ท่าทีของจางเจิ้นอันนั้นเ็าเกินคาด ราวกับว่าเขาไม่รู้จักเยี่ยนจิ่งซิวเลย เพียงแค่ทวนคำพูดของอันซิ่วเอ๋อร์อย่างเฉยเมย
"ถ้าจะมาขอน้ำดื่ม ก็ไปที่อื่นเถอะ บ้านเราไม่ต้อนรับคนเสเพลเช่นเ้า"
"ข้า..."
เยี่ยนจิ่งซิวสำรวจตัวเองขึ้นๆ ลงๆ เขายังคงหล่อเหลาองอาจ คุณชายที่ดูเสรีไม่ยึดติดและเ้าสำราญเช่นนี้ กลับถูกพวกเขาว่าเป็พวกเสเพล ช่างน่าโมโหนัก ไม่คิดบ้างหรือว่าหญิงสาวข้างกายเขา ที่หน้าตาธรรมดา รูปร่างเหมือนผักป่า จะดึงดูดความสนใจของเขาได้หรือ?
เอ๊ะ ดูเหมือนจะไม่ใช่ ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้หน้าตาสวยทีเดียว ส่วนรูปร่างนั้น แม้เสื้อผ้าจะเก่าไปบ้าง แต่ก็มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เอวบางราวต้นหลิว นับเป็ดอกไม้งามดอกหนึ่งในหมู่บ้านนี้
สายตาพินิจพิเคราะห์ของเขาทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดยิ่งขึ้น นางดึงชายเสื้อของจางเจิ้นอัน จางเจิ้นอันตวัดสายตาเ็าไปยังเยี่ยนจิ่งซิว เยี่ยนจิ่งซิวใจสั่นไหว รีบเบือนสายตากลับมาแล้วกล่าวว่า "พี่เจิ้นอันช่างตาถึงนัก แหะๆ"
"ไม่มีอะไรก็ไสหัวไป!"
จางเจิ้นอันเอ่ยคำไม่กี่คำอย่างแ่เบา เปิดประตูให้อันซิ่วเอ๋อร์เข้าไปก่อน เยี่ยนจิ่งซิวคิดว่าเมื่อเป็เช่นนี้แล้วเขาคงจะพูดคุยกับตนอย่างใจเย็น ใครจะรู้ว่าจางเจิ้นอันเพียงแค่ปิดประตูดังปัง บานประตูไม้เก่าๆ ห่างจากปลายจมูกของเขาไม่ถึงชุ่น [1]
เยี่ยนจิ่งซิวลูบจมูก ถอยหลังไปสองก้าว ไม่ได้ใส่ใจกับการไม่ต้อนรับของจางเจิ้นอัน เพียงจ้องมองประตูไม้เก่าๆ นั้นอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดศีรษะอย่างที่คิดว่าตนเองดูไม่ยึดติด แล้วจากไป
"คนเมื่อครู่รู้จักท่านพี่ใช่ไหม?" หลังจากเข้าบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์เม้มริมฝีปากถาม
เสียงของนางเบามาก จางเจิ้นอันไม่ได้ยินชัดเจน จึงถามซ้ำอีกครั้ง "เมื่อครู่เ้าพูดว่าอะไรนะ?"
"ข้าบอกว่าคนเมื่อครู่น่ารำคาญจริงๆ" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ "คราวก่อนก็มาขอน้ำดื่ม คราวนี้ก็มาอีก ไม่รู้ว่าเป็พวกเสเพลมาจากไหน"
"แถวนี้ทิวทัศน์สวยงาม มีพวกเสเพลมาบ้างก็เป็เื่ปกติ เ้าไม่ต้องไปสนใจเขา" จางเจิ้นอันก้มหน้ากล่าว ซ่อนแววตาอันมืดครึ้มไว้
อันที่จริง แม้ทิวทัศน์ที่นี่จะงดงามเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าที่นี่เป็เพียงชนบทห่างไกลและยากจน คนทั่วไปใครจะมาที่นี่? เพียงแต่ทั้งสองคน คนหนึ่งแสร้งโง่ คนหนึ่งทำเป็ไม่รู้เื่ ไม่นานก็ลืมเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปเสียสิ้น
เช้านี้จากไปอย่างเร่งรีบ งานบ้านยังไม่ได้ทำ อันซิ่วเอ๋อร์กลับมาถึงก็เริ่มง่วนอยู่กับงานบ้าน จางเจิ้นอันยืนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง เห็นนางเริ่มซักผ้า เขาก็หยิบไม้คาน ไปหาบน้ำที่บ่อน้ำในหมู่บ้าน
ยังไม่ทันเดินถึงกลางหมู่บ้าน เยี่ยนจิ่งซิวก็โผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ในมือถือพัดด้ามจิ้ว กางออกขวางหน้าจางเจิ้นอันไว้
จางเจิ้นอันเหลือบมองเขาอย่างเ็า "หลีกไป"
"เหตุใดเ้าจึงมาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้?"
เยี่ยนจิ่งซิวเก็บสีหน้าเ้าสำราญ เปลี่ยนเป็จริงจัง "ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเห็นเ้าปรากฏตัวที่เมืองลั่วเหอ ข้ายังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ไม่คิดว่าเ้าจะไม่เพียงแต่อยู่ในเมือง แต่กลับมาหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้"
"อะไรเรียกว่าหลบซ่อน?" เสียงของจางเจิ้นอันเย็นลงเล็กน้อย "ข้าเพียงแค่ชอบที่นี่"
"ชอบที่นี่ ถึงกับไม่กลับบ้านเลยหรือ?" เยี่ยนจิ่งซิวกล่าวเสียงเย็น "เ้ารู้หรือไม่ว่า ก่อนที่พ่อของเ้าจะตาย เขาได้มอบหมายตระกูลจางทั้งหมดไว้ให้เ้าแล้ว"
"แล้วอย่างไรเล่า?" จางเจิ้นอันหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะขมขื่น ทั้งที่เป็ตอนกลางวันที่อากาศแจ่มใส แสงแดดยามบ่ายอบอุ่นและอ่อนโยน แต่แสงแดดนี้สาดส่องบนร่างเขา กลับไม่อาจละลายความมืดมนรอบกายเขาได้
"กลับไปเถอะ"
เยี่ยนจิ่งซิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ข้าว่าเ้าไม่เหมาะจะเป็ชาวนาเลย เ้าทำอะไรไม่เป็สักอย่าง ข้ามองกระท่อมซอมซ่อที่เ้าอยู่แล้ว ยังรู้สึกแย่แทนเ้า"
"ตอนนี้ข้าสบายดี ชีวิตแบบนี้ข้าก็พอใจมาก" จางเจิ้นอันเหลือบมองเยี่ยนจิ่งซิว "ภรรยาข้ายังรอน้ำที่ข้าหาบกลับไปอยู่ ข้าไม่คุยกับเ้าแล้ว วันหน้าหากเจอกันอีก ก็ขอให้ทำเหมือนเราเป็คนแปลกหน้าต่อกันเถิด"
"ภรรยา? สาวชาวบ้านคนนั้นเป็ภรรยาของเ้าจริงๆ หรือ?"
เยี่ยนจิ่งซิวส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ มองจางเจิ้นอันขึ้นๆ ลงๆ แล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ "ข้าไม่คิดว่าเ้าจะแต่งงานกับสาวชาวบ้าน เ้าไม่ได้ชอบเย่จิ้งซูมากหรอกหรือ?"
"อย่าพูดเื่เก่ากับข้า"
สีหน้าของจางเจิ้นอันไม่เปลี่ยน แต่เสียงเย็นลง เขามองเยี่ยนจิ่งซิวแวบหนึ่ง เยี่ยนจิ่งซิวหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว จางเจิ้นอันหาบถังน้ำ เดินผ่านเขาไป
เยี่ยนจิ่งซิวยืนนิ่งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของจางเจิ้นอันที่เดินจากไปอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป เขากำหมัดแน่น วิ่งตามไปสองก้าว พอเห็นชาวบ้านรอบๆ ทักทายจางเจิ้นอันอย่างเป็กันเอง ไม่รู้ทำไม เขาถึงหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขารู้ว่าจางเจิ้นอันเป็คนไม่ค่อยพูด แม้แต่เมื่อก่อน เพื่อนของเขาก็มีไม่มาก เขาไม่ชอบเสียเวลากับคนที่ไม่รู้จัก แต่ตอนนี้ คนที่พูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็มิตรคนนี้คือใครกัน? ต้องรู้ว่าเมื่อก่อน แม้แต่เหล่าคุณชายในเมืองหลวงมาหาเขา เขาก็ยังทำเป็ไม่สนใจ
เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เยี่ยนจิ่งซิวยืนอยู่ที่เดิม รอจนกระทั่งจางเจิ้นอันหาบน้ำมาหนึ่งหาบเดินผ่านมาอย่างมั่นคง เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะะโเข้าไปขวางหน้าอีกครั้ง และจางเจิ้นอันเองก็ไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่เดินเฉียดผ่านไป
เยี่ยนจิ่งซิวรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ ไม่ควรเป็ชีวิตของจางเจิ้นอัน ส่วนจางเจิ้นอันเองก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าวันเวลาที่สงบสุขและเรียบง่ายเช่นนี้จะมีอยู่ไม่นาน
เขาหาบน้ำมาหนึ่งหาบ แล้วนั่งลงข้างๆ อันซิ่วเอ๋อร์ มองนางซักผ้า มองมือน้อยๆ ของนางแช่อยู่ในน้ำ ยิ่งทำให้มือทั้งสองข้างดูขาวเนียนขึ้น
เสื้อผ้าของทั้งสองคนมีเพียงไม่กี่ชิ้น ซักเสร็จอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อากาศร้อนแล้ว จึงเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมบนเตียงลงมาซักในกะละมังไม้อย่างยากลำบาก
ผ้าปูที่นอนนี้หนาและหนัก นางแรงน้อย ใช้มือทั้งสองข้างซักสุดแรง ขยี้สุดแรง บิดสุดแรง เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก แช่น้ำนานๆ มือน้อยๆ ทั้งสองข้างก็เริ่มซีดขาวและเหี่ยวย่น
"ข้าทำเอง" พออันซิ่วเอ๋อร์ซักเสร็จรอบหนึ่ง กำลังจะล้างน้ำ จางเจิ้นอันก็แย่งงานของนางไป
อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงวางมือบนผ้าปูที่นอน กล่าวว่า "ที่ไหนมีผู้ชายซักของพวกนี้กัน ท่านไปพักผ่อนเถอะ หากอยากจะช่วยข้า เดี๋ยวค่อยช่วยข้าบิดผ้าก็พอ"
"ใครว่าผู้ชายทำเื่พวกนี้ไม่ได้?" จางเจิ้นอันกลับดึงมืออันซิ่วเอ๋อร์ออก "เมื่อก่อนของพวกนี้ข้าก็ทำเอง เ้าไปพักผ่อนเถอะ"
เห็นเขาพูดจริงจัง อันซิ่วเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยอมดึงมือกลับจริงๆ คราวนี้นางนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ข้างๆ มองเขาซักล้างผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมเหล่านี้ เสียงน้ำดังซ่าๆ อยู่ข้างหู หัวใจของนางก็พลอยสั่นไหวราวกับถูกกวน น้ำกระเซ็นเป็วงระลอกคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
จางเจิ้นอันล้างผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมเหล่านี้หลายครั้ง จากนั้นก็บิดให้แห้งแล้วตากไว้บนราว เห็นอันซิ่วเอ๋อร์มองเขา เขาก็พูดติดตลกขึ้นมาว่า "ภรรยาจะตรวจดูหน่อยไหม?"
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ไปตรวจดู เพียงแค่มองน้ำในกะละมังที่เขาซักล้างแล้ว เห็นว่าใสสะอาด
ซักของไปเพียงเท่านี้ น้ำในโอ่งก็หมดเกลี้ยง จางเจิ้นอันจึงหาบถังไปหาบน้ำอีกครั้ง เดินไปหลายเที่ยว กว่าจะหาบน้ำจนเต็มโอ่ง
ดูเหมือนจะอยู่เฉยไม่ได้ เขาก็ตักปลาออกมา เปลี่ยนน้ำในอ่างปลา อ่างปลานี้ใหญ่กว่าโอ่งน้ำเสียอีก เขาหาบน้ำมาหลายหาบกว่าอ่างจะเต็ม พอเขาเปลี่ยนน้ำในอ่างปลาเสร็จ ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว แต่เมื่อเห็นปลาว่ายน้ำอย่างสบายใจมากขึ้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ก้มหน้ามองข้างอ่างอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่ง
อาหารค่ำของทั้งสองคนยังคงเป็ขนมจ้าง โชคดีที่อันซิ่วเอ๋อร์นำขนมจ้างบางส่วนไปให้ที่บ้านแม่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องกินไปอีกหลายวัน ขนมจ้างนี้ถึงจะอร่อย แต่กินมากไปก็รู้สึกเลี่ยนได้
วันนี้อันซิ่วเอ๋อร์คิดวิธีใหม่ หั่นขนมจ้างเป็ชิ้นเล็กๆ นำไปทอดน้ำมัน แล้วคลุกน้ำตาล รสหวาน กรอบ อร่อยกว่ากินเปล่าๆ มาก
พอกินข้าวเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิท อากาศค่อนข้างร้อน อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้กลับเข้าห้อง แต่ยกม้านั่งมานั่งรับลมเย็นในลานบ้าน
คืนนี้พระจันทร์กลมโต ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากะพริบระยิบระยับ อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่ลึกสุดหยั่งถึง นางเอียงศีรษะถามจางเจิ้นอันที่อยู่ข้างๆ "ท่านพี่ ท่านว่าบนฟ้ามีดาวกี่ดวง?"
"ไม่รู้สิ" จางเจิ้นอันเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ส่ายหน้า
"ตอนเด็กๆ ท่านเคยนับดาวไหม?" อันซิ่วเอ๋อร์ถามอีกครั้ง เห็นจางเจิ้นอันไม่ตอบ นางจึงกล่าวว่า "ตอนเด็กๆ ข้าชอบนับดาวบ่อยๆ แต่นับเท่าไหร่ก็นับไม่หมด เหมือนว่าแต่ละวันจะไม่เหมือนกันเลย"
นางเอนกายพิงอกจางเจิ้นอัน เขาหาพัดใบตาลเก่าๆ มาจากไหนไม่รู้ พัดให้ลมให้นาง ฟังนางพูดเสียงแ่เบา "แม่ข้าบอกว่า ดาวบนฟ้าหนึ่งดวงก็คือคนบนดินหนึ่งคน ทุกวันมีคนตายจากไป ดาวบนฟ้าก็เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน"
"ท่านว่า บนฟ้าดวงไหนคือท่าน ดวงไหนคือข้า?" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง จางเจิ้นอันก็เงยหน้ามองหาบนท้องฟ้า แต่ก็มองไม่ออกว่ามีอะไรพิเศษ
"โน่นไง ท่านเห็นสองดวงนั้นไหม ต้องใช่พวกเราแน่ๆ" อันซิ่วเอ๋อร์ชี้มือขึ้นไปบนฟ้าอย่างตื่นเต้น จางเจิ้นอันมองตามนิ้วของนางไป ดาวสองดวงนั้นอยู่ใกล้กันมาก ส่องแสงสว่างระยิบระยับ โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกันแล้ว ดาวรอบๆ กลับดูมืดสลัวไป
"ท่านเห็นไหม?" นางหันมาถามเขา
"เห็นแล้ว" จางเจิ้นอันก้มหน้าตอบนาง อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีก "ท่านว่า ดาวสองดวงนั้นใช่พวกเราหรือไม่?"
"ใช่" จางเจิ้นอันจุมพิตที่เรือนผมของนางเบาๆ
"ข้าว่าแล้ว พวกเราเป็สามีภรรยา ตอนนี้ยังหนุ่มสาว ดาวสองดวงนี้จึงสว่างมาก แสดงว่าพลังชีวิตของพวกเราแข็งแรง ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแสนนาน" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น
"อืม" จางเจิ้นอันพยักหน้า
"ซิ่วเอ๋อร์ เ้าเป็คนดีเช่นนี้ ต้องอายุยืนร้อยปีแน่นอน"
"แน่นอน แม่ข้าบอกว่า ดาวบนฟ้าสว่าง ก็หมายความว่าพวกเราจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ" อันซิ่วเอ๋อร์พูดอย่างจริงจัง สมัยนั้นผู้คนเชื่อเื่โหราศาสตร์ดาวจื่อเวย เชื่อว่าดวงดาวคือชะตาชีวิต เพราะความเชื่อนี้ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็สามารถพูดเื่นี้ได้เป็ตุเป็ตะ
เชิงอรรถ
[1] หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ ประมาณหนึ่งนิ้ว
