พอหลินฟู่อินกลับถึงหมู่บ้านหูลู่ ดวงตะวันก็ร่วงหล่นไปแล้ว แม้จะยังพอเหลือแสงสีแดงจากฝั่งตะวันตกบ้างก็ตาม ความร้อนของฤดูร้อนเองก็เริ่มลดลง แต่เสียงร้องของจักจั่นกลับยิ่งทวีความรุนแรง
ย่าหลี่นิ่วหน้าด้วยความกังวลถึงหลินฟู่อิน นางเฝ้าอยู่หน้าประตูมานานแล้ว เมื่อเห็นหลินฟู่อินแบกของกลับมา ใบหน้าชราก็นิ่วลงอีก
“ทำไมถึงกลับมาช้าขนาดนี้กัน? ตระกูลวังมีเื่ให้ต้องล่าช้าหรือ?” ย่าหลี่ถามหลินฟู่อินด้วยใบหน้าไม่พอใจหลังจากรับนางเข้ามาในสวนแล้ว
หลินฟู่อินยังยิ้มไม่หุบเพราะนางเพิ่งซื้อบ้านและร้านมา แต่เมื่อเห็นย่าหลี่เป็กังวล นางจึงรีบส่ายหน้าทันที “ท่านย่าไม่ต้องกังวล ข้าเพียงเจอเื่ดีๆ จนกลับมาช้าเท่านั้น! เข้าบ้านเถอะ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
พูดจบนางก็พาย่าหลี่เข้าบ้าน โดยย่าหลี่เป็ผู้ปิดประตูหลังเข้าไปแล้ว
ในใจของย่าหลี่เองก็แอบสนใจ นางรู้ดีว่าหลินฟู่อินเป็เด็กที่จิตใจสงบเรียบร้อย พอเห็นนางร่าเริงได้ขนาดนี้จึงรู้สึกสนใจขึ้นมา นางเดาไว้ว่าเพราะนางได้พบกับพี่สาวของตน และได้แม่นมดีๆ มาแล้ว
แต่ทันทีที่เข้าบ้าน หลินฟู่อินกลับยื่นโฉนดสามใบให้ย่าหลี่ดู
ย่าหลี่รับไปดู ดวงตาพลันเบิกโพลง มือไม้สั่นสะท้าน นางเงยหน้าขึ้นแล้วถามหลินฟู่อินด้วยความใระคนดีใจ “หรือว่านี่คือ?”
แม้นางจะรู้อยู่แล้วว่าหลินฟู่อินคิดจะซื้อร้านในเมือง แต่ใครจะไปคิดว่านางจะได้มาทั้งบ้านและร้าน
หากเป็เมื่อก่อน นางคงไม่คิดถึงบ้านและร้านสองแห่งเช่นนี้…
ย่าหลี่ถอนหายใจ ในสมัยนั้น แค่นางมีชีวิตรอดกลับมายังบ้านได้ ก็แทบจะไม่กล้าขออะไรไปมากกว่านั้นแล้ว
หลินฟู่อินไม่อาจรู้ถึงความรู้สึกของย่าหลี่ที่กำลังมองโฉนดอยู่ นางจึงอดกลั้นความตื่นเต้นไว้แล้วกล่าวออกมา “ข้าซื้อมันมาวันนี้ เพราะพอดีเ้าของบ้านอยากขายด่วน ข้าจึงซื้อมา!”
นางซื้อมาเอง!
ย่าหลี่มองนางอย่างเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง แล้วรีบถาม “บ้านกับร้านนี้มีเ้าของคนเดียวกันหรือ? เ้าจ่ายไปเท่าไร? ดูบ้านและร้านนั้นดีแล้วหรือยัง?”
เห็นย่าหลี่ถามคำถามสำคัญทั้งสามตรงๆ ทันทีเช่นนี้ หลินฟู่อินจึงถอนหายใจอย่างสุขใจว่าย่าหลี่ผู้นี้ยังร้ายกาจอยู่จริงๆ
“เ้าของเดียวกันเ้าค่ะ ขายให้ข้ามาในราคาห้าร้อยเก้าสิบตำลึงเงิน ข้าดูบ้านและร้านแล้ว มันดูดีมากเลย!” หลินฟู่อินตอบย่าหลี่อย่างกระชับ
แน่นอนว่าใบหน้าของย่าหลี่เองก็มิได้ตึงเครียดอะไรนัก นางกำลังดีใจกับหลินฟู่อินเสียมากกว่า หลังจากที่คู่ย่าหลานคุยกันอย่างตื่นเต้นเื่บ้านและร้านไปได้ครู่หนึ่ง ย่าหลี่ก็ถามถึงผู้เป็พี่สาว หลินฟู่อินจึงบอกไปว่าฉินหมัวมัวจะแนะนำหลานมาเป็แม่นมให้
“หลานสาวหรือ?” ย่าหลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงดูร่าเริงขึ้นมา นางเข้าใจสิ่งที่พี่สาวคิดแล้วพยักหน้าออกมาทันทีด้วยรอยยิ้ม “เป็เช่นนั้นก็เยี่ยมมาก แม้แม่นมที่ว่าจะให้นมไม่ได้ แต่ด้วยความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ก็ถือว่าเหมาะสมในการดูแลเด็ก”
หลินฟู่อินเห็นด้วยกับนาง กล่าวอย่างพอใจ “ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันเ้าค่ะ”
แม้จะยังไม่เคยพบหลานของฉินหมัวมัว แต่ในเมื่อฉินหมัวมัวเป็พี่สาวของย่าหลี่ที่ยอมช่วยหาแม่นมให้ทันทีที่ถูกรับฝาก และการที่นางไม่หลีกเลี่ยงการแนะนำญาติเช่นนี้ ก็แปลว่านางต้องมีดีมากแน่
และต่อให้หลานสาวผู้นี้ไม่ดีเท่าที่คาดหวังไว้ แต่เมื่อมาแล้วก็สามารถไปช่วยงานอื่นแทนได้ ดังนั้นจึงไม่มีเื่อะไรต้องห่วง
ย่าหลี่มีความสุขมาก เพราะนางััได้ถึงความเชื่อใจอย่างสุดซึ้งในตัวนาง และความเชื่อใจนี้เองที่มอบความสุขที่เหนือล้ำกว่าสิ่งใดให้กับนาง
หลังจากดูของในกระดาษน้ำมันที่หลินฟู่อินวางไว้บนโต๊ะ ย่าหลี่ก็ยิ้มออกมา “ของดีทั้งนั้นเลย ฤกษ์ดีเช่นนี้ทั้งที เ้าจะชวนบ้านปู่และบ้านลุงสองของเ้ามาทานอาหารร่วมกันดูหรือไม่?”
ได้ยินข้อเสนอนี้ หลินฟู่อินก็ส่ายหน้าอย่างรุนแรงทันที นางอาจจะส่งอาหารตุ๋นไปให้บ้านใหญ่บ้าง แต่ไม่คิดชวนมาร่วมโต๊ะที่บ้านนางแน่
แต่หากไปเชิญบ้านสองแต่ไม่เชิญบ้านใหญ่แล้วคนนอกรู้เข้า คงได้กลายเป็ขี้ปากชาวบ้านแทนแน่ๆ หลินฟู่อินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงตัดสินใจนำอาหารตุ๋นไปแจกจ่ายให้แต่ละบ้านแทน
“ข้าจะให้อาหารตุ๋นพวกนี้ไป แล้วหากต้องเชิญมาร่วมโต๊ะจริงๆ ถึงตอนนั้นเราค่อยไปทานที่ภัตตาคารในเมืองแทน” หลินฟู่อินกล่าว
ย่าหลี่รู้ดีว่านางกังวลเื่อะไร จึงได้แต่ยิ้มให้อย่างเข้าใจ
บ้านใหญ่เป็บ้านที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย มิเช่นนั้นแล้วพวกนั้นจะตามมาเกาะแกะเหมือนปลิงในไร่ข้าว ที่ปัดเท่าไรก็ไม่หลุด
ย่าหลี่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเปลี่ยนเื่ “ผักพวกนี้ซื้อมาจากร้านสวีจีหลิวใช่หรือไม่? กลิ่นลอยนำมาแต่ไกลเลยเชียว”
“ย่าหลี่จมูกดีนัก ข้าจะไปแยกใส่จานเ้าค่ะ” หลินฟู่อินคลี่ยิ้ม ก่อนจะเข้าครัวไปพร้อมของที่ซื้อมา
เริ่มจากแบ่งเนื้อสุุกสองจินออกเป็สี่ส่วน ส่วนละครึ่งจิน เอาส่วนหนึ่งใส่กลับเข้าไปในกระดาษน้ำมัน แล้วใส่ขาหมูขาใหญ่ที่สุดเข้าไปด้วย ตามด้วยแล่เป็ดมาครึ่งตัว ใส่ตามเข้าไป จากนั้นจึงมัดด้วยเชือกก่อนนำไปแขวน
จากนั้นก็หยิบเนื้อ ขาหมู และเป็ดอีกส่วนไปใส่ไว้ในกระดาษอีกห่อแล้วมัดไว้เช่นกัน
“ท่านย่า ข้าจะเอาไปให้บ้านเดิมหนึ่งห่อ ให้บ้านลุงสองอีกหนึ่งห่อ และอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้บ้านต้ายาเมื่อข้ากลับมา” หลินฟู่อินกล่าวออกมาหลังเตรียมการเสร็จแล้ว
แล้วย่าหลี่จึงกล่าว “ดีแล้ว หลังๆ มาบ้านเดิมเองก็พูดถึงเ้าไว้ดีไม่น้อยเลยด้วย”
หลินฟู่อินคิดว่านางทำถูกแล้ว และนางจะไม่ปล่อยให้คนที่ช่วยเหลือนางต้องลำบากแน่
เพราะนางรู้จักความละโมบของจ้าวซื่อและอู๋ซื่อดี นางจึงไปบ้านสองก่อน เมื่อไปถึงก็พบว่าหลินต้าเหอและเฟิงซื่อกำลังเก็บถั่วปากอ้าให้นางอยู่พอดี ทั้งสองเห็นหลินฟู่อินมาเยือนพร้อมถือกระดาษน้ำมันส่งกลิ่นหอมหวลมาด้วย หลินต้าเหอก็สูดหายใจเข้าลึกทันที
“หนูฟู่อินมาแล้ว เข้ามานั่งสิ” เฟิงซื่อทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่หลินฟู่อินส่ายหน้า “ลุงสอง ป้าสอง ข้าเอาอาหารมาส่งเ้าค่ะ เสร็จแล้วข้าจะเอาไปให้บ้านเดิมต่อ ดังนั้นแล้วคงนั่งไม่ได้”
กล่าวจบนางก็วางกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งลงบนมือของหลินต้าเหอ “หากบ้านสองมีสุราเก็บไว้ ก็ดื่มได้ตามสบายเลยเ้าค่ะ”
เฟิงซื่อและหลินต้าเหอขอบคุณนาง แต่หลินฟู่อินโบกมือบอกให้พวกเขาไม่ต้องสุภาพมาก คุยกันอีกเล็กน้อยแล้วจึงจากไป
“หนูฟู่อินช่างกตัญญูนัก ทั้งๆ ที่ท่านพ่อ ท่านแม่และป้าใหญ่ทำกับนางขนาดนั้นแท้ๆ ข้าว่านางลืมๆ พวกเขาไปแล้วทานของอร่อยเองเสียหน่อยก็ไม่เป็ปัญหามิใช่หรือ?” เฟิงซื่อมองแผ่นหลังของหลินฟู่อินที่ห่างออกไป แล้วกล่าวกับสามี
นางนึกว่าสามีของนางจะเห็นด้วยกับนาง แต่สามีของนางกลับตอบกลับมาพร้อมถอนหายใจ “การที่เด็กจะกตัญญูต่อผู้ใหญ่นั้นเป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นฟู่อินทำถูกแล้ว การที่เ้าจะทานของดีๆ โดยไม่แบ่งปันให้ผู้าุโ มันก็มิใช่เื่ใช่ไหมเล่า?”
“เ้านี่มันหลินจริงๆ แต่ไม่เหมือนพ่อแม่ของเ้านะ” เฟิงซื่อเหลือบมองแล้วไม่อยากคุยอะไรกับเขาอีก ก่อนจะหยิบเอาห่อกระดาษน้ำมันแล้วเดินเข้าไปในครัว
หลินฟู่อินมาถึงบ้านเดิม และเมื่อเคาะประตู ผู้ที่เปิดออกมารับก็เป็หลินต้าหลาง
ทันทีที่เห็นหน้าหลินฟู่อิน สีหน้าเขาก็มืดลงทันที “นี่ก็มืดแล้ว มีธุระอะไรที่บ้านข้ากัน?”