางหนึ่ง
ซูจิ่นซีหันศรีษะไป...
......
เชิงอรรถ
[1] แมวที่ตาบอดไปชนเข้ากับหนูที่ตายแล้ว คือสุภาษิตจีน หมายความถึง เปรียบเทียบว่าตนเองไม่มั่นใจ ทว่าเพราะความโชคดีหรือความบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ
[2] ชาด คือลิปสติกสีแดงที่หญิงสาวสมัยโบราณใช้แต่งหน้าทาปาก
[3] กลิ่นมู่หลานเซียงคือกลิ่นของดอกแมกโนเลีย
[4] หัวใจและตับ หมายความถึง แก้วตาดวงใจบุคคลอันเป็ที่รัก หรือน้ำใจอันดีงามและการรักความเป็ธรรม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้